Trip : China – Yunnan (October 2004)
Shangri-la trip ตอนแรก < Shangri-La is in my dream (1) > เริ่มต้นที่คุนหมิง ต่อเครื่องไปลี่เจียง (เพื่อพักร่างกายให้คุ้นชินกับระดับความสูงที่เพิ่มขึ้น) แล้วนั่งรถยาวๆไปเซี่ยงเฉิง เริ่มใกล้ Shangri-la ดินแดนสุดขอบฟ้า เข้าไปทุกที
วันที่ 4 : เซี่ยงเฉิง – เต้าเฉิง – ย่าติง
ยามเช้าในเมืองเซี่ยงเฉิง อากาศหนาวยะเยือก แต่ฟ้าสวยสดใส น่าจะเป็นวันที่ดี แต่เริ่มต้นด้วย…น้ำไม่ไหล อย่าว่าแต่น้ำร้อนเลยน้ำเย็นก็ไม่มี โชคดีที่รองน้ำใส่กาละมังไว้เมื่อคืน เลยเอามาต้ม ได้พอล้างหน้าแปรงฟัน เมืองชนบทแบบนี้น้ำไม่ไหลเป็นเรื่องปกติ
ส่องกล้องไปเห็นวัดบนเขาไกลๆ ถามสมชายว่าเราจะไปวัดนั้นมั๊ย สมชายว่าขากลับถ้ามีเวลาจะพาไป (แล้วก็ได้แวะตอนขากลับ และวัดนี้กลายเป็นทีเด็ดของทริปอย่างหนึ่งเลย)
สายหน่อยลงมาหาทานอาหารเช้าที่ร้านตรงข้ามโรงแรม เป็นร้านเล็กๆอาหารมีผัดผัก ข้าวต้มใส่ถั่วเขียว ไข่ต้ม หมั่นโถว ข้าวต้มอร่อยดี ได้ข้อมูลจากสมาชิกว่าห้องเราชั้น 5 ดีที่สุด คนอื่นๆอยู่ชั้น 2-3-4 และห้องเน่ามาก โดยเฉพาะห้องน้ำ บางห้องมีน้ำตกคือตกมาจากข้างบนตลอดและน้ำท่วมห้องน้ำเต็ม เช้ามาน้ำไม่ไหลเพราะ รร.แจ้งไว้แล้วว่าเช้าจะไม่เปิดน้ำ เพราะเมืองนี้ขาดแคลนน้ำ ถึงจะมีแม่น้ำไหลผ่านก็ตาม โอ้…..นรก
กินข้าวเช้าพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์นรกแตกกันแต่ละห้องแล้วก็เริ่มออกเดินทาง วิวข้างทางก็สวยขึ้นเรื่อยๆ บางช่วงเจอต้นไม้เป็นสีเหลืองทั้งแถบ สวยมากจนต้องเปิดกระจกยื่นกล้องดิจิตัลไปเก็บภาพไว้ โชคดีที่ถ่ายไว้เพราะกว่ารถจะจอดได้ก็เลยวิวนั้นมาพอควร เพราะรถต้องจอดบริเวณที่พ้นโค้งและพ้นเนินขึ้นไป จอดตามใจไม่ได้มันอันตราย เห็นตรงที่สวยๆที่ต้องเดินย้อนกลับไป เริ่มรู้สึกเหนื่อยง่ายแล้วแม้จะพยายามเดินช้าๆ แต่วิวก็สวยจนต้องยอมเดินไปดู แถมบนเนินเขายังมีดอกไม้เล็กๆให้ถ่ายมาโครได้อีก กลิ้งเกลือกถ่ายมาโครอยู่พักใหญ่ ก็ต้องเดินกลับ เหนื่อยและหายใจลำบากจริง แต่ยังพอไหว
นั่งรถต่อไปอีกสักพัก ก็มาถึงจุดที่สมชายบอกว่าสูงมาก คงสัก 4,700 ม.จากระดับน้ำทะเล จอดรถให้ถ่ายภาพเพราะเนินข้างๆเดินขึ้นไปนิดเดียวเป็นหิมะประปรายอยู่แลย แถมมีร่องน้ำไหลที่กลายเป็นน้ำแข็งด้วย ลงไปชักภาพกันเป็นทิวแถว แต่อากาศหนาวมากๆ แถมลมก็แรง และเหนื่อยจริงๆ เดิน 4 – 5 ก้าวก็เหนื่อยแล้ว ใจอยากจะเดินขึ้นจนแตะหิมะ แต่ก็ไม่เสี่ยงดีกว่าทั้งๆที่คาดว่าเดินก็คงไม่เกิน 30 ก้าว แต่มันขึ้นเนิน ถ่ายภาพเอาฉากหลังก็พอ
วันนี้เราจะไปแวะทานอาหารกลางวันกันที่เมืองเต้าเฉิง (Daochen) ก่อนเข้าเมืองเจอหมู่บ้านที่สร้างด้วยหิน สวยดีมีเอกลักษณ์ จอดรถลงไปถ่ายภาพกันยกใหญ่
ถ่ายภาพกันจนหนำใจเริ่มคิดได้ว่าหิวข้าว ขึ้นรถนั่งต่อไปอีกไม่กี่นาทีก็เข้าเขตตัวเมือง มีสะพานข้ามแม่น้ำดูใหญ่โต โคมไฟสวยหรู
เมืองเต้าเฉิง อยู่ในเขตเสฉวนไม่ใช่ยูนนานล่ะ ตัวเมืองดูเป็นเมืองใหม่ มีถนนสายกลางเมืองเป็นหลัก สองข้างทางเป็นตึกเปิดเป็นร้านขายของ เช่นเสื้อผ้า เครื่องมือช่าง ส่วนมากเป็นของใช้ทั่วไป ร้านอาหารต้องเข้าไปในซอยอีกนิดหน่อย เป็นร้านไม่ใหญ่ อาหารก็พอใช้ได้ เราไม่มีปัญหาเรื่องอาหารทานได้ทั้งหมด
หลังจากอิ่มแล้วก็เริ่มสู่ปัญหาหลัก คือเริ่มอยากเข้าห้องน้ำกัน มีหน่วยกล้าตายวิ่งไปดูห้องน้ำร้านอาหารพร้อมถ่ายรูปมาด้วย บ่นว่าแย่มากทั้งภาพและกลิ่น ไม่แนะนำให้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง ใครไม่เชื่อดูรูปได้ 555 ห้องน้ำรร.ฝั่งตรงข้ามก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ทั้งหมดเลยฉี่หดกันอัตโนมัติ ยอมไปหาดอกไม้ข้างทางกันดีกว่า
พอพ้นตัวเมือง สองข้างทางกลับโล่งโจ้ง เป็นทุ่งหญ้าเตี้ยๆแห้งๆ มีกองแผ่นหินเจดีย์อยู่ประปราย ยังลังเลกันว่าเอาไงดี แต่เหมือนชะตาลิขิตรถเจ้ากรรมสะอึกๆแล้วก็แน่นิ่งไป ไหนๆก็จอดแล้ว จึงได้ลงไปหาทำเลกันกระจัดกระจายทั่วท้องทุ่ง บางพวกก็วิ่งถ่ายภาพกันไปเรื่อยเปื่อยเช่นเรา ไม่มีอนาทรร้อนใจ สักพักก็คงได้คิดกัน จึงเริ่มมามุงดูคนขับเปิดเครื่องรถขันโน่นดึงนี่พัลวัน จริงๆแล้วอาการมันก็เริ่มออกมาพักใหญ่แล้ว เพราะหาซื้อน้ำมันเครื่องมาเติมตลอด รถอะไรจะกินน้ำมันเครื่องยังกะกินเป๊ปซี่ขนาดนั้น ความหวังเริ่มริบหรี่ คันเล็กก็วิ่งหูดับตับไหม้ไปไม่เห็นฝุ่นแล้ว แต่….พี่คนขับสุดหล่อก็ไม่ทำให้ผิดหวัง สตาร์ทติดจนได้ เฮ…..ออกเดินทางกันต่อแบบใจตุ้มๆต่อมๆ ตอนนี้ใกล้เมืองนิดเดียว ถ้าไปเสียบนภูเขาจะทำไงวะ
ขับไปซ่อมไป
วิ่งขึ้นเขาลงเขาไปสักพัก เห็นวิวข้างทางเป็นทุ่งหญ้าหย่อมๆสีชมพูสลับเขียว สวยงามจนยั้งใจไม่อยู่…จนเปิดกระจกยื่นกล้องไปถ่ายอีก รถวิ่งไปทันรถคันเล็กที่หน้าบ้านธิเบตหลังหนึ่ง พอเราจอดเขาออกรถพอดี คงมาแวะถ่ายภาพกันนานแล้ว บ้านนี้อยู่ริมลำธารกว้างมีสะพานข้ามเข้าไป ทัศนียภาพอย่างนี้เปิดรีสอร์ทได้สบาย แบบบ้านก็สวยตามสไตล์ธิเบต สมชายลงไปเจรจากับเจ้าของบ้านพักหนึ่งก็มาบอกว่าเขายินดีให้เข้าเยี่ยมชมในบ้านได้ จะได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่กันอย่างเจาะลึก ว่าแล้วก็เลยเฮโลกันลงมาหมด บ้านดูน่ารักดี พอลอดประตูเข้าไปแทบผงะ ไม่รู้กลิ่นอะไรเป็นอะไร ตลบอบอวนไปหมด เข้าไปมืดตึดตื๋อ เหมือนเป็นใต้ถุนบ้านมากกว่า เก็บของเก็บอาหารแห้งอะไรต่างๆนาๆ มีบันไดแบบบ้านไทยขึ้นไปข้างบน เดินยากมากมืดต่างหาก ขึ้นไปก็จะเป็นตัวบ้านจริงๆ มีห้อง 2 – 3 ห้อง ห้องใหญ่สุดด้านขวาเป็นเหมือนห้องรับแขก + ห้องส่วนกลาง เพราะมีเตา มีครัว มีลานให้นั่งได้แต่ก็ยังมืด มองดูเห็นมีหลอดไส้แขวนอยู่ ถามแล้วได้ความว่ากลางคืนจะมีไฟกลางวันเขาไม่จ่ายไฟให้ ขนาดมืดๆยังเห็นว่าสกปรกไปหมด ฝุ่นทั่วพื้น ไหนจะน้ำมันจากการทำอาหารอีก ผิดกับความน่ารักนอกบ้านและวิวโดยรอบเลย แต่ถึงจะดูจนและสกปรกยังไงแกก็ยังมีน้ำใจบอกว่าจะชงชาธิเบตให้ชิม (Butter tea : เคยอ่านเจอว่าทำจากนมและเนยจามรีผสมน้ำชา แค่คิดก็สยองแล้ว) แกชงแล้วก็ยังร้องเพลงโชว์ด้วย เป็นที่สนุกสนานทั้งคนร้องและคนฟัง ชิมชาแล้วเค็มๆเลี่ยนพิกล ก่อนกลับสมชายซื้อกะหล่ำปลีมา 1 หัว ใหญ่มากกกกก พี่อีกคนก็ช่วยซื้อแอ๊ปเปิ้ลมา 1 ถุงใหญ่ ไม่สวยแต่ก็รดชาติดี
ออกเดินทางต่อพร้อมความอิ่มเอมใจของลูกทัวร์ทั้งคันรถ ที่ได้ไปสัมผัสชีวิตชาวจีนธิเบตขนาดนั้น ปรบมือให้สมชายซะกึกก้อง รถวิ่งไปเจอกับคันเล็กอีกทีที่ด่าน เพราะต้องนับจำนวนคนพร้อมจ่ายค่าเข้า Yading Nature Reserve จากนั้นก็ไปต่อ รถผ่านเข้าพื้นที่ Yading ทางเริ่มขึ้นเขาอีกครั้ง สังเกตุดู 2 ข้างทางตามต้นไม้จะมีฝอยลมหรือเคราฤษีห้อยอยู่ตามต้นไม้ทั่วไป แสดงให้เห็นว่าเป็นพื้นที่สูงอากาศหนาว เหมือนกับบริเวณดอยอินทนนท์ที่ไทย ทางเริ่มขึ้นสูงไปเรื่อยๆและเป็นลูกรังฝุ่นคลุ้งตลอดทาง หายใจแทบไม่ออก พอพ้นโค้งๆหนึ่ง ก็มองเห็นภูเขาหิมะอยู่เบื้องหน้า เป็นภาพที่งดงามมาก ถึงบริเวณที่จอดรถได้จึงจอดให้ลงไปถ่ายภาพกันพักใหญ่ หลังจากจุดนี้ก็มีแวะลงถ่ายภาพภูเขาหิมะเดิมอีกสัก 2 ครั้งแบบต่างมุมมอง จุดสุดท้ายถ้าเดินไปริมถนนมองลงไปจะเห็นเป็นหุบเขาที่มีภูเขาล้อมรอบ เป็นหมู่บ้านย่าติง ซึ่งเราจะลงไปพักที่นั่นคืนนี้
Mt. Chenresig ความสูงที่ยอดเขา 6,032 ม. จากระดับน้ำทะเล
กว่าจะแล่นฝ่าดงฝุ่นลงไปถึงที่พักก็แทบตาย ที่พักเป็นคล้ายๆ log cabin ผนังเป็นไม้สีเหลือง ด้านในแบ่งเป็นห้องๆชั้นละประมาณ 4 ห้อง ในห้องมีเตียงนอนได้ประมาณ 4 ~ 6 คน แต่ไม่มีห้องน้ำ ห้องน้ำจะเป็นอาคารหลังเล็กๆอยู่ด้านข้างต้องเดินออกไปข้างนอก แต่ละห้องมีเตียงใหญ่มาก นอนห้องละ 3-4 คนก็ยังนอนสบายได้ แต่ว่าเหนื่อยมากเวลาขึ้นบันได ซึ่งมีแค่ 20 ขั้นเท่านั้น
ถึงเวลาอาหารเย็นมีแต่เราลงมาทานข้าว เพื่อนเราอาการแย่มากจึงทานยาแล้วนอน หลังอาหารเริ่มต้องออกไปใช้ห้องน้ำธรรมชาติกันแล้ว แต่มีคุณป้ามาส่งข่าวว่าห้องน้ำแย่มากและไม่มีน้ำ จึงต้องเข้าห้องน้ำแบบไม่เข้าห้องน้ำ (งง?) คือวนๆหาที่เอารอบๆห้องน้ำหรือเนินหลังห้องน้ำ แต่ที่ลำบากใจคือเนินหลังห้องน้ำ เมื่อเย็นก็เพิ่งปีนขึ้นไปถ่ายรูปภูเขาหิมะ เพราะหลังบ้านพักเป็นวิวภูเขาหิมะลูกเดิมนั่นแหละ แล้วเช้าก็อาจต้องขึ้นไปถ่ายภาพตอนเช้าอีก อาจเดินเหยียบกับระเบิดได้ แต่ก็ต้องทำเพราะบนเนินน่าจะลับตากว่ารอบๆห้องน้ำที่ว่างโล่ง ขึ้นนอนคืนนี้ต้องงัดถุงนอนออกมาใช้เพิ่ม มุดเข้าไปแล้วห่มผ้าทับ แต่ล้มตัวลงนอนไม่เท่าไหร่ ก็เกิดอาการหายใจไม่ออก เหมือนคนจะขาดใจ นอนไม่หลับทั้งคืน เข้าใจแล้วว่าคนจะขาดใจเป็นอย่างไร เพื่อนลุกไปอ้วกตอนกลางดึกด้วย กว่าจะเช้าทรมานกันน่าดู
วันที่ 5 : อุทยานแห่งชาติย่าติง
เช้ามืดตื่นกันมาอย่างโทรม เพราะนอนกันไม่หลับถ้วนหน้า เพิ่งมารู้เอาทีหลังว่าถ้านอนราบจะหายใจไม่ออกต้องหนุนหัวให้สูงไว้ แหม…ไม่ยักมีใครบอก ก็สงสัยอยู่ว่าเราไม่มีอาการเลยตอนก่อนนอนทำไมล้มตัวลงนอนแล้วรู้สึกแย่อย่างนั้น แต่ยังไงก็ยังมีแรงลุกมาถ่ายภาพแสงอาทิตย์ส่องยอดเขาหิมะหลังบ้าน หลังจากยืนถ่ายจากหน้าต่างในบ้านอยู่พักใหญ่ก็แบกกล้องวิ่งออกไปเนินเดิมหลังบ้านดีกว่า ระหว่างรอแสงก็ควักแปรงสีฟันนั่งแปรงมันตรงนั้นแหละ ชีวิตมันช่างง่ายดายอะไรอย่างนี้ถ้าไม่อาบน้ำซะอย่าง ยืนรอแสงอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้หนาวจนมือแข็ง วันนี้พระอาทิตย์ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่ แสงไม่ค่อยสวย ลงไปทานข้าวเช้าดีกว่า ไปถึงโต๊ะทานข้าวเพิ่งรู้ว่า 8 โมงแล้ว ตกใจเลยเพราะยังไม่ได้จัดของรีบวิ่งขึ้นวิ่งลงจัดของเหนื่อยแทบขาดใจ กินข้าวก็ไม่ลง สุดท้ายก็เลยไม่กิน ซึ่งเราคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร เพราะไม่ได้เดินนี่ขี่ม้าเอา (แต่คิดผิด และก็มีผลในที่สุด)
ถึงจุดขึ้นม้าทุกคนได้รับแจกขนมคนละ 2 ห่อ น้ำ 1 ขวด แต่ความชุ่ยของเราเองที่ไม่รับน้ำ เนื่องจากคิดว่ามีแล้วในเป้ 1 ขวด ขี้เกียจรับมาอีกให้หนัก (บ้าแท้ๆ) ที่ไหนได้ไปรู้กลางทางว่าขวดที่เอามามีน้ำเหลือติดอยู่ก้นขวดนิดเดียว (มีผลต่อชีวิตอีกเช่นกัน) ม้าทุกตัวจะมีเด็กม้าจูงเดิน ไม่ได้ขี่เองหรอกนะ หลังจากเคลื่อนขบวนก็นั่งม้าผ่านป่าไปเรื่อยๆ บรรยากาศดีมาก พอพ้นป่าสนออกไปแล้วเห็นเป็นหุบเขาป่าเปลี่ยนสี เปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปทั่ว สวยจริงๆ สั่งคนจูงม้าให้หยุดถ่ายภาพอยู่หลายครั้ง (บอก “ถิง” เมื่อต้องการให้หยุด และบอก “โจ้ว” เมื่อต้องการไปต่อ)
นั่งม้ามาพักใหญ่ก็หยุดพัก ลงมานั่งพักกันบ้างถ่ายภาพกันบ้าง รู้สึกเหนื่อยจัง พักได้ไม่เท่าไหร่ก็ออกเดินทางต่อ ระหว่างทางเจอลมกระโชกอย่างแรงหนาวก็หนาวฝุ่นงี้คลุ้งไปหมด มาพักอีกครั้งตรงจุดที่มองเห็นภูเขาหิมะชัดเจน มีลำธารเป็นฉากหน้าแต่อยู่ต่ำลงไปอยากได้ภาพแต่ไม่มีปัญญาลงไปคิดถึงตอนปีนขึ้นก็แย่แล้ว เรา 3 คน เดินถ่ายรูปไปสักพัก มองหาคนอื่นไม่เจอ ไปเห็นอีกทีคือนั่งแอบกันอยู่หลังโขดหิน หลบลม เพราะลมแรงหนาวมาก
สักพักไกด์ธิเบตก็เรียกให้ขึ้นม้า
เดินทางต่อไปจนสุดทาง ซึ่งเป็นแคมป์พักแรมอยู่ใกล้ภูเขาหิมะจนดูมันใหญ่โตมาก
เราจะพักทานอาหารกลางวันที่นี่ ระหว่างรอก็เดินดูบรรยากาศทั่วไป
ที่นี่มีเต๊นท์ให้พักแรมพร้อมเครื่องนอน
แต่ดูสภาพแล้วไม่น่าอุ่นและสะอาดสักเท่าไหร่
อยู่บนนี้เหนื่อยง่ายมากๆ
ต้องเดินช้าๆจริงๆ และพบว่าการนั่งม้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เหนื่อย
เพราะตัวเองรู้สึกเหนื่อยพอควรทีเดียว หิวน้ำอีกต่างหาก ปากแห้งคอแห้งมาก
น้ำก็หมดแล้วต้องขอปันน้ำจากเพื่อน กินข้าวกลางวันในเต๊นท์อาหาร เป็นบุฟเฟ่ชาวเขา อาหารก็พอทานได้
น้ำหมดจึงต้องลองน้ำต้มในเต๊นท์มีรดชาติเฝื่อนแต่เหม็นเลยต้องเททิ้งไป
เลยไม่มีน้ำดื่มตอนขากลับ
อิ่มแล้วต้องรีบออกไปข้างนอกเพราะข้างในควันคละคลุ้งไปหมดเพราะพี่แกเล่นก่อกองไฟข้างในด้วย
ทำกับข้าวด้วย โอย…
ออกไปด้านนอกก็หนาวจับใจ
แต่วิวสวย เดินไปถ่ายรูปม้าที่รวมตัวกันอยู่ในคอก เด็กจูงม้าต่างก็ชะแง้คอหาลูกทัวร์ของตัวเพราะยังไม่ได้รับเงิน
นั่งเล่นสักพักก็เตรียมตัวเดินทางกลับ ขากลับเราจะแวะวัดระหว่างทาง
และจะดูอีกทีว่าสามารถต่อรองให้ม้าขึ้นไปส่งที่ Milky Lake ได้หรือไม่
แต่ให้เดินก็คงเดินไม่ไหวหรอก
นั่งม้าขากลับคลายความตื่นเต้นในความงามลงได้เยอะ
แต่ก็หยุดถ่ายรูปเป็นระยะๆ จนมาถึงทางขึ้นวัดจึงหยุดรอพวกที่เหลือ บริเวณนั้นเป็นลานกว้าง
หันมองย้อนไปด้านหลังจะมีลำธารไหลผ่านทุ่งหญ้าสีเขียว ฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ
สวยงามจริงๆ ลงจากหลังม้าแล้วใจอยากรีบเดินไปถ่ายรูปแต่ด้วยว่าเหนื่อยจริงๆต้องนั่งพักอยู่พักใหญ่กว่าจะเดินไหว
ไม่น่าเชื่อว่าจะหมดแรงได้ขนาดนี้ หิวน้ำมากด้วย
เมื่อคนมาครบ สมชายเจรจากับเด็กจูงม้าแล้ว เด็กยอมพาขึ้นไปแต่ขอเพิ่มคนละ 30 หยวน ก็แล้วแต่ใครจะไปก็จ่ายเอง แต่เท่าที่ดูก็ไปกันเกือบหมด นั่งม้าขึ้นไปแล้วตกใจ เพราะทางชันมาก เดินผ่านด้านหลังวัด แล้วก็ผ่านป่าไปเรื่อยๆประมาณ 10 นาที ก็ทะลุออกมาที่หุบเขา เห็นภูเขาหิมะขวางหน้า ม้าหยุดคนจูงม้าส่งภาษาให้ลงได้ มองซ้ายมองขวาไม่เห็นทะเลสาบเลยว่ะ เอ้า..ลงก็ลง พอลงแล้วคนจูงม้าทั้งหมดพากันหันหลังกลับเฉยเลย ร้องเรียกกันเสียงหลงแต่พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง นั่งหมดแรงกันเป็นแถบๆ
หน่วยกล้าตายส่วนหนึ่งเดินไปดูข้างหน้าแล้วตะโกนมาเรียก ให้เดินมาทางนี้ เลี้ยวขวานิดนึงถึงแล้ว หลายๆคนเริ่มเดินตามไป แต่เรานั่งชั่งใจสักพักเพราะเริ่มหายใจไม่ทัน กำลังคิดอยู่ขบวนม้าก็วิ่งกลับขึ้นมาเพียบ 555 เพราะเจอสมชายกับมนตรีไล่ขึ้นมา คุยกันยังไงไม่รู้เรื่องเด็กม้ามาส่งแล้วกะให้เดินกลับกันเอง ดีว่าไปเจอสมชายกับมนตรีที่กลางทาง อาการเริ่มดีขึ้นเลยเดินตามพรรคพวกไป ต้องเดินข้ามเนินเตี้ยๆไป แต่เดินไปแล้วมันเหนื่อยมาก 3 ก้าวหยุด 4 ก้าวหยุด เนินแค่เนี้ยนะ ให้ตายเถอะข้ามเนินมาได้แทบตาย เจอพี่ในกลุ่มยื่นออกซิเจนมาให้ค่อยยังชั่ว พอหายตาลายถึงได้มองวิว เห็นทะเลสาบสีสวยสด แต่ตรงนี้มันต้นไม้บังนี่หว่ามองเห็นทะเลสาบอยู่ด้านล่างแต่ไม่เต็มตา ชะเง้อลงไปเห็นหลายๆคนอยู่ด้านล่างที่สะพานไม้ยื่นเข้าไปในทะเลสาบ เออ..ตรงนั้นสวยแน่นอน เลยเดินลงไปต่อ แต่ตรงนั้นย้อนแสง เล็งแล้วเล็งอีกก็ไม่ถูกใจ มีคนวิ่งอ้อมไปด้านปลายทะเลสาบเพื่อหามุม ก็เลยตามไปบ้าง ไม่ได้ฉุกคิดเลยว่ายิ่งเดินนี่มันก็ยิ่งลงไป และยิ่งไกลไปอีกนะ
เกือบตายเพื่อภาพนี้
ถ่ายรูปอยู่ไม่นาน ก็ต้องเริ่มเดินกลับเพราะคนม้ามาตะโกนเร่ง เราก็เริ่มเดินกลับ พอเริ่มขึ้นเนินอาการเดิมก็กลับมาอีก 3 ก้าวก็ต้องหยุด เด็กม้ามันก็ลาก แต่เดินไม่ไหวมันเหมือนจะขาดใจตาย แบบว่าตายแน่ๆ จนมนตรีต้องบอกว่าใจเย็นๆไม่ไหวก็หยุดปล่อยมือจากเด็กม้าเดี๋ยวมันลากตายพอดี โห…หน้ามืด ใจจะขาด มนตรีต้องเอาน้ำมาให้จิบ มีคนมาเอากล้องไปช่วยถือให้ น้องผู้ชายอีกคนมาเอาเป้ไปถือให้ ลากไปลากมาก็มาถึงจุดขึ้นม้าจนได้ คนอื่นไปกันหมดแล้ว เหลือสมชายกับไกด์ธิเบตที่รออยู่ มาถึงก็โดนจับขึ้นม้า มีคนจับสายบังคับม้ายัดใส่มือ แล้วตบม้าให้เดิน โฮ่…นรกจริงๆ มันเหนื่อยจนรู้สึกว่าจะพยุงตัวบนหลังม้าไม่ไหวแล้ว แล้วม้าก็วิ่งลงเขา คึ่กๆๆๆ ต้องคอยประคองตัวไม่ให้ร่วงจากหลังม้า มึนมาก หมดแรง คอแห้งปากงี้แห้งเป็นเกล็ด กว่าจะลงมาถึงตรงหน้าวัดได้ก็แทบตาย ลงจากหลังม้าแทบกลิ้ง ลงไปนอนหมดแรงกับพื้นดมยาดมอยู่พักเดียว เด็กม้าก็มาเรียกให้ขึ้นม้า ต้องนั่งออกไปอีก
Cr. TravelChinaGuide.com
นั่งม้าขากลับแทบไม่ได้ดูวิวเพราะต้องเตือนสติให้พยุงตัวเองอยู่บนหลังม้าให้ดี หน้าตาคงแย่มากเพราะเด็กม้าหันมาดูบ่อยๆ คงกลัวตกม้าตาย คิดแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึงรถ ไม่ไหวแล้ววววว……ในที่สุดก็มาถึง ลงจากม้าได้รีบคลานไปถึงรถเป็นคนแรกอย่างไม่น่าเชื่อเพราะไม่ว่าไปลงที่ไหนจะขึ้นรถเป็นสุดท้ายหรือเกือบสุดท้ายตลอด งานนี้ถึงคนแรกเข้าที่นั่งแล้วแทบสลบ อาการเหมือนไข้จะขึ้น ยอดแย่
พวกเรานั่งรถออกจากหมู่บ้านย่าติง ไปเมืองใกล้ๆนี้ แต่มีโรงแรมที่มีห้องน้ำอย่างดี เพราะไม่ได้อาบน้ำกันตั้งแต่เมื่อวาน แถมวันนี้ยังขี่ม้ากันทั้งวัน ไปถึงที่พักทุกคนนั่งกันกลาดเกลื่อนเต็มพื้นล๊อบบี้ สภาพบรรยายไม่ถูก เกือบตายเป็นผีเฝ้าทะเลสาบซะแล้ว ขึ้นห้องพักได้อาบน้ำสระผมก็สดชื่นขึ้นเยอะเลย กินยาพาราซะ 1 เม็ด แล้วก็ลงไปกินข้าว มื้อนี้มีอาหารพิเศษคือไข่เจียวหมูสับและต้มยำเห็ด สุดยอดกินกันพุงกาง กลับขึ้นไปนอนหลับเป็นตาย
วันที่ 6 เต้าเฉิง – เซี่ยงเฉิง
ตื่นเช้ามาอย่างสดชื่น โชคดีที่ฟื้นตัวเร็วมาก เพราะวันนี้จะนั่งรถไกลเพื่อกลับไปเมืองเซียงเฉิง เช้านี้เราแวะที่วัด Gonggalijing Si เป็นวัดสไตล์ธิเบต วัดก็สวย ลามะก็เยอะแถมให้ความร่วมมือในการถ่ายรูปอย่างสูง ที่เป็นไฮไลต์คือ เราได้เจอเจ้าอาวาสด้วย นานมากๆๆๆๆ ท่านถึงจะกลับมาที่วัด โชคดีจริงๆเพราะท่านกำลังจะไปเมืองข้างๆที่เป็นบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมชาวบ้านพอดี พวกเราเวียนกันเข้าไปไหว้ขอพร พวกเราถ่วงเวลาท่านนานมาก จนเมืองข้างๆต้องให้คนขี่มอเตอร์ไซด์มาดูว่าท่านหนีไปหรือยัง
พวกเราแวะทานกลางวันที่เมืองเต้าเฉิงที่เดิมร้านเดิม แต่วันนี้มาเร็วเลยมีเวลาไปเดินชมเมือง เมืองก็เป็นอย่างที่เล่าวันมาครั้งแรก ไม่มีอะไรขายมากนัก ของเหมือนๆกันทุกร้านขายของใช้ทั่วไป แต่ก็มีร้านขายรองเท้า ทั้งหนังและผ้าใบเห็นพวกที่ซื้อมาบอกว่าถูก เดินดูบ้านเมืองไปเรื่อยๆด้านติดถนนเป็นเมืองใหม่ห้องแถวใหม่ๆแต่ถ้ามองเข้าไปตามซอกตามซอยด้านหลังก็ยังเป็นบ้านเก่าๆกันอยู่ เหมือนมี 2 มิติ
หลังอาหารกลางวันก็เริ่มออกเดินทาง
เย็นนี้เราจะกลับไปถึงเมืองเซียงเฉิง เพื่อพักค้างคืน
แล้วเดินทางต่อไปจงเตี้ยนเพื่อบินกลับคุนหมิงตอนเช้าวันต่อไป เริ่มออกรถก็เริ่มสงสัยเพราะรถขับวนไปวนมา
รู้ทีหลังว่าวนหาซื้อน้ำมันเครื่อง รถอะไรจะกินน้ำมันเครื่องขนาดนี้ วนไป 3
ปั๊ม จึงหาได้ เติมเสร็จก็ออกเดินทาง
รถปุโรทั่งคันนี้มองภายนอกยังใหม่ปิ๊ง
แต่ด้วยว่าใช้วิ่งขึ้นเขาลงเขาสูงชันวันละหลายชั่วโมง สภาพจึงได้โทรมรวดเร็วขนาดนี้
ขับไปก็จอดแวะพักเป็นระยะๆ อากาศยังหนาวทุกจุดที่จอด
แต่ก็ยังลงมาถ่ายภาพกันได้ทุกที่ วิวเมืองจีนบนเขาเวลานี้สวยจริงๆ
ไม่ว่าจอดจุดไหนก็สวย มีอะไรให้ถ่ายตลอดเวลา
เราเดินทางมาถึงเมืองเซียงเฉิงเร็วกว่าที่คาด
จึงมีเวลาพอจะขึ้นไปวัดบนเขาที่มองเห็นจากโรงแรมตั้งแต่เช้าวันก่อนโน้น รถวิ่งผ่านตัวเมืองเซียงเฉิง
ทำให้ได้เห็นภาพชีวิตของชาวเมือง เพราะครั้งก่อนมาถึงก็ค่ำมืดแล้ว
เมืองเซียงเฉิงกำลังถูกพัฒนาอย่างมาก ถนนหนทางกำลังขยาย อาคารใหม่มีให้เห็นตลอดทาง
มีโรงหนังมีดิสโก้เทค แต่ชาวบ้านก็ยังคงเป็นมีวิถีชีวิตง่ายๆแบบเดิม
ไม่อยากคิดว่าถ้ามีโอกาสกลับมาอีกครั้งเมืองจะเปลี่ยนไปขนาดไหน
เรานั่งรถขึ้นเขาไปพักหนึ่งก็ถึงวัด พวกเราเร่งทำเวลาถ่ายรูปเพราะกลัวแสงจะหมด ดูโดยรวมแล้ววัดสไตล์ธิเบตหน้าตาคล้ายๆกัน เลยเร่ไปหาวิวด้านนอกเพราะวัดอยู่บนเขาคงมีวิวสวยๆ ด้านหน้าวัดสามารถมองเห็นเมืองด้านล่างได้ และยังมีบ้านดินอยู่ต่ำลงไปหลายหลัง แต่บ้านดินตรงนี้ไม่แน่ใจว่าสร้างเสร็จหรือยังหรือเป็นแค่โกดังเก็บของ เพราะมองไม่เห็นหน้าต่างสักด้าน บ้านทำด้วยดินสีแดงทั้งหลัง หลังคาราบเหมือนดาดฟ้าเอาไว้ตากของตามสไตล์บ้านธิเบตทั่วไป
ด้านในวัด ถ่ายภาพไม่ได้ ก็เลยเดินดูไปเรื่อยๆ ขึ้นไปชั้นบน เริ่มมีลามะหนุ่ม 2 รูปมาทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีเดินพาชมวัด พาพวกเราขึ้นไปดูถึงชั้น 3 บนดาดฟ้า ได้ถ่ายภาพคู่กับลามะด้วย พวกเราโอ้เอ้อยู่ 3 – 4 คน คนอื่นๆเริ่มทยอยไปด้านล่างกันแล้ว แต่กลายเป็นโอ้เอ้จนได้ดี เพราะลามะเจ้าบ้านบอกสมชายว่าจะพาไปดูพระสารีริกธาตุ พวกเราตื่นเต้นกันใหญ่ ห้องนั้นถูกปิดล็อคไว้ ลามะไปเปิดให้ดูเป็นกรณีพิเศษ เข้าไปดูกลายเป็นกระดูกของเจ้าอาวาสองค์แรก แต่กระดูกก็มองไม่เห็นหรอกอยู่ในผอบเล็กๆ แต่มีไฮไลท์คือ มีหินก้อนหนึ่งมีลวดลายเหมือนหน้าเจ้าอาวาส มันเกิดธรรมชาติ เป็นลายสีในเนื้อหิน และยังมีรูปภาพเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันด้วย ซึ่งลามะ 2 รูปนี้ก็ไม่เคยเจอเพราะท่านอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ เคยเห็นแต่รูป
ดูไปฟังสมชายแปลเรื่องราวไปสักพักก็เริ่มมีลามะเข้ามาเพื่อทำการสวดมนต์ พวกเราจึงกลับลงมา สมชายบอกว่าพวกเราโชคดีตลอด ได้เจออะไรที่เจอยากๆถือว่ามีบุญ วัดก่อนก็ได้เจอตัวเจ้าอาวาสเลย กลับลงมาที่รถก็เล่าให้คนอื่นฟัง ก็เลยมีคนขอกลับขึ้นไปดูบ้าง พอไกด์ธิเบตรู้เรื่องก็ตื่นเต้นมากวิ่งเข้าในวัดกันหมด พวกเขาถือว่าถ้าได้ไปกราบไหว้กระดูกท่าเจ้าอาวาสจะเป็นมงคลต่อชีวิตอย่างสูง เห็นแล้วเข้าใจเลยว่าชาวธิเบตเขาศรัทธาในศาสนาและศาสดาของเขามากแค่ไหน
เมืองเซี่ยงเฉิงมองจากบนเขา
กลับมาถึงโรงแรม 5 ดาวของเมือง คราวนี้ไม่ได้ห้องหรูชั้น 5 แต่ได้ห้องเน่าชั้น 3 มันเน่าสมคำบอกเล่าจริงๆ คืนนี้ได้ไปกินอาหารเย็นที่ภัตตาคาร เดินเลยจากโรงแรมไปไม่ไกล มีเวลาเดินเลยไปดูของร้านใกล้ๆ เป็นร้านขายเครื่องเงินและพวกหินสีหรือเทอร์คอยซ์ เครื่องเงินที่นี่แกะเองตอกเองกันเห็นๆ สร้อยที่ร้อยหินสีไว้ก็สวย ก็เลยได้ช็อปปิ้งของดีราคาถูกกันถ้วนหน้า
วันที่ 7 : เซี่ยงเฉิง > จงเตี้ยน
วันนี้เราจะเดินทางกลับจงเตี้ยน ทางจะเป็นฝุ่นมากๆ ทุกคนเตรียมตัวโพกผ้าปิดหัวปิดปากกันตั้งแต่เริ่มเดินทาง วันนี้ไม่ค่อยได้จอดถ่ายรูปเพราะเป็นทางเดิมกับที่ผ่านมาแล้วประกอบกับคงเหนื่อยแล้วก็เอียนกันแล้ว เราแวะทานอาหารกลางวันที่หุบเขาแชงกรีล่าที่เดิม
วิวขาไปก็สวยขากลับก็ยังสวย
ช่วงบ่ายนั่งรถขึ้นเขาลงเขาไปเรื่อยๆ รถเจ้ากรรมก็ดังขึ้นมาเหมือนชิ้นส่วนจะหลุด แล้วก็ต้องจอดในที่สุด เห็นคนขับลงไปเปิดเครื่องดู มุดเข้าไปซ่อมโน่นซ่อมนี่โผล่ออกมาหัวเหอยุ่งไปหมด เลอะไปด้วยฝุ่น มองเห็นคนขับกับไกด์ดึงเชือกขาวๆเหมือนสายสิญจ์ออกมา สงสัยมากว่ามันจะทำอะไร หน่วยข่าวกรองมาส่งข่าวว่ากระบอกน้ำมันอะไรสักอย่างหลุด แต่ไม่เป็นไรเขาเอาเชือกมัดไว้แล้ว!! ไอ้เชือกสายสิญจ์นั่นอ่ะนะ แถมน้ำมันพาวเวอร์ก็รั่วหมดไปแล้ว คราวนี้คนขับคงต้องสาวพวงมาลัยด้วยพลังเหมาหนิวแล้วล่ะ
ในที่สุดเราก็ออกเดินทางต่อได้ ภาวนากันว่าให้ถึงเมืองจงเตี้ยนเถอะเพราะอยู่อีกไม่ไกลแล้ว เราแวะเติมน้ำกันมาเป็นระยะๆให้พอใจหาย ก็มาทันรถคันเล็กที่หน้าบ้านธิเบตอีกแบบหนึ่ง สมชายก็เลยให้แวะชมบ้านอีก เจ้าของบ้านก็น่ารักเหมือนเคย ให้พวกเราเข้าชมบ้านกันได้เต็มที่
นั่งรถต่อไปอีกไม่นานก็ถึงเมืองจงเตี้ยนได้ตอนโพล้เพล้พอดี
โรงแรมใหญ่โตหรูหรา ห้องพักก็พอใช้ได้
วันนี้พักผ่อนกันเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไปสนามบินแต่เช้ามืด เพื่อนั่งเครื่องบินกลับไปที่คุนหมิง
วันที่ 8 : จงเตี้ยน
ตื่นกันแต่เช้ามืด ออกมาหน้าโรงแรมตื่นเต้นเพราะหิมะตกขาวเต็มหลังคารถ หนาวจนอยู่ไม่ไหวต้องกลับไปอยู่ในโรงแรมกัน ได้เวลาก็นั่งรถไปสนามบินที่เต๋อชิง ชื่อสนามบินว่าแชงกรีล่าเลย เพราะจงเตี้ยนอ้างเลยว่าแชงกรีล่าคือที่นี่
หลังจากเข้าไปในสนามบินเพื่อจัดการเช็คอิน ก็พบว่าเรา 3 คนไม่มีตั๋วกลับกับกรุ๊ป!!! อ้าวเฮ้ย เกิดอะไรขึ้น ทำอย่างไรล่ะ สมชายวิ่งวุ่น สุดท้ายก็ช่วยอะไรไม่ได้ สรุปว่าบริษัททัวร์ที่จีนนี่แหละที่เข้าใจผิด เพราะเรา 3 คนไม่กลับเมืองไทยพร้อมกรุ๊ปจะอยู่เที่ยวต่อ แต่ไปตั้งต้นที่คุนหมิง ก็ต้องบินกลับคุนหมิงพร้อมกลุ่มซิ! แต่ดันไม่ทำตั๋วให้ งงไปเลยทีนี้ สมชายผู้ต้องรับผิดชอบ เลยตัดสินใจอยู่ที่จงเตี้ยนกับพวกเรา หาตั๋วกลับคุนหมิงให้ได้เป็นพรุ่งนี้เช้า
วันนี้สมชายเลยพาพวกเราเที่ยวจงเตี้ยนปลอบใจ
เริ่มต้นด้วยการพาไปกินข้าวแบบยูนนานแท้ๆ ผัดเหมาหนิวอร่อยมาก กินกับข้าวร้อนๆ
หายโกรธไปเลย
อิ่มแล้วไปเที่ยวทะเลสาบสู่ตู
(Shudu Lake) อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติผู่ต๋าชั่ว (Pudacuo
National Park) สมชายรับผิดชอบค่าเข้าให้หมด
ปล่อยให้พวกเราเข้าไปเดินเล่นตามสบาย บริเวณรอบๆจัดทำเป็นสวนมีคนมาพักผ่อนกันเยอะพอสมควร
พวกเราก็เดินเล่น ถ่ายรูปกับจามรีเป็นที่สนุกสนาน
ก็ไหนๆก็ไม่ได้กลับก็เที่ยวให้สนุกดีกว่า
เดินเที่ยวเล่นจนพอใจก็ออกมาเจอสมชาย นั่งรถต่อไปที่วัด จำชื่อไม่ได้ วัดดูสงบดีมาก ด้านในถ่ายรูปไม่ได้ เดินถ่ายรูปรอบนอกได้ มีเจดีที่ก่อด้วยแผ่นหินกาบ แปลกดี
จุดชมเมืองจงเตี้ยน
จากนั้นก็ไปเดินเล่นที่ เมืองเก่าตู๋เค่อจง (Dukezong Ancient Town) เป็นย่านเก่าแก่ของเมืองจงเตี้ยน เดินลัดเลาะตรอกซอกซอย ดูบ้านแบบดั้งเดิม ร้านค้า ร้านอาหาร เริ่มมีที่พัก มีร้านกาแฟเก๋ๆต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว
เดินเล่นอยู่ในเมืองเก่าจนเย็น ก็ออกไปทานอาหารเย็น มื้อนี้สมชายพาไปกินหม้อไฟยูนนาน โอ้โห…. มันอร่อยมาก ถามว่าทำไมไม่พาทัวร์มากินแบบนี้ สมชายบอกว่าไม่มีร้านใหญ่ๆที่รับนักท่องเที่ยวได้ จึงต้องไปภัตตาคารแทน เสียดายแทนคนอื่นๆ เพราะมันอร่อยจริงๆน้ำซุปไก่หอมหวานแต่ก็เผ็ดร้อนจากเครื่องยาจีน กินแล้วคลายหนาวดีจริงๆ
ทริปแชงกรีล่าตามโปรแกรมทัวร์ต้องไปจบวันนี้ที่คุนหมิง แต่พวกเราไม่ได้ไปคุนหมิงกับกรุ๊ป กลับได้เที่ยวจงเตี้ยนเพิ่ม 1 วัน ตามต่อตอน 3 Shangri-La is in my dream (3) กลับคุนหมิง แล้วไปเที่ยวต้าหลี่ต่ออีก
Like this: Like Loading...