ภาระกิจพิชิตมิดเดิ้ลเอิร์ธ – ตะลุยเกาะเหนือนิวซีแลนด์

Trip : April 2015

The North Island – New Zealand

 

 

เหตุเกิดจากคุณโรสเพื่อนเลิฟที่ไปฝังรากลึกที่อเมริกาจะมาเที่ยวนิวซีแลนด์ คุยกันไปมาเลยว่า “ไปด้วย!!” แต่ด้วยว่าเราเพิ่งไปลุยเกาะใต้มาสิบกว่าวันเมื่อปีที่แล้ว เลยปล่อยเธอไปลุยเกาะใต้กับพี่สาวก่อนสักอาทิตย์ แล้วค่อยมาเจอกันที่ Auckland แล้วลุยเกาะเหนือต่อกันอีกสัก 5-6 วัน เยี่ยมเลยแผนนี้!

Continue reading “ภาระกิจพิชิตมิดเดิ้ลเอิร์ธ – ตะลุยเกาะเหนือนิวซีแลนด์”

ลุยนิวซีแลนด์แดนกีวี – ลุยเกาะใต้ [ภาคปัจฉิมบท]

ลุยนิวซีแลนด์แดนกีวี [ภาคปัจฉิมบท]

Trip : May 2014

The South Island – New Zealand

อ่านภาคแรกก่อนได้ > ลุยนิวซีแลนด์แดนกีวี [ภาคปฐมบท] < พวกเรา 4 เดนตายเริ่มต้นทริปที่ Christchurch ขับรถแวะเที่ยวตามรายทาง Franz Josef Glacier, Fox Glacier, Lake Hawea, Arrow Town, มาจนถึง Queenstown แล้ว ภาค 2 นี่ก็จะขับต่อไปจนถึง Milford Sound แล้ววนกลับขึ้นเส้นกลางเกาะกลับ Christchurch ตามแผนที่เราวางไว้ล่ะ…

Route-Final

ไปต่อกันเลย…

66277-day-6

วันนี้เราเดินทางไกลอีกวัน หลังได้พักเที่ยวชิลๆที่ Queenstown 2 คืน แต่เช้านี้อากาศอึมครึมไปหน่อย เมฆตรึมเลย แผนแรกว่าจะไปนอน Te-Anau แล้วออกแต่เช้ามืดไป Milford Sound ซึ่งหลายๆคนนิยมแผนนี้ แต่เราไม่ค่อยจะเหมือนใคร ใจอยากขับยาววันนี้ไปนอน Milford Sound เลย ก็ร่วม 315 กม. แต่วันนี้ไม่มีอะไรเที่ยวตามรายทางก็น่าจะตียาวได้ ไว้ค่อยกลับมาเที่ยว Te-Anau วันหลังได้ แต่เราหาจองที่พักที่ Milford Sound ไม่ได้เลย ไม่อยากบึ่งไปไกลถึงโน่นแล้วไม่มีที่พัก เพราะเค้ารีวิวกันว่าเมืองมันเล็กมากกกกก ก.ไก่หลายร้อยตัว ที่พักที่เปิดให้จองก็แพงเกินงบไปหน่อย แต่น่าจะสวยดีเป็น Log Cabin แต่ฟังเสียงสมาชิกแล้วไม่เอาดีกว่า มาจองเอาที่ Knobflat อยู่กลางทางจาก Te-Anau ไป Milford Sound จองไปซะจ่ายผ่าน Paypal ด้วยเหอะ

ออกจาก Queenstown ราวๆ 9 โมง เติมน้ำมันให้พร้อมวันนี้วิ่งยาว วิ่งออกไฮเวย์สาย 6 อันเดิม วันนี้อากาศมัวซัวมาก ขับยาวๆไปฝนตก เป็นการขับรถที่ไม่ได้ซึมซับวิวรอบข้างเลย ฝนกตกตลอด ขับยาว 3 ชม.มาถึง Te-Anau เที่ยงพอดี แวะเข้ากลางเมืองหาข้าวกิน ร้านนี้อาหารญี่ปุ่นนี่ดูน่ากินที่สุดล่ะ หลังจาก search อินเตอร์เน็ตมาแล้วขับหาร้านไม่เจอ ถือว่าขับชมเมืองไป ตัดสินใจเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นริมทะเลสาปร้านนี้ อร่อยง่ายๆใช้ได้ ดูแล้วเป็นร้านเก่าแก่ของเมืองทีเดียว คนเข้าก็เยอะ กินเสร็จฝนหยุด เลยลงไปทักทายทะเลสาป Lake Te-Anau น้ำนิ่งมาก สะท้อนภาพเหมือนกระจก เสียแต่ไม่มีแดด ไว้กลับมาเก็บตกพรุ่งนี้นะ

เงียบสงบจนวังเวง

ออกเดินทางต่อไป Knobflat ตอนแรกคิดว่าคงเป็นเมืองเล็กๆกลางทาง จริงๆแล้วมันเป็น Cabin ที่พักของอุทยานแห่งชาติ ดีที่เรามีของสดของแห้งมาพร้อม เมนูวันนี้คิดมาเลยว่า แกะย่างหมูย่างกับมันฝรั่งต้ม มาถึงเจอเตาแก๊สล่ะ งมอยู่พักนึงก็เปิดได้ แถมมันมีช่องให้วางเนื้อกริลได้เลย ดวงดีสุดๆ ตอนมาถึงหลอนมาก เพราะมีเราคันเดียว เข้าสำนักงานไป มีป้าเจ้าหน้าที่ในชุดยูนิฟอร์มเหมือนนายอำเภอรออยู่ เราเป็นกลุ่มเดียวของคืนนี้จริงๆ ป้าพาไปแนะนำที่พัก แล้วก็แนะนำที่เดินเที่ยวชม เพราะตอนนี้เพิ่งบ่าย 3 จริงๆเราควรแวะเที่ยวรายทางได้ 2-3 ที่ เช่น Mirror lake แต่เพราะฝนมันตกฟ้าก็ปิด Mirror Lake อุตส่าห์เดินตากฝนปรอยๆลงไปดู ก็ไม่สะท้อนนะ เลยมาที่พักเลยดีกว่า ดีว่ามาถึงฝนหยุดพอดี ป้าแกแนะนำเทรลสั้นๆข้างที่พัก เดินเข้าไปชมน้ำตกได้ พวกเราเลยหมักหมูหมักแกะไว้ แล้วไปเดินเทรลกัน เข้าไปเป็นป่าดึกดำบรรพ์ ปกคลุมไปด้วยมอส ชอบมากๆเลยอ่ะ สดชื่นดี เพียงแต่หลอนไปหน่อย เพราะไม่มีใคร ป้าเอาไฟฉายมาให้แล้วป้าก็ไป บอกไว้ว่ามีอะไรให้เดินไปโทรศัพท์ที่ห้องสันทนาการนะ เพราะตรงนี้ไม่มีสัญญานมือถือ

พวกเราได้รับคำแนะนำให้เดินตามลูกศรสีแดงไปเรื่อยๆ ที่นี่ไม่มีป้ายนะ มีลูกศรเป็นแผ่นสามเหลี่ยม ติดไว้เป็นระยะ น่าสงสัยว่าใครมือดีไปหมุนแผ่นสามเหลี่ยมเล่น พวกกรูจะหลงป่ามั้ย – -“ แต่พวกเราก็เดินกันไปจนถึง น้ำตกเล็กเท่าฉี่แมว ถ่ายรูปไว้สักหน่อย กลับออกไปยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม เข้าห้องไปพักผ่อน พักผ่อนจริงๆนะเพราะไม่มีสัญญานเน็ต ชีวิตช่างอึดอัดสิ้นดี ฮ่าๆๆๆ แต่ก็ได้คว้าหนังสือที่พกติดตัวมาอ่านได้ ไม่งั้นทุกทริปแบกมาก็แบกกลับ อ่านได้ 2 หน้าก็เก่งแล้ว อินเตอร์เน็ตทำชีวิตเปลี่ยนไปจริงๆ ปาร์ตี้สเต็กกับไวน์ดีๆผ่านไปอย่างชื่นมื่นอีกคืน

4fd39-wwimg_7049

ตื่นเช้ามามันสดชื่นมากๆ เพราะพักผ่อนเต็มที่ที่สุด ออกเดินทางต่อตั้งแต่ 8 โมงเช้า เพราะต้องขับไปอีก 50 กิโลกว่าๆเพื่อให้ทันเรือที่เราจองไว้รอบ 9 โมงเช้า เช้านี้อากาศเริ่มเปิดเล็กๆ ฝนไม่ตก ทางที่ไปผ่านป่าอุทยาน ต้นไม่สูง อากาศเย็นชื้น มีจุดสวยๆหลายจุด เอาไว้มาแวะขากลับตอนสว่างแล้ว ขับมาจนถึงอุโมงค์ (Homer Tunnel) ที่ซึ่งหลายๆคนขับตะบึงมาตอนกลางคืนจะเงิบที่นี่เพราะอุโมงค์มีเวลาปิดเปิด ดังนั้นใครจะมาตอนเย็นกะเวลาดีๆด้วยให้ทันผ่านตรงนี้ภายใน 5 โมงเย็น อุโมงนี่ยาวกิโลกว่าๆเลย สูงกว่าระดับน้ำทะเล 900 กว่าม. เหมือนแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วน พ้นอุโมงไปจะเป็นหุบเขารอบด้าน มองดูเวิ้งว้างน่ากลัวใช่ย่อย

จากอุโมงไปอีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว Milford Sound ไม่อยากจะเรียกว่าเป็นเมืองนะเพราะมันไม่ใช่ มันคือจุดท่องเที่ยวที่อยู่โคตรไกลแค่นั้น

ทุกคนจอดรถที่ลานจอดแล้วก็เดินตามทางมีหลังคาไปที่ตึกสำนักงานริมท่าเรือ เข้าไปก็นำตั๋วจองไปขึ้น Boarding pass ที่เคาเตอร์บ.ใครบ.มัน มีอยู่ 3-4 เจ้า เรือเล็กเรือใหญ่เรือหรู รวมอาหารไม่รวมอาหาร ของเราเป็นบ.Southern Discovery จองมากับสนง.การท่องเที่ยว ได้เรือไม่ใหญ่นัก แต่ก็โอเคกระทัดรัดดี รอเวลาเรือออก ใครใคร่หาอะไรรองท้องก็หา มีร้านขายของเล็กๆมีตู้กดของกิน ไม่มีร้านอาหาร หรือมี? แต่ไม่เห็นนะ เดินวนๆไปริมท่าเรือถ่ายรูปกับเรือสำราญสวยๆพักเดียวก็ถึงเวลา ทุกคนต่างหาเรือตัวเองแล้วไปลงเรือกัน

เรือวนออกไป ให้ชมวิวยามเช้าของทะเล ที่มีภูเขาสูงเป็นฉากหลัง บรรยากาศอึมครึมเล็กน้อย อาศัยจิบกาแฟร้อนที่เตรียมใส่กระติกมา ชมวิวไปก็ชิลดี ในเรือเค้าก็มีชากาแฟให้นะไปชงเองได้เลย พอดีเราเตรียมมาก็กินของเราอร่อยกว่า พี่กัปตันบรรยายโน่นนี่นั่น อย่าถามว่าฟังมั้ย ไม่เคยฟัง เอาแค่ว่าพอเรือโฉบเข้าริมผาคนเฮไปดูอะไรกันที่ระเบียงก็ไปด้วย แล้วก็ถาม PB what? What? ฮ่าๆๆๆ เราว่า PB คงเอือมๆเราเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ

จุดแรกที่เรือไปเทียบท่าคือ Milford Sound Discovery Centre (underwater observatory) ซึ่งเราไม่ได้ซื้อทัวร์นี้ไว้ ใครซื้อไว้ก็ลงไป แล้วเมื่อไหร่มีเรือมารับ เราก้ไม่รู้อ่ะ มีคนลงประมาณ 5-6 คน ส่วนมากคงแค่ล่องเรือชมวิวแบบเรา เรือพาชมวิว เลาะริมผาสูงชันไปเรื่อย บางจุดเป็นน้ำตกที่ตกมาจากหน้าผาสูง ลงมาเป็นฝอยเปียกปอนกันไปเลย จริงๆเค้ามีเสื้อกันฝนให้ใส่คลุมถ้าใครจะไปยืนที่ระเบียงเรือรับไอน้ำเปียกๆหนาวๆ แต่พวกเราเคยฟังอะไรบ้าง 5555 ดีว่าเสื้อหนาวพวกเราเป็นแบบมีฮู๊ดกันน้ำได้ เลยออกไปเริ่งร่ากันท้ายเรือ ให้หนาวๆสะใจ ฝรั่งเค้าใส่เสื้อกันฝนตัวยาวกัน ยืนหน้าเรือสวยๆ 55 อิ 4 คนนี่กรี๊ดๆอยู่ท้ายเรือเปียกๆหนาวๆ

จุดอื่นๆก็จุดชมแมวน้ำ ได้เห็นแมวน้ำจริงๆในธรรมชาติ กรี๊ดกร๊าดตื่นเต้นกันใหญ่ นางนอนเอือกๆทำหน้าตาเอือมๆบนโขดหินอยู่ 4-5 ตัว (อาจมีคนถามว่าหน้าเอือมๆของแมวน้ำเป็นไง ก็ดูซิ หน้าตามันเอือมมากๆ)

เรือพาวนไปจนออกเหมือนปากอ่าว พระอาทิตย์เริ่มโผล่หน้ามาให้อบอุ่นกันทั้งดาดฟ้า ฝรั่งน้อยใหญ่ไปยืนอาบแดดกัน คนไทยหลบๆตามมุมเช่นเคยขอไออุ่นแต่ไม่ขอดำ พอสายๆแดดออกอุ่นๆบรรยากาศดีมากๆเรือก็กลับมาถึงท่าพอดีเชียว

เข้ามาเมียงมองหาของกินก็อย่างที่บอกมันไม่มี เลยเดินกลับไปจุดจอดรถไปหาของกินเอาดาบหน้า ยังหวังว่ามันคงมีจุดที่พอเรียกว่าเมืองบ้าง ก่อนถึงลานจอดรถมองขวามือนะ มีมุมให้ถ่ายรูปภูเขาสะท้อนน้ำงามดี ขาไปมันยังเช้าไม่มีแสงไม่สวย

ออกจากลานจอดก็จะเที่ยงล่ะ ขับวนในแถบนั้นหาอะไรที่พอกินได้ แต่ไม่พบสัญญานอาหาร วนเข้าที่พักที่ตอนแรกคิดจะจองมันก็เงียบเชียบไร้ผู้คน เอาวะ ขับกลับเถอะ ระหว่างทางคงมีบ้าง (จริงๆก็หลอกตัวเองเหอะ เพราะตอนขามาก็ไม่เห็นไรนอกจากป่า)

ขับออกมาเรื่อยๆ วิวสวยๆที่ไม่ได้จอดขามาก็แวะถ่ายรูปกันซะ ใครถ่ายก็ถ่ายไป ใครหิวก็คุ้ยขนมคุ้ยน้ำกินกันไป จนมาถึงทางเข้าอุโมง บ๊ะ! นก kea ที่เราตามหามาร่อนกันเต็มหน้าทางเข้าอุโมงเลย จัดแจงจอดเข้าข้างทาง ลงจากรถไปถ่ายรูปกัน สักพัก เริ่มรู้สึกตัวว่าอยู่ในวงล้อมนกแก้วมฤตยู เพราะนางมีจงอยปากที่น่ากลัวและนางไม่กลัวคน นางจ้องหน้า นางทำท่าจะจิกกล้อง เริ่มสยอง นางเริ่มเกาะหลังคารถ เอาจงอยปากจิกหลังคารถ กึ่กๆๆๆ สยองมาก รีบขึ้นรถดีกว่า รถคันอื่นเห็นก็จอดบ้าง แต่คงงงที่เห็นอินี่วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นรถ เดี๋ยวก็รู้เหอๆๆ

ออกจากอุโมงมีวิวสวยอีก จอดถ่ายรูปตามรถทัวร์ ยืนชมวิวงามๆเสียงท้องร้องทำให้ต้องเดินขึ้นรถอย่างเสียดาย จากนี้ไป ปฏิบัติการคุ้ยหาอาหารเริ่มรุนแรงขึ้น หากขับรถเที่ยวในไทยเราคงมีเตามาทำอะไรกินได้ นี่มีแต่ของสดแต่ไม่มีเตา เลยได้แต่งัดของแห้งๆมากินกัน ขับย้อนมาจนถึงทางแยกที่ขอมาเราชี้กันว่า มันมีป้ายที่พัก คงเอาไว้สำหรับคนที่มาไม่ทันอุโมงปิดเพราะอยู่ไม่ไกลจากอุโมงเท่าไหร่ ฝันกว่าว่าที่พักคงอยู่ในเมืองเล็กๆกลางหุบเรา มีซุปมีฮ็อทด็อกกินเบาๆ กรั่กๆ ขับเข้าไปลึกเข้าๆ ทางเริ่มขรุขระ สุดท้ายก็ถึงนะ มันเป็นที่พักจริงๆ สำหรับพักเลย ไม่มีเมืองแต่อย่างใด กร๊ากกกกก เข้าไปถามเจ๊กับเพื่อนที่ออฟฟิสเจ๊บอกไม่มีไรกินหร๊อกกก ให้ขับกลับไป Te-Anua โน่น

กร๊ากกกกกกก หิววุ้ย แต่จนปัญญา Te-Anua ก็ได้วะ เอาล่ะมุ่งหน้ากลับ ระหว่างทางผ่าน Knobflat อยากลงไปขอป้าแกใช้เตาต้มมาม่ากินซะจริงๆ แต่สมาชิกสู้ตายบอกไปเลยๆๆ ผ่าน Knobflat ไปหน่อยเดียว พวกเราก็แวะเก็บตก Mirror Lake ที่ขามาอากาศไม่เป็นใจ งวดนี้แดดดีฟ้าแจ่ม มองเห็นภาพสะท้อน  Earl Mountains ในทะเลสาปสมใจ ทางเดินทำเป็นพื้นไม่อย่างดี เดินลงจากจุดจอดไม่ไกล มีเป็ดร้องแคว๊กๆแทรกเสียงท้องร้องจ๊อกๆ วนขึ้นมาถึงรถ คุ้ยท้ายรถได้โคสลอว์มา 1 กระปุกเล็กๆ มะเขือเทศสด 1 ถุง ขนมขบเคี้ยวเล็กน้อย ซัดกันประทังชีวิต อนาถแท้ นี่แหละชีวิต

0a911-wwimg_7332

ออกเดินทางต่อ ผ่านทุ่งหญ้าที่เราหมายมั่นไว้แต่ขามาอีกเช่นกัน ต้องแวะๆ คงไม่ได้มาบ่อยๆหิวทนได้ กร๊ากกกก เลี้ยวรถเข้าตามทางรถวิ่งที่พอมี จอดแล้วเริงร่าถ่ายรูปกันสนุกสนานลืมหิว (?) หายอยากก็ถึงคราวบึ่งรถเข้า Te-Anau แต่ก็ยังแวะถ่ายรูปเป็นระยะนะ ก็มันสวย 

สุดท้ายถึงจนได้ในเวลาบ่ายแก่ๆ หิวกันตาลาย แต่ร้านก็หายากเย็นเดินวนไปวนมาตามเวปรีวิว ร้านมันหายไปแล้วนะ วนไปวนมา บางร้านก็ปิดบ่ายด้วยไง สุดท้ายก็เลือกได้คาเฟ่ร้านกลางๆเมือง ประทังชีวิตด้วยซุปขนมปังพาสต้า พอหายหิวสมองเริ่มทำงาน อืมมมม โปรแกรมที่น้องเจี๊ยบเคยเสนอคือ ถ้ำหนอนเรืองแสงมันยังน่าจะพอทันเวลานี่หว่า ท้องอิ่มสมองสั่ง ข้ามไปจัดเสบียงคืนนี้ก่อน เพราะซุปเปอร์มันจะปิดเร็ว แยกย้ายกันไปจัดๆๆ ของเคี้ยวของดื่มจัดไปอย่าให้ขาด ครบครันก็ขับไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่อยู่ริมทะเลสาป ที่พวกเราเล็งพิกัดไว้แต่ขามาแล้ว เข้าไปติดต่อก็ยังมีรอบอยู่ จัดแจงซื้อตั๋วรอบ 5:45 (ราคาไม่ถูกเลยเหอะ หวังว่าจะคุ้ม) รอรอบพร้อมนักท่องเที่ยวจีนอีกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่

เริ่มโพล้เพล้ได้เวลาก็นั่งเรือออกไปไม่นาน ไปถึงท่าที่เกาะสักแห่ง เข้าไปฟังบรรยายสั้นๆแล้วก็แบ่งเป็นกลุ่มๆเดินตามไกด์เข้าในถ้ำ อารมณ์เย็นๆเยือกๆชื้นเหมือนถ้ำหินงอกหินย้อยบ้านเรา ก็เดินดูเพลินๆไป มีน้ำตกมาในถ้ำเป็ยจุด ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ทางเดินคงจัดวนๆกันจะได้เดินหลายๆกลุ่มไม่ชนกัน จนถึงจุดที่ต้องลงนั่งเรือ ไกด์สาวพายเอง ทุกคนต้องปิดไฟ นั่งไปมืดๆเงียบๆ เดี๋ยวหนอนตกใจ ? หนอนมีหูเหรอวะ แต่เงียบๆก็ดี นั่งไปพักนึงเริ่มเห็นแสงเรืองๆเขียวๆเหลืองๆ บางช่วงก็เยอะ เป็นระยิบระยับ อารมณ์เหมือนดูหิ่งห้อยบ้านเรา ก็แปลกตาดี จบทริปกลับมาห้องฟังบรรยายอีกเล็กๆจิบชากาแฟฟรีผิงไฟอุ่นๆแล้วก็ลงเรือกลับกัน ยังมีรอบสุดท้ายมาอีกลำด้วยนะ (ข้างในมืดมากไม่ได้ถ่ายรูป ข้างในก็ประมาณในรูป เดินๆไป)

ขับมาที่พัก วันนี้อยู่ริมทะเลสาบ แต่มืดแล้ว ไว้ชมวิวตอนเช้า คืนนี้จัดอาหารไทย เครื่องปรุงซองงัดมาทำลาย ต้มยำ ลาบ ผัดผัก แกล้มกับ Pinor Noir เข้ากั๊นเข้ากัน

ตื่นเช้ามาจิบกาแฟชมวิวทะเลสาปเตอานาว เย็นๆชื้นๆ บรรยากาศชวนจ็อกกิ้ง แต่…ขี้เกียจนะ นั่งนิ่งๆดีกว่า

สองสาวตื่นอาบน้ำกันเสร็จแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าวนกลับ แต่จะเลยทางแยกเข้า Queenstown ออกซีกขวาขึ้นเหนือต่อไป จุดหมายของเราวันนี้จะไปนอนที่ Mt.Cook ที่เค้าว่าสวยกันนักหนา

ออกจาก Te-Anau ก็ใกล้จะ 10 โมงล่ะ แวะเก็บแกะตามรายทางอีก เพราะวันนี้วิวสวยฟ้าใสใช้ได้ มาเรื่อยๆจนบ่ายโมงกว่า ก่อนถึง Cromwell เจอร้านอาหารข้างทางน่ารักมาก ชื่อ The Nose ใช่เลย มีจมูกใหญ่ๆเป็นสัญญลักษณ์แวะพักกินอาหารกลางวันกันก่อน อาหารอร่อยดี ร้านดูหรูหราระดับหนึ่ง ด้านหลังเลยออกไปมีสนามแข่งรถ คงเป็นย่านไฮโซเล็กๆ พวกเราแค่ซัดอาหารแล้วก็เผ่น

จากนี้อีกนิดเดียวก็ถึงเมือง Cromwell แวะเข้าไปชมหน่อย เมือง Cromwell เป็นเมืองผลไม้ ตอนนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรมผลไม้แปรรูปที่สำคัญของนิวซีแลนด์ มีสวนผลไม้เยอะแยะ มีผลไม้สดและแปรรูปให้เลือกซื้อ ที่ขึ้นชื่อเค้าเรียก Stone Fruit มันคือพืชพวก plums, cherries, peaches, nectarines, apricots, almonds (หามาจากวิกิ) ถึงขนาดมีรูปปั้นยักษ์ตรงทางเข้าเมืองกันเลย
นอกจากนั้นเค้ามีอนุรักษ์ย่านเมืองเก่าไว้ให้เดินชมได้ เมืองเก่าน่ารักแต่ขาดชีวิตชีวาเพราะมีแต่ตึก และเราเข้าไปเย็นแล้ว ถ้ากลางวันอาจมีคนอยู่ทำกิจกรรมจริงๆบ้าง พวกเราก็เดินดูชมตึกเก่าๆไปเรื่อยๆ แต่วิวริมทะเลสาป Dunstan งามมากๆ งามจับใจจริงๆ อยากนั่งเปิดไวน์จิบ มองทะเลสาปนิ่งๆนี่ไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้นะยังต้องไปอีกไกลอยู่ เลยได้แค่สูดอากาศเต็มปอดแล้วออกเดินทางต่อ

6a786-ww393

จากนี้บึ่งๆกันอีก เพราะโอ้เอ้กันมาเยอะ เหอๆๆ เราผ่าน Lindis Pass ที่เป็นทุ่งหุบเขาโล้นๆสีทอง เค้าว่ากันว่า Lord of the Rings ถ่ายทำแถบนี้ในช่วงเดินทางของพันธมิตรแหวน แต่ก็ไม่รู้นะตรงไหนยังไง จอดที่จุดชมวิว เดินขึ้นเนินไปยืนมองมันสวยดี ดูเวิ้งว้าง ถ่ายรูปมา มันไม่สวยเหมือนตาเห็นนะ ไม่รู้จะถ่ายยังไงให้สวยเหมือนที่เห็นไม่ได้เลย ดังนั้นควรไปชมเอง

86a49-w-pano-img_8682

มาถึงแยก Omarama เอาห้าโมงเย็นแล้ว แวะเติมน้ำมัน และหาซื้อกาแฟกินหน่อย จากนี้ยังต้องไปอีกพักใหญ่ เราถึงทางแยกเข้า Mt.Cook ก็มืดพอดีแต่มันแค่ 6 โมงเอง แต่จากปากทางเข้าไปตาม Highway 80 อีกเกือบ 50 กิโล!! พวกเราก็เลยถึงที่พักมืดตื้บ! วันนี้ฟ้าใสพระจันทร์ใหญ่มากกกก เน้นว่ามาก แต่ถ่ายภาพไม่ได้เสียดายจัง

เราจองที่พักที่ Mt.Cook Backpacker Lodge ที่พักคล้ายๆโรงแรม ห้องพักไม่มีเครื่องทำอาหาร พวกเราจึงเข้าไปทานอาหารเย็นในห้องอาหาร คล้ายๆโรงอาหาร สั่งอาหารที่เคาเตอร์แล้วรอเค้าเรียกไปรับอาหาร ทุกจานใหญ่มากบอกเลย สั่งพิซซ่า ซี่โครงอบ สั่งเบียร์ Tui มาแกล้ม คุยแผนการเที่ยววันต่อไปกันชิลๆ กินเสร็จต้องยกไปเก็บด้วยนะ

เช้านี้ตื่นมาอย่างสดชื่น จิบกาแฟนั่งที่ระเบียงชม Mt.Cook ที่ใหญ่เหมือนกำแพง ลงไปเดินเล่นหน้าโรงแรมหนาวงั่กๆ สายๆเข้าครัวไปต้มโจ๊กกินกัน ห้องครัวที่นี่เข้าไปทำอาหารกินได้เลย ทำเสร็จล้างเก็บด้วยนะ

 ออกจากรร.เราขับขึ้นไปแถบ The Hermitage Hotel อันหรูหรา แต่ไปแค่ชมวิวมุมสูงกับถ่ายรูปเล่น จากนั้นก็ขับลงมา หากมีเวลาที่นี่เต็มๆวัน ก็ไปเดิน trekking ได้นะ มีจุดให้เดินเที่ยวได้หลายจุด สามารถเดินไปชม Tasman Glacier ได้ เจ้า Tasman Glacier นี่เป็น Glacier ที่สูงที่สุดในเกาะใต้

06c67-wwimg_7706

พวกเราไม่มีเวลาเหลือเลยไม่ได้เดินเที่ยวที่นี่เลย ได้แต่ขับรถชมวิวไปเรื่อยตามทางขาออก เพราะขาเข้าเมื่อคืนมันมืด ถนนที่ขับมันเลาะเลียบ Lake Pukaki สวยมากๆ เลยต้องจอดเป็นระยะๆ มีจุดทีสามารถมองเห็น Tasman Glacier ไกลๆได้ ถึงไม่ได้เดินไปก็ยังได้เห็นละวะ

7f9d6-w-pano-img_8789

ออกมาถึง Highway สาย 8 เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้า Lake Tekapo ทางสบายๆขับเรื่อยๆไม่มีเขาล่ะ วิวชนบทงามๆ เราไปถึง Lake Tekapo ตอนเที่ยงๆพอดี เลือกร้านเหมาะๆสักร้านกินกลางวันกัน วันนี้กินแกะกันเป็นหลัก มองวิวทะเลสาปไปด้วย เยี่ยมยอดจริงๆ

อิ่มกันดีแล้วขับไปจอดหน้าโบสถ์ The Church of the Good Shepherd‎ที่เป็น Symbolic ของที่นี่ไปแล้ว โบสถ์เล็กๆริมทะเลสาป น่ารักจริงๆ วันนี้มีงานแต่งงาน เลยต้องวนๆอยู่ด้านนอกรอจนบ่าวสาวเสร็จพิธี ระหว่างรอก็เดินถ่ายรูปรอบนอกไป แล้วก็เดินเลยโบสถ์ออกไปที่อนุสาวรีย์สุนัขเลี้ยงแกะ (Collie sheepdog) ที่ชาวเมืองถือว่าเป็นหมาคู่เมืองของเค้า

เสร็จสมอารมณ์หมายก็ออกเดินทางต่อ มุ่งหน้ากลับ Christchurch ทางสบายอย่างที่บอกขับเรื่อยๆบ่ายแก่ก็ถึง Geraldine แวะ Coffee Break ที่ Berry Barn Bakery ที่หลายๆคนรีวิวไว้ มัน เอิ่มมมมม เหมือนร้านขนมข้างโรงเรียน เค้กงั้นๆ มีคุ๊กกี้พอไหว จิบกาแฟแก้ง่วงได้ ข้ามถนนไปเข้า Finest New Zealand Made Clothing ก็ร้านขายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนิวซีแลนด์นี่แหละ ผลาญเงินไปมากโขกับแจ็คเก็ตถุงมือ แต่ของเค้าดีจริงบอกเลย

baf88-wwimg_7885

มุ่งหน้าเข้า Christchurch กัน คืนนี้นอนหรูนิดนึง เอาใกล้ที่เที่ยวแบบเดินเล่นได้ เราเลือก Ibis Christchurch อยู่กลางเมืองแถบ Cathedral Square เลย Chk in เสร็จก็เดินหาอะไรกินกัน เดินไปเรื่อยเจอกับร้านราเม็งที่คนแน่นร้าน มั่นใจได้ว่าอร่อย ฮ่าๆๆๆ เลยเข้าไปลองดู โชคดีได้โต๊ะ ชิมแล้วก็โอนะ คนเข้ากันแน่นร้านตลอดเวลาคงดังจริงอะไรจริง เดินกลับมาโรงแรมก่อนเข้า เดินเลยไปชมโบสถ์ กันหน่อย กลางคืนคนน้อย ถ่ายภาพยามค่ำจนเค้าปิดไฟกลับโรงแรมนอน

วันนี้มีเวลาเที่ยวชม Christchurch สักครึ่งค่อนวัน คืนนี้จะไปนอน Kaikoura ห่างจาก Christchurch ไม่ไกล ออกจากโรงแรมเริ่มเดินชมเมืองจาก Cathedral Square เห็นโบสถ์ที่พังจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ก็แสนเสียดาย ตอนนี้ยังบูรณะอยู่ ตึกรอบๆก็ยังมีปิดซ่อมแซมอยู่หลายตึก มันคงไหวแรงจริงๆนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะน่ากลัวขนาดไหน

จาก Cathedral Square พวกเราเลือกเดินตามรางรถไฟ ที่ Christchurch นี่มีรถรางชมเมือง เป็นแบบ Hop on คือนั่งไปแล้วโดดขึ้นลงตามรายทางได้ เพราะรถจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวเด็ดๆทั่วเมือง เราเดินไปจนถึงตึกที่รางรถเลี้ยวเข้าไป พวกเราฉงนงงงวยกันอยู่ ว่ามันผ่าเข้าในตึกไปทำไม ก็ยังไม่รู้เพราะรถรางยังไม่เดินเลย พวกเราเดินเข้าไปเจอร้านอาหารเปิดบ้างแล้วเลยเลือกร้านอาหารเช้าร้านนึงติดริมรางรถไฟ ระหว่างกินๆก็ได้เห็นว่ารถรางมันผ่าเข้ามาจริงๆ จอดรับผู้โดยสารที่นี่ เพราะที่ๆเป็นจุดซื้อตั๋วรถรางจุดใหญ่จุดหนึ่ง โอ้ว เก๋ไก๋

อิ่มแล้วเดินตามรางรถไฟออกไปหลังตึก เดินไปเรื่อยๆวนกลับมาที่โรงแรม ระหว่างทางมองเห็นอาคารปิดซ่อมแซมอยู่หลายอาคารเลย ร้าวไปทั้งตึก แผ่นดินไหวครั้งนั้นทำความเสียหายต่อเมืองมากจริงๆ

จากนี้เราแบ่งเป็น 2 ทีม PB อยากเดินเล่นในเมืองต่อ แต่เรามุ่งมั่นอยากเห็นกีวี่ เมื่อพลาดจากที่ Queenstown มา เลยหาข้อมูลใหม่พบว่าที่ Chrsitchurch นี่มีสวนสัตว์ให้ชมต้องขับรถออกนเมืองไปหน่อย พวกเราเลยแยกกัน 3 คนไปดูกีวี่ แล้วนัดมาเจอกันบ่ายโมง

Willow Bank เป็นสวนสัตว์ที่อยู่นอกเมืองออกมาไม่ไกลมาก มันโฆษณาว่าเป็น The Kiwi Wildlife Experience กันเลย ต้องไปๆ ไปถึงก็ขำๆกันเพราะคนที่มามีแต่ครอบครัว มีแต่พ่อแม่พาลูกมาเที่ยว มีอิ 3 แก่นี่ที่แปลกแยก 555 แต่อยากบอกว่าขอแนะนำเลย สวนสัตว์ที่นี่มีครบครันสัตว์นิวซีแลนด์ และจัดได้ดี เป็นแบบอิสระไม่ใช่กรง เดินเพลินเลย กว่าจะถึงกีวี่ พี่ก็จัดไว้สุดทางเลย กีวีเป็นสัตว์ที่อยู่มืดๆ เลยต้องเลี้ยงไว้ให้กรงใหญ่เป็นห้องมืด มีทางเดินให้ลัดเลาะไปเรื่อยๆ มันมืดตื้บ จนคิดว่าจะไม่เห็นแล้ว ป้ายด้านหน้าบอกไว้ว่ามี 4 ตัวให้พยายามมองหา ดีใจมากๆที่ประสบผลสำเร็จ เพราะเจ้ากีวีวิ่งดุ๊กๆๆๆ ผ่านหน้าไป ยกมือถือมากดไว้ได้แบบมืดๆแต่เห็นปากแหลมๆ ถือว่ามาถึงนิวซีแลนด์แล้วนะ

กลับเข้าเมืองไปรับ PB ออกไปหาอาหารทางทางออกเมือง เจอร้านอร่อยมากกกก ก.ไก้ร้อยตัว ฟลุ๊คอีกแล้วอ่ะ อิ่มดีออกจากเมืองมุ่งหน้า Kaikoura เมืองริมทะเล ผู้คนชอบไปทัวร์ปลาวาฬ เค้าโฆษณาว่า 90% ได้เห็นเลยนะ ที่นี่เราไม่ได้จองที่พัก เลยต้องขับไปหาที่พักเอา แต่ก็มีมากมายให้เลือกแล้วแต่วิวที่ชอบ แล้วแต่ราคาที่ไหว เช็คอินเข้าที่พักแล้วก็อยากออกไปหาเพื่อนเลยบึ่งรถออกไปที่ Seal colony ใช่แล้วเพื่อนเราคือเจ้าแมวน้ำ

ขับลัดเลาะทะเลไปเรื่อย ไปถึงก็โพล้เพล้เต็มที เจ้าแมวน้ำนอนเอือกกันเต็มหาด ตัวก็เหม็น มีแมลงตอมเต็มไปหมด ช่างดูไม่น่ารักเลย 555 ยืนถ่ายรูปจนมืด ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ กลับห้องไปพักแต่ ขี้เกียจทำอาหารแล้วคืนสุดท้ายนี้ เลยออกมาหาอาหารกินกัน ที่นี่เค้าดัง Lobster ต้องไปจัดสักหน่อย เราเลือกร้าน Green Dolphin ถึอว่าเป็นร้านดังร้านหนึ่งใน Kaikoura จัดมา 1 ตัวแบ่งกันชิม ก็มันแพงงงงง ชิมๆกันพอได้อรรถรส อาหารอื่นๆก็อร่อยใช้ได้เลย จิบไวน์พอมึนๆ กลับห้องสบายใจอีกวัน

วันนี้เป็นวันสุดท้ายในเกาะใต้แล้ว เดี๋ยวเย็นนี้จะข้ามเฟอร์รี่ไปเกาะเหนือ เพื่อไปเวลลิงตัน ไปเยี่ยมเยือนแฟมมิลี่ที่น้องเจี๊ยบเคยมาอยู่ด้วยเมื่อเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน คือมันนานมากกกแล้วแต่ชียังติดต่อกันอยู่ น่ารักจริงๆเลย ก่อนจะลาเกาะใต้ ภาระกิจสุดท้ายที่หมายมั่นว่าต้องทำให้ได้คือ กินหอยแมงภู่นิวซีแลนด์ ที่แหล่งดังเมือง Havelock ที่ใครๆก็ไปแวะกินกันหากมาแถบ Marlborough

จัดอาหารเช้าแบบง่ายแบบทุบหม้อข้าว แล้วออกไปร่ำลาเจ้าแมวน้ำใหม่อีกครั้ง เพราะเมื่อวานมามืดไปหน่อย เช้านี้อากาศกำลังดีแดดอุ่นๆ เจ้าแมวน้ำนอนเกลือกที่เดิม แต่บางตัวก็เดินอุ้ยอ้ายมาอวดโฉมบ้าง เดินลัดเลาะมาตามทางเดินระแนงไม้ มีแอ่งน้ำที่มีเจ้าแมวน้ำตัวน้อยๆอยู่ เดินไปดูได้น่ารักดี เพราะตัวใหญ่ทั้งเหม็นทั้งไม่น่ารัก ฮ่าๆๆๆ ร่ำลากันแล้วก็ออกเดินทางต่อออกไฮเวย์ 1 ถนนลัดเลาะไปริมทะเล จะมองเห็นแมวน้ำอยู่ตามโขดหินเป็นระยะๆ ขับมาได้ไม่นาน จะมีแหล่งที่ขายลอบสเตอร์ราคาย่อมเยา เพราะเป็นร้านเล็กๆอารมณ์แบบชาวประมงมาขายเอง บางร้านเป็นเพิง บางร้านเป็นบ้านหลังเล็กๆ หากสนใจก็ขับเลยออกมาชิมได้ มันคงอร่อยเพราะความสดไม่ใช่เพราะการปรุงรส ดังนั้นร้านใหญ่ร้านเล็กไม่น่าเป็นปัญหา

ขับลัดเลาะไปเรื่อย จนเริ่มออกห่างจากทะเล มุ่งหน้าไปเมือง Blenheim เมื่อเริ่มเข้าเขต Blenheim จะเต็มไปด้วยไร่องุ่น สุดลูกหูลูกตา สวยงามมากนะ เมืองนี้ทำไวน์กันทั้งเมือง ด้วยว่า Malborough นี่เป็นแหล่งปลูกองุ่นขาวพันธุ์โซวีญยองบล็อง (Sauvignon Blanc) อันเลื่องชื่อ ถึงขนาดมีการจัดทำ The Malborough Wine Trail กันเลย ถ้ามีเวลาและเป็นคนหลงไหลไวน์ขาว คงขับรถชิมไวน์ไปได้เรื่อยๆ แต่เราไม่มีเวลาพอนะ เลยได้แต่ขับผ่านน้ำลายไหลไป

1fc92-wwimg_8092

ผ่านจาก Blenheim มุ่งหน้าไป Havelock ทางเริ่มแคบๆเป็นเขา ขับไปเรื่อยๆข้ามเขาไปก็ถึงแล้ว Havelock ตั้ง GPS ไปร้านเลย จริงๆไม่ต้องตั้งก็ได้นะ มันมีถนนเส้นเดียวผ่านเมือง The Mussle pot ร้านเด่นด้วยหม้ออบหอยแมงภู่บนหลังคา อยู่ริมถนนเห็นชัดเจน ร้านเปิด 11 โมง พวกเรามาถึงเวลาพอดีๆ เข้าไปในร้านยังว่าง พ่อหนุ่มมารับออเดอร์อย่างชิลๆ อาหารก็ค่อยๆทำ ค่อยๆเสิร์ฟ เราเลือกหอย หอย หอย มากินกัน มันไม่สะใจตรงขาดน้ำจิ้มซีฟู๊ดนี่แหละ กินไปกินมาชักเลี่ยน อิ่มอืดตบท้ายด้วยไอศครีมผลไม่ท้องถิ่นแก้เลี่ยน ชื่อแปลกๆดี

จากนี้เราจะไป Picton เป็นจุดลงเรือข้ามไปเกาะเหนือของเรา จากตัวเมือง Havelock มีทางตัดไป Picton ได้เลย แล้วมันก็สมคำร่ำลือ ว่าอ้วกแทบแตก เพราะมันคดเคี้ยวเลี้ยวลดข้ามเขาดิ่งๆๆๆไปเลย 30 กว่าโล เราก็ต้องบึ่งเล็กน้อยเพราะโอ้เอ้ไปนิด เลยไม่แวะจอดถ่ายรูปมากนัก พอลงมาแล้วก็รีบเอาของไปลงที่อาคารสำนักงานเพื่อ Chk in แล้วต้องเอารถไปคืนอีก ก่อนคืนต้องเติมน้ำมันอีก 2 คนต้องเอากระเป๋ามาเช็ค อีก 2 คนเอารถไปคืน ดราม่าบังเกิดหาพาสปอร์ตไม่เจอ เราเลยอยู่หากระเป๋า ระหว่างน้องเจี๊ยบไป Chk in ก็หามันทุกกระเป๋าหน้าซีดเหงื่อตก คิดว่าไม่ได้ไปเวลลิงตันแล้วกรู โชคช่วยน้องเจี๊ยบมาบอกว่าไม่ต้องใช้พาสปอร์ต แค่ใบจองก็โอเค แต่ตอนจองตั๋วต้องใส่หมายเลขพาสปอร์ตด้วยนะ ไม่ใช้ก็ดีก็รอดไปเปลาะหนึ่ง ใกล้เวลา รถเริ่มมารับผู้โดยสารไปลงเรือ 2 คนที่ไปส่งรถก็ยังไม่มา จนเป็นรถรอบสุดท้าย ในที่สุดก็โผล่มา ดราม่ามาเลย เอารถไปเติมน้ำมัน ไม่มีที่จ่ายเงินนะต้องใช้บัตรรูด พยายามหาปั๊มที่จ่ายเงินสดได้ก็ไม่มี สุดท้ายเห็นบอกว่าไปขอความช่วยเหลือคนที่มาเติมว่าเอาเงินสดไปพี่ มารูดบัตรให้ผมหน่อย – -“ ถึงได้คืนรถได้แล้วกลับมา โฮ่!!ตื่นเต้นจนวินาทีสุดท้าย

สุดท้ายก็ได้ขึ้นเรือล่ะ เราจองเรือ Bluebridge สีฟ้า เพราะเวลาได้ตามต้องการ เรือลำใหญ่โตเดินหาที่นั่งตามสบาย อยากนั่งห้องไหนชั้นไหนจะดูหนังจะไม่ดูหนัง จะท้าลมหนาวดาดฟ้าหน้าเรือท้ายเรือก็ได้ ตามสะดวก แต่เรานี่นะเครียดไม่เลิก หมดอารมณ์ชิล พาสปอร์ตหายนี่ไม่เคยมาก่อน ออกไปชมวิวได้แป๊บเดียวก็กลับมานั่งคิดๆๆๆ search internet ล่ะพาสปอร์ตหายทำไงวะ ดีว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ ดีเลวยังไงก็ไปสถานฑูตได้ ดีที่เวลลิงตันเป็นเมืองหลวงเลยพอมีความหวังบ้างเพราะเรานอนเวลลิงตันคืนนี้ กับพรุ่งนี้อีกคืนแล้วกลับวันถัดไป Flight เช้ามืด มีเวลาติดต่อสถานฑูตวันเดียวพรุ่งนี้ คิดไปต่างๆนาๆจนหลับ อดได้เห็นโลมาเลย คนเค้าฮือฮากัน นังนี่มัวแต่เครียด

Here we are!, Wellington!

เฟอร์รี่วิ่ง 3 ชั่วโมงกว่า ตามตารางออกจาก Picton บ่าย 2 โมง มาถึง Wellington ห้าโมงครึ่ง แสงกำลังเรืองๆสวยเชียว ตอนเรือเข้าท่าที่เวลลิงตัน เดินออกมา Dad & Mom มายืนรอรับอยู่แล้ว Dad&Mom ดูใจดีมากๆ เดินกันมาหากระเป๋าอย่างงงๆเพราะ มันกำลังปรับปรุงท่าเรือ กระเป๋าเลยต้องขนมากองๆไว้กับพื้น ผู้โดยสารต้องมาเดินวนๆคุ้ยๆเอาเอง ขนกระเป๋ากันขึ้นรถต้องแบ่งเป็น 2 คัน ไปที่อพาตเมนต์ก่อน อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือเท่าไหร่ อพาตเมนต์ 3 ชั้นขนาดกระทัดรัดดี เก็บข้าวของเข้าห้อง เราอาศัยช่วงที่เค้าทักทายกันไปคุ้ยๆๆๆกระเป๋าอีกรอบ เจอพาสปอร์ตเว้ย!! ดีใจ สบายใจ! เฮ้อ เฟอะมากเครียดไปหลายชั่วโมง! ทักทายกันพอสมควร Dad&Mom ก็พาพวกเราออกไปเลี้ยงอาหารเย็น เดินไปได้สบายๆ อากาศเย็นสบายดีมากๆ จิบแชมเปญแกล้มเสต็กอร่อยเหลือหลาย

ตื่นเช้ามา Mom ก็ไปทำงานซะแล้ว วันนี้ Dad จะเป็นคนพาพวกเราเที่ยว เริ่มด้วยการเดินเล่น จริงๆไม่ได้เล่นต้องเดินไปในเมืองเพื่อซื้อกระเป๋าเดินทางใบใหม่ให้น้องเจี๊ยบที่มันพังตั้งแต่วันแรกของทริปไง จากที่พักเดินมานิดเดียวก็ทะลุ Beehive & Parliament Building แล้ว ชื่ออย่างนี้เพราะตึกรูปร่างเหมือนรังผึ้ง เก๋ไก๋มาก เดินวนขวามาที่ Featherston St. จะเจอร้านค้าเจอตึกสำนักงานเยอะแยะ มองดูชีวิตยามเช้าคนทำงานในเวลลิงตันก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก ซื้อกระเป๋าเสร็จก็ลากกลับห้อง จากนั้น Dad ก็พาออกเที่ยว

วันนี้ Dad จะขับออกจากเมืองไป Martinborough กัน ตอนไปก็ไม่รู้หรอกว่ามันมีอะไร พาไปไหนก็ไปล่ะ รถวิ่งฉิวออกมอเตอร์เวย์ จากนั้นก็เริ่มเป็นทางเขา เราผ่านเข้า Wairarapa regionมีจุดชมวิวกว้างให้ลงไปสูดอากาศแก้เมาหัว จากนั้นก็ไปอีกไม่ไกลก็ถึงตัวเมืองแล้ว จอดรถลงไปเดินชมเมือง มีร้านค้าขายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น มีร้านขายเสื้อผ้าขายของแต่งบ้านกิ๊บเก๋หลายร้าน ขอบอกว่าแยมอร่อยมาก มีให้เลือกหลากหลายเบอร์รี่

เดินเล่นชมเมืองพักหนึ่ง Dad ก็พาวนเข้า Wineyard ชิมไวน์บ้าง ชิมอาหารบ้าง วนเข้าไร่นั้นออกไร่นี้ ชิมไปซื้อไป รอบละ 3-4 จิบก็เหอะ สุดท้ายก็มึนใช่ย่อยนะ วนเข้าวนออกหอบกลับกันมาอีกคนละ 2-3 ขวด – -“ จะแบกกลับยังไงล่ะเนี่ย

บ่ายๆก็กลับกัน ขากลับหลับเพราะง่วงหรือหลับเพราะเมาก็ไม่รู้นะ 555บ่ายแก่ๆก็กลับมาถึงบ้าน เลยขอเวลาเดินชมเมืองตามอัธยาศัย เรากับพี่วัฒน์ขอไปเดินเล่นถึงท่าเรือที่เราลงเรือเมื่อวาน แต่เจี๊ยบกับ PB ไปช็อปปิ้งกัน เดินผ่าน Beehive ไป เดินข้ามไปถึงท่าเรือ เป็นย่านน่ารักอยู่นะ มีร้านอาหารน่ารักๆ มีหอศิลป์เก๋ๆ เดินวนๆดูสนุกดี วนมาที่สถานีรถไฟ อารมณ์แบบหัวลำโพงบ้านเราแต่สะอาดมาก ดูเวลาคงต้องกลับล่ะ วันนี้เราจะทำอาหารไทยเลี้ยง Dad&Mom กัน ฮ่าๆๆๆ ช่างกล้า!!

3 สาว สาละวนทำโน่นนี่ในครัว มีพลังใจจาก Dad&Mom และชัยวัฒน์ที่ดริ้งค์รอกันอยู่ ชัยวัฒน์วนมาช่วยทำโน่นนี่นั่นเป็นระยะๆ สุดท้ายอาหารไทยฝีมือคนที่ปกติอยู่บ้านไม่เคยทำกับข้าว 3 คนก็เสร็จออกมาจนได้ วะฮะฮ่า ต้มยำไก่ ผัดผักรวม ไข่เขียว หมูผัดพริกไทยดำ Dad&Mom โคตรปากหวานหรือไม่ก็อย่างว่าคนต่างชาติจะไปรู้ได้ไงว่าอาหารไทยที่อร่อยๆมันรดชาติยังไง ฮ่าๆๆๆ เห็นชมว่า อาหร่อยย วันเดอฟูล เพอร์เฟล็กซ์ บลาๆๆๆ ถึงรู้ว่าหลอกแต่ก็ปลื้มวะ ฮ่าๆๆๆ

541e2-wwimg_9191

กลับบ้านกันเถอะ

Dad&Mom แหกขี้ตาตื่นมาส่งพวกเรา Flight เช้ามืด เข้าไปเครียดกันต่อที่ Counter เพราะน้ำหนักเกิน!! ก็แหงล่ะขามาน้องเจี๊ยบก็เกือบถึงพิกัดน้ำหนักแล้ว ขากลับแบกไวน์อีกกี่ขวด ครีมอีกกี่กระปุก ของเราเองก็ปริ่มๆละแบกไวน์มา 6 ขวด!! สุดท้ายน้องเจี๊ยบโดนปรับไปตามระเบียบ โกยเงินกันหมดตัว หยิบยืม PB มาด้วยเหอะ 55555

แยกทางกับ PB ร่ำลากัน ไว้เจอกันใหม่หากยังอยากเที่ยวกับพวกเราอีกนะ แอบรู้ทีหลังว่าชีบ่นว่าไม่ค่อยชิล เราก็ยอมรับนะจัดโปรแกรมแน่นไปหน่อย ก็จริงๆแปลนไว้ 2 อาทิตย์เต็มนะ แต่ด้วยว่าหลายคนมีเวลาจำกัดเลยต้องหดเหลือ 12 วันและต้องข้ามไปเวลลิงตันด้วย ถ้าใครอยากไปเก็บเกาะใต้เต็มๆแบบชิลๆไม่เหนื่อยต้อง 14 วันเต็มเป็นอย่างน้อยบอกเลย

จบการเดินทางอันแสนยาวนาน กลับมาเมืองไทยร้อนตับแตก สวัสดีประเทศไทย

ลุยนิวซีแลนด์แดนกีวี - ลุยเกาะใต้ [ภาคปัจฉิมบท]
สนุกสนานเหลือหลาย

Travel Tips

คิดแล้วคิดอีก เลือกแล้วเลือกอีก ทั้งราคาและเวลา พอราคาได้เวลาไม่เหมาะกับ PB ที่มาจากสิงค์โปร์ พอเวลาเหมาะราคาก็แพง เปลี่ยนไปมาจนมาลงตัวที่ Emirates Airline แต่ยังไงมันก็ Code share กับ Qantas นั่นแหละ เราก็งงกับระบบมันอยู่ เอาเป็นว่าเราให้เอเยนต์หาให้ BKK-SYD-CHC ช่วงแรก 9 ชม. ช่วงต่ออีก 3 ชม.ลองเลือกดูเอาละกัน ยังไงก็ไม่มีบินตรง ขากลับเราบินกลับจาก Wellington เลย ก็เหมือนขามาต้องไปต่อเครื่องที่ซิดนีย์ WLG-SYD-BKK สายการบินเค้าเลือก Flight ที่ให้เวลาเราต่อเครื่องได้กำลังดี ไม่นานมาก

การเดินทางข้ามไปมาระหว่างเกาะเหนือมาเกาะใต้ของนิวซีแลนด์นอกจากวิธีบินโดยสายการบินที่มีอยู่หลายสายการบินแล้วก็ยังมีการนั่งเฟอร์รี่ด้วย โดยเกาะใต้จะมีท่าขึ้นเรือที่เมือง Picton ข้ามไปท่าเรือ Wellington ใช้เวลา 3 ชั่วโมง เราเลือกจองเฟอร์รี่ของ Bluebridge Ferry เพราะรอบเวลากำลังเหมาะ หากแผนเดินทางแน่นอนควรจองไปล่วงหน้า เพราะบางช่วงมันมีหลายเที่ยว บางช่วงก็มีน้อยเที่ยว จองก่อนล่วงหน้าจะดีที่สุด อย่างน้อย 2-3 วันก็ได้ เพราะมันมีเต็มด้วยนะ [Ferry อีกเจ้าก็ Interislander]

รถเช่าที่นิวซีแลนด์มีหลายบริษัทมากๆ พวกที่มีสาขาทั่วโลกอย่าง Hertz, Avis, Europcar, Budget นี่มีแน่นอน แต่เราเลือกจองของ local คือ Apex เช่ารถ 5 ประตูนั่งสบายๆ แต่รถอีกประเภทที่คนไปนิวซีแลนด์นิยมเช่ากันคือพวกรถบ้าน สมัยก่อนเราจะติดภาพว่า รถบ้านต้องคันโตๆใหญ่ เดี๋ยวนี้มันมีแบบคันเล็กๆน่ารักด้วย แบบไป 2 คนก็ได้ มีที่ซุกนอนด้านหลัง แล้วก็เก็บ ทำครัวก็ได้ แต่คงไม่มีห้องน้ำ เห็นคนใช้เยอะอยู่ของ Jucy คันเขียวๆน่ารัก

พวกเราจองที่พัก online เพื่อกำหนดจุดเดินทาง ส่วนมากจะจองผ่าน booking.com หรือ Agoda.com เพราะจะยกเลิกได้ก่อนวันเข้าพัก 1-3 วัน จึงยังเปลี่ยนแผนได้เรื่อยๆ เวลาจองดูให้ดีๆว่ายกเลิกได้หรือไม่ แต่ละที่มีเงื่อนไขไม่เหมือนกันนะ แต่ส่วนมากจองผ่านเวปที่พักพวกนี้จะยกเลิกได้แต่กี่วันล่วงหน้าต้องดูเป็นที่ๆไป
แต่ทุกที่พักก็มีเวปไซต์ของตัวเอง แต่จองตรงอาจได้ราคาแพงกว่าและยกเลิกไม่ได้ด้วย ต้องลองเช็คดู

  • Christchurch
    • Hagley Park Motel: ห้องพักแบบ 2 ห้องนอน พร้อมครัวและโถงกลาง สะดวกสะอาดใช้ได้ แต่อยู่ไม่กลางเมือง ถ้ามีรถก็ไม่มีปัญหา
    • Ibis Christchurch: โรงแรมย่านกลางเมือง สามารถเดินเที่ยวได้เลย อยู่ติดกับ Cathedral Square เลย แพงหน่อยแต่สะดวก
  • Franz Josef Glacier : Bella Vista Motel เป็นห้องแบบโรงแรมไม่มีครัว จองแบบมั่วๆอ่ะบอกเลย ราคาได้ตามงบและดูดี เลยเอา จริงๆเมืองเล็กมาก พักที่ไหนก็ไม่ต่างกัน
  • Hasst : Heritage Park Lodge ที่พักขัดตาทัพ เมื่อทางปิด แต่ก็ถือว่าใช้ได้ 2 ห้องนอน มีครัวและห้องโถงกลางกว้างขวาง
  • Lake Hawea : Lake Hawea Hotel ที่พักสุดสวย ที่เราอดนอน ราคาไม่ถูกเลย แต่อดนอน T__T วิวงามมากๆ แต่ห้องไม่ได้เข้าไปดู
  • Queenstown : Garden Court Suites & Apartment อพาตเมนต์ 2 ชั้น 2 ห้องนอน มีครัวและห้องอาหารให้นั่งชิลได้ชั้นล่าง ไม่ติด Lake แต่เดินไปได้ เดินเข้าเมืองก็พอไหว
  • Milford Sound : Knobs flat เป็นที่พักระหว่างทางจาก Te-Anua ไป Milford Sound อยู่ในเขตพื้นที่ของ Fiordland National Park ว่าไปคือบ้านพักกรมป่าไม้นั่นเอง แต่เป็นห้องพักที่สะอาดเรียบร้อยดี มีครัวให้ทำอาหาร และต้องทำเลยล่ะ เพราะไม่มีอาหารขายเลย เหมือนไปแค้มปิ้งทำนองนั้น ต้องจองไปก่อนและมันจ่ายเงินเลย
  • Te-Anua : Lakeside Motel & Apartment อพาร์ตเมนต์วิวงามอีกที่ มี 2 ห้องนอนมีครัวห้องนั่งเล่น ราคารับได้
  • Mount Cook : Mount Cook Backpacker Lodge ที่พักคล้ายๆ Youth Hostel มีครัวรวมให้ไปทำอาหารได้ แต่ก็มีห้องอาหารให้สั่งทานได้ มีเซ็ตอาหารไม่มากแต่ราคาไม่แพงจานใหญ่มาก มีบาร์เปิดให้ดริ้งค์ได้ถึงประมาณ 4-5 ทุ่ม
  • Kaikoura : Panorama Motel ที่พักที่เราขับรถวนๆดู ไม่ได้จองไป ก็ราคารับได้ ห้องพักวิวหาด มีครัวพร้อม ตื่นเช้าจิบกาแฟรับลมทะเลได้

อาหารการกินส่วนมากมื้อเช้าก็ง่ายๆ ทอดไข่ กินกาแฟ ถ้ามีครัวนะ มื้อกลางวันก็ทานตามร้านไปเรื่อยเปื่อย มื้อเย็นก็ทำเองถ้ามีครัว เน้นกินข้าว ทำกับข้าวไทยง่ายๆ บางมื้อก็ซื้อเนื้อ ไก่ แกะ มาทำเสต็กง่ายๆกัน พกเครื่องปรุงสำเร็จติดไปบ้าง ข้าวไปซื้อที่โน่นนะ ส่วนมื้อที่ทานข้างนอกส่วนมากไม่ได้กำหนด เห็นร้านไหนน่าสนก็เข้าไป ที่จะบอกนี่คือไปลองแล้วโอเคเลย ก็ลองชิมดู เอาที่อยู่ใส่ GPS ไปเลย

  • Duxdine 28 Riccarton Rd, Riccarton, Christchurch 8011
    ร้านอาหารใน Christchurch ที่ Motel แนะนำ อาหารท้องถิ่นมากๆ อร่อยใช้ได้ บรรยากาศดีด้วย ลองดู
  • The Famous Sheffield Pie Shop 51 Great Alpine Highway Sheffield
    ร้านพายหลากหลายไส้ อยู่เมืองทางผ่านถ้าขับไปทาง Great Alpine HW แวะชิมได้ อิ่มสบายๆยามเช้า
  • The Nose Corner SH 6 and Sandflat Rd, Cromwell 9342, Central Otago
    ร้านสวยระหว่างทางจะไป Cromwell อาหารอร่อย บรรยากาศดีมาก หรุหรานิดๆ
  • Reflections Cafe and Restaurant State Highway 8, Lake Tekapo
    ร้านที่เดินๆดูแล้วชอบเลยเข้าไปชิม พายแกะอร่อยดี วิวก็งาม มองเห็น Lake Tekapo สวยงาม
  • Green Dolphin Restaurant + Bar 12 Avoca Street, Kaikoura 7300, New Zealand
    ไป Kaikoura ต้องหา Lobster กิน มีหลายร้านให้เลือก ทำไมเลือกร้านนี้ ก็มันได้รีวิวหลายดาว 555 อ่านรีวิวจากนักท่องเที่ยวหลายๆชาตินะ อ่านกันตอนขับนั่นแหละ แต่ไปชิมแล้วก็ใช้ได้นะ สเต็กก็อร่อยดี
  • The Mussel Pot  73 Main Road, Havelock, Marlborough
    มานิวซีแลนด์ต้องชิมหอยแมลงภู่ชื่อดัง ร้านนี้ดังนะ หลายๆรีวิวเขียนถึง เราก็ต้องไปชิม ทั้งร้านมีแต่เมนูหอยแมลงภู่ ใครไม่ปลืมหอยแมลงภู่ ไม่ต้องมา ฮ่าๆๆๆ แต่ปรุงแบบฝรั่งมันก็จะเลี่ยนๆหน่อย ควรพกน้ำจิ้มซีฟู๊ดไป ต้องสั่งไอศครีมผลไม้ท้องถิ่นมาตบท้ายแก้เลี่ยนด้วยนะ ครบถ้วน

ข้อมูลเพิ่มเติมทั่วไป เผื่อจะเป็นประโยชน์ ^^

  • โทรศัพท์: หาซื้อซิมการ์ดใส่ได้เลยจากที่สนามบินของเราซื้อ Voda Phone ราคา 25NZD ใช้ได้ 500M Data / 100 min call /free text ให้พนักงานใส่แล้วเซ็ตให้เลย เรียบร้อย
  • ถนน: นิวซีแลนด์ขับรถชิดซ้ายเหมือนบ้านเราเลยขับง่ายวบายมาก แต่เคร่งครัดเรื่อง Speed Limit กันหน่อยนะ อย่าโดนใบสั่งเลยมันแพง เสียดายเงิน มันเรียกเก็บมาถึงบ้าน จากรายละเอียดตอนเช่ารถนะ
  • เช่า GPS ช่วยในการเดินทางได้ดี เราเองแทบไม่ได้ใช้แผนที่เลย เพราะเมืองต่างๆเล็กมากๆ ขับวนๆก็ทั่วแล้ว แต่จุดท่องเที่ยวสามารถใส่ชื่อสถานที่ใน GPS ไปได้เลย ไม่น่าจะหลง
  • ถนนหนทางดีใช้ได้ Highway เรียบดี วิ่งได้ยาวๆ บางช่วง 4 เลน บางช่วง 2 เลน แต่ที่น่าสงสัยคือ พอเป็นสะพานมันเป็นเลนเดียว!! เพื่ออะไร ต้องมองดู รอว่าไม่สวนกันกลางสะพาน แต่รถเมืองเค้าไม่มาก เลยไม่มีปัญหา
  • ช่วยๆกันมองป้ายข้างทางบอกข้อมูลด้วย ถนนเส้นไหนข้างหน้าปิด-เปิดยังไงกี่โมง มันปรับเปลี่ยนได้ตลอด ตามสภาพอากาศ
  • Milford Sound ไกลโคตร แทบไม่มีร้านอาหารกิน ควรเตรียมของกินไปบ้าง ระหว่างขับไป-กลับ และที่พักมีน้อยมาก น่าจะมีแค่ 1-2 ที่ ความสวย….เอิ่มมมม พูดยาก แล้วแต่คนชอบ แต่เราเฉยๆ ให้ไปอีกไม่ไป
  • จัดโปรแกรมให้ขับรถวันละไม่เกิน 200 กม.ดีสุด จะชิลมาก อย่าพยายามไปอัด เพราะสุดท้ายมันมืดก่อน โดยเฉพาะหน้าหนาว

ลุยนิวซีแลนด์แดนกีวี – ลุยเกาะใต้ [ภาคปฐมบท]

ลุยนิวซีแลนด์แดนกีวี [ภาคปฐมบท]

Trip : May 2014

The South Island – New Zealand

น้องเจี๊ยบคนสวยเกริ่นชวนไปลุยนิวซีแลนด์กัน รับปากไว้แล้วแต่ก็เลื่อนๆๆไปเรื่อย จนสุดท้ายฟันธงที่ต้นเดือนพฤษาคม มีนาเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงชีวิตเลยวุ่นวายเล็กน้อย ไม่ได้หาข้อมูลอะไรเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีก็เข้าเมษาแล้ว ตาเหลือก เพราะยังไม่ได้ขอวีซ่า แล้วจากนี้มันเป็นวันหยุดๆๆๆๆ แถมหลังสงกรานต์จะไปเกาหลีก่อนอีกด้วย ดังนั้นรีบหาข้อมูลเตรียมเอกสารต้องยื่นเรื่องก่อนวันหยุดจักรีให้ได้!! เช็คตั๋วเครื่องบินเพราะต้องนัดแนะเวลาบินให้ไปเจอกับผู้ร่วมชะตามกรรมอีกคนจากสิงคโปร์ด้วย จัดโปรแกรมคร่าวๆ เช่ารถ หาที่พักคร่าวๆ รายละเอียดพวกนี้จะสรุปให้ตอนท้ายละกัน เอาเป็นว่าเราเองได้วีซ่าก่อนไปอาทิตย์เดียว!!

แผนการเดินทางวางไว้คร่าวๆตามนี้ การวางแผนคือกำหนดจุดที่อยากไปเที่ยว แล้วก็ดูระยะทางที่สามารถขับไปได้ต่อวัน เผื่อเวลาแวะถ่ายรูปรายทางด้วย ต้องตัดรายการเที่ยวออกบางส่วน เพื่อขยับขึ้นเหลือวันท้าย 1 วันข้ามไปเกาะเหนือ เพราะต้องไปเยี่ยมญาติ

เริ่มออกเดินทางกันเต๊อะ…

3 ทหารเสือจากเมืองไทยออกเดินทางจากสุวรรณภูมิหลังสาวเมืองลอดช่องนาม PB ไม่นานนัก ขาไปน้องเจี๊ยบคนสวยแบกกระเป๋าหนักร่วม 29 โลไป (เรื่องนี้สำคัญ มันมีผลถึงขากลับอย่างรุนแรง 555) ของเรากับคุณแฟนคนละ 20 โลนิดๆ นี่รวมเสบียงอาหารบางส่วนแล้วด้วย ที่หนักๆคือกล้องและอุปกรณ์ต้องแบกเอง หนักไหล่ทรุดเหมือนกัน

เครื่อง Emirates Airline ดีใช้ได้ นั่งสบาย มีจอส่วนตัวมี USB ชาร์จแบตมือถือได้ด้วย อาหารก็กินได้ ขาไปเครื่องว่าง นอนกันไปสบายเลย ซัดไวน์ซัดเบียร์กันเสร็จก็หลับปุ๋ย ไปตื่นเอาตอนอาหารเช้าก่อนลงเปลี่ยนเครื่องที่ซิดนีย์ เวลาต่อเครื่องกระชั้นชิดพอสมควร แต่ถามแล้วกระเป๋ามันเช็คถึงเลยไม่ต้องรับมาโหลดใหม่ แค่เอาตัวไปถึงหน้าเกทก็พอ ลงมาแล้วมันต้องผ่านการตรวจเอกซ์เรย์ ดังนั้นไม่จำเป็นอย่าหิ้วของเหลวลงมาจากเครื่อง เสียเวลาตรวจค้น ขนาดของเรามีพวกกาแฟสำเร็จรูปมันยังเรียกเปิดมาดูเลย ออสเตรเลียนี่เข้มงวดมากจริงๆนะ ผ่านแล้วเห็นเคาเตอร์ทรานซิท ก็รีบไปต่อแถว แม้ว่าตอนเช็คอินที่สุวรรณภูมิจะได้บอร์ดดิ้งพาสมาคนละ 2 ใบแล้วก็เหอะ แต่แถวมันช้าจัง เลยตัดสินใจเดินไปถามป้าที่เคาเตอร์ด้านข้างแทน ป้าดูบอร์ดดิ้งพาสแล้วก็ยิ้มเยือกเย็นสั่งว่า hurry up go to gate!! อ้าว ป้า ตกใจนะเนี่ย จริงๆมันก็ใกล้เวลาบอร์ดดิ้งแล้วจริงๆ ดีที่ว่าเพิ่งมาซิดนีย์เมื่อปีที่แล้ว เลยช่ำชองพอควร เดินไปไม่ไกลก็ถึงเกทล่ะ คนยังนั่งกันเต็ม คือเกทยังไม่เปิดเหอะ มันดีเลย์ เดินวนหา PB ก็ไม่เจอ ตามแผนน่าจะเจอกันที่นี่ เช็คข้อมูลอีกที เออ…มันคนละ flight ว่ะ นางคงไปแล้ว เดี๋ยวไปเจอกันที่ Christchurch เลย

เครื่องลงที่ Christchurch ช้ากว่ากำหนดไปนิดหน่อย ได้ยินเสียงคนไทยเยอะอยู่ อุ่นใจเหมือนไม่ไกลบ้าน 555 เช้าเช็คตม.พร้อมกัน 3 คนเลย บอกเจ้คนตรวจว่ามาด้วยกัน เจ้ก็เช็คๆตามระเบียบ แต่มาถามเราว่าเพิ่งกลับจากเกาหลีเหรอ เจ้แกหน้าตาเกาหลีด้วย แต่ถามแบบจะเอาคำตอบให้ได้ว่าไปทำไมยังไง แถมตบท้ายประมาณว่า อะไร?!! กลับจากเกาหลีแล้วมานิวซีแลนด์ต่ออีกเรอะเธอ ไม่ทำงานทำการหรือไงยะ เราเลยตอบไปว่า ไม่ทำ ผัวรวย!! (เอิ่มมมม ดราม่าไป จริงๆแล้วก็ตอบปกติแหละ 555) ออกมารับกระเป๋าแล้ว ตอนจะออกก็เจอด่านตรวจกระเป๋าอีก เปิดๆไปเลยหยิบให้ดูไปเลยว่าอะไรบ้าง ผงเครื่องปรุง กาแฟสำเร็จรูป มาม่า จนท.ดูๆดมๆ ผ่าน! น้องเจี๊ยบจะเปิดกระเป๋าบ้าง จนท.ถามว่ามีอาหารรึนางบอกไม่มีแต่มีบู๊ท (ในแบบฟอร์มมีรายการของที่ต้องสำแดงต่างๆ มีพวกอาหาร ของเหลว และรองเท้าบู๊ท!!) จนท.ถามว่าบู๊ทนี้ใส่ไปไหนมาบ้าง คือ เราอึ้งอ่ะ ตอบไงวะ เจี๊ยบส่ายหน้าบอกเพิ่งซื้อมาทริปนี้ นางเลยบอกโอเคผ่าน! คิดว่าบู๊ทในที่นี้คงหมายถึงบู๊ททำฟาร์มมั้งเค้ากลัวพวกดินอะไรติดพื้นรองเท้ามา โว๊ะ…. ใครจะแบกบู๊ททำฟาร์มบินข้ามประเทศกันวะ หรือมี?

รับกระเป๋าออกมาแล้วเจอ PB มาชะเง้อรอรับ ขาดแต่ป้ายไฟก็เป็นศิลปินได้ล่ะ ดีใจที่เจอกันเสียที จากนี้ต้องเสียเวลาไปซื้อซิมโทรศัพท์อีก เพราะคนเยอะ เดี๋ยวนี้ใครๆก็ซื้อซิมใส่ เลือกแพคเกจตามสะดวกทั้ง Voice และ Data จบเรื่องโทรศัพท์ก็ต้องพาเจี๊ยบไปทำเรื่องเคลมกระเป๋ากับสายการบินอีก เพราะกระเป๋าออกสายพานมาร่วงตุ้บ ล้อพังไปอันนึง กระเป๋าใหม่เอี่ยมทริปแรก พิการทันทีตั้งแต่เปิดทริป ทำเรื่องกระเป๋าเสร็จ PB ก็โทรไปบริษัทฯเช่ารถให้มารับเพื่อออกไปสำนักงานด้านนอกทำเรื่องและรับรถ หากคุณเช่าบ.ใหญ่ๆอย่าง Budget, Hertz พวกนี้มันมีเคาเตอร์ในสนามบินเลย แต่เราเช่าของ Apex Rental เป็นโลวคอส ก็ต้องโทรเรียกเค้าเอารถมารับ ออกไปนอกสนามบิน ใกล้ๆนี่แหละ ทำเรื่องเช่ารถ รับรถออก อย่าลืมเช่า GPS ไว้ด้วย สะดวกมากบอกเลย ไม่ต้องมาคอยกางแผนที่

ทำโน่นนี่นั่นเยอะแยะอย่างที่บอกกว่าจะรับรถเสร็จก็จะสี่โมงเย็นแล้ว เลยพลาดที่เที่ยวที่เจี๊ยบนำเสนอมาคือ Antartica ระหว่างรอเรื่องเคลมกระเป๋าเราลองเดินไปถาม i-site ที่สนามบินมา ป้าแกบอกว่ามันอยู่ใกล้ๆสนามบินนี่เอง แต่มันจะปิดตอน 5 โมงเย็น ป้าที่ i-site เลยบอกว่าให้มาเที่ยววันอื่นดีกว่ากลัวไม่คุ้มเงิน พวกเราเลยตั้ง GPS ไปที่พักกันเลยดีกว่า คืนแรกนี้จองที่พักไว้ที่ Hagley Park Motel ขับไปจากสนามบินไม่ไกลนักแค่ 15-20 นาทีก็ถึง อากาศหนาวๆเย็นๆเพราะฝนลงพรำๆ ขับรถง่ายเพราะวิ่งแบบไทย แต่เค้าเคารพกฏจราจรเคร่งครัดนะ ระวังความเร็วและช่องทางเลี้ยวต่างๆ เช็คอินกับเจ้าของหน้าง่วงๆ เราต้องปรับหูกับสำเนียงนิวซีแลนด์พอควร กว่าจะฟังฮีเข้าใจว่าจะรับนมโลวแฟตหรือธรรมดา ฮีแจกนม 1 ขวดเล็กเป็น Complimentary ก่อนเข้าห้องถามหาร้านอาหาร ฮีแนะนำร้านใกล้ๆเดินไปได้ชื่อร้าน Duxdine เสนอตัวจะโทรไปจองให้ เราก็กลัวจะโดนแบบร้านเมียผมเอง เลยบอกไม่เป็นไรเดี๋ยวเดินไปดูก่อนนะจ๊ะ

เก็บของแล้วเดินออกไปร้าน Duxdine ดู ร้านน่านั่งจริงตามคำแนะนำ เลยเอาร้านนี้แหละ อาหารมีตามเมนูแนะนำ เหมือนเป็น Local dish สั่งมา 3-4 อย่างแชร์กัน อร่อยดี คนเข้ามาทีหลังเกือบเต็มร้าน ชนแก้วเริ่มทริปอย่างเป็นทางการกันเลย คุยแผนกันอีกที พรุ่งนี้ออกแต่เช้าขับยาวๆไป Franz Josef Glacier กันเลย แวะเที่ยวดูอะไรๆตามรายทางเรื่อยๆ คืนนี้เลยต้องไปซุปเปอร์มาเก็ตสักหน่อย ซื้อเสบียงเพิ่มเติมโยนไว้ในรถไม่อดตาย

เริ่มปาร์ตี้อย่างเป็นทางการตั้งแต่คืนนี้ล่ะ… จากนั้นก็…. ปาร์ตี้ไปทุกคืน เอิ๊กกกก

เช้านี้ตื่นออกมาเดินเล่นยามเช้ารอบๆที่พัก ผู้คนเริ่มออกไปทำงาน คนปั่นจักรยานกันเยอะพอควร รถวิ่งมากขึ้นแต่ก็ไม่มากจนติด เจอนักเรียนหน้าตาเอเชียเยอะมาก แบบว่าเดินมา คนหน้าเอเชียซะ 7 ไรงี้ กลับไปกินอาหารง่ายๆรองท้อง วันนี้เป็นไข่ดาวไส้กรอกกาแฟ ที่พักส่วนมากจะมีครัวให้ทำอาหารได้ สะดวกการกินยามเช้าและเย็น แถมประหยัดด้วย

เก้าโมงกว่าๆออกจาก Christchurch ตั้งพิกัด GPS ไปที่ Arthur Pass GPS ก็ถ่ายรูปตามรายทางไป บอกท่านคนขับไว้แล้วว่าอยากจอดตรงไหนก็จอดเลยนะ นิวซีแลนด์เป็นวิวพานาราม่าจริง นั่งในรถกระจกกว้างๆเห็นแล้วอยากถ่ายรูปไปหมด พอจอดรถลงมาหยิบกล้องมาส่อง มันไม่งามเหมือนมองด้วยตาเลย สุดท้ายหลายๆที่หยิบไอโฟนใช้แอพพานาราม่ามากดไว้ แหร่มมาก (เริ่มคิดว่าจะแบกกล้องกับอุปกรณ์ 7-8 กิโล ไปทำไม 555 ดีว่าขับรถเที่ยวไม่ต้องแบก)

ขับออกมาไม่นานก็เริ่มตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์รอบด้าน เสี่ยงอู้อ้ามาเป็นระยะๆ เราเป็นเนฯ (ที่ไม่ต้องทำไรมากเพราะมี GPS) เพราะตั้งเป้าหมายแรกคือเมือง Sheffield หลายรีวิวบอกว่าให้ออกจาก Christchurch มาแต่เช้าๆไม่ต้องห่วงอาหาร ให้มาแวะ Sheffield Pie Shop ยังไงก็ทางผ่านอยู่แล้ว กด GPS ใหม่เอาร้านนี้ก่อน

จริงๆร้านก็หาไม่ยากเลยอยู่ริมถนนที่มีผ่านเมืองอยู่เส้นเดียวนี่แหละ ร้านอยู่ด้านซ้าย ขวามือเป็นทางรถไฟ มีป้ายชื่อเมือง Sheffield ใหญ่เบ้อเร่อ เห็นชัดมาก พวกเราลงไปเลือกพายกันคนละชิ้น ชิ้นไม่เล็กไม่ใหญ่ อบใหม่ร้อนๆพร้อมกาแฟร้อนขมๆ อร่อยใช้ได้ ของเราเป็นพายเนื้อที่กัดเข้าไปแล้วเนื้อเป็นชิ้นๆเต็มปากเต็มคำดีมาก อารมณ์เหมือนพายไส้เนื้อตุ๋น คนเข้ามาร้านนี้เยอะ มาเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะอร่อยหรือมีร้านเดียวทั้งเมืองและเป็นทางผ่านไปทำงาน 555

ร้านไม่มีห้องน้ำให้เข้า เจี๊ยบเรียกร้องเลยออกเดินทางไปหา เพราะคงจะมีห้องน้ำให้เข้าสะดวกสะอาด แต่ขับไปนิดเดียวก็พ้นเมือง Sheffield เป้าหมายต่อไปดูจากแผนที่แล้วเป็นเมือง Springfield นึกถึงซิมป์สันเลยซินะ ไปอีกไม่ไกลถึงเมืองมองหาป้าย i-site มันชี้ให้เลี้ยวเข้าด้านใน ยังบ่นกันว่า i-site ไรวะ ทำไมไม่อยู่ริมถนน ขับซิกแซกเข้าไปด้านใน i-site เมืองนี้อยู่ที่สถานีรถไฟ แถมปิดเงียบ แต่ดีที่ห้องน้ำเปิดแถมสะอาดดีด้วย น้ำและทิชชู่พร้อม (หลังจากผ่านไปทุกที่ i-site สะดวกมาก ห้องน้ำดีพร้อม เชิญแวะ) วิวก็สวยใครเข้าห้องน้ำก็เข้าไป ใครถ่ายรูปก็ถ่ายไป PB ดูจะเริงร่ากับการถ่ายภาพมากที่สุด

ออกเดินทางต่อ จากนี้ไปเริ่มเป็นทางเขาแต่ไม่ชันและคดเคี้ยวมากมายนัก โค้งๆพอสวยงาม แวะถ่ายรูปเป็นระยะๆ ช่วง Korowai Torresse Tussocklands Park โค้งสวยดี จอดๆๆ ผ่านมาเจอทะเลสาปสีฟ้าเข้มสวยมาก จอดๆๆๆ ถ่ายไปแล้วยังไม่รู้ชื่ออะไรเลยมาหาเอาที่หลัง เริ่มรู้ชะตากรรมว่าจอดอย่างนี้คงวิบากแน่กว่าจะถึง Franz Josef ท่านคนขับเลยใช้วิจารณญานตอนจอดว่าสวยขนาดนี้ 10 นาที ขนาดนี้ 5 นาที แต่เหมือนลูกทัวร์จะไม่ค่อยใส่ใจนัก ฮ่าๆๆๆ “ten minutes stop!!”

เลยทะเลสาปมาไม่ไกล เจอจุดหมายแรกที่จริงๆลืมไปแล้ว “Castle Hill” เป็นภูเขาโล้นๆที่มีก้อนหินวางระเกะระกะ อยู่เต็มไปหมด จอดรถแล้วเดินเข้าไปด้านในได้ แต่พวกเราเดินเข้าไปไม่ไกล เพราะเล็งแล้วว่าถ่ายภาพจากมุมไกลจะสวยกว่า PB เดินเข้าไปถึงดงก้อนหินขึ้นเนินไปเล็กน้อยดูจากรูปที่ถ่ายก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ อย่างที่บอกว่า มันต้องพาโนราม่า ว่าแล้วก็งัดไอโฟนออกมา

บึ่งต่อตามทาง State Highway 73 ต่ออีกชม.กว่าก็มาถึง Hokitika จนได้ แรกเริ่มเดิมที ที่นี่จะเป็นจุดทานมื้อเที่ยง แต่เราถึงบ่ายสามกว่าแล้ว มื้อเที่ยงของเราจึงหายากเย็น เพราะร้านขายกลางวันก็ปิดช่วงบ่าย เดินจนได้ร้านที่บอกว่าขายแต่อาหารว่าง แต่อาหารว่างของป้าก็พวก Fish&Chips มันชามใหญ่ยักษ์ กินอิ่มอืดเลย รอดตายไป เดินเล่นในเมืองสักพักพอย่อย Hokitika นี่เป็นเมืองชื่อเสียงโด่งดังเกี่ยวกับหยก มีโรงงานหยก มีร้านขายเครื่องประดับหยกหลายที่ ใครชอบก็แวะดูได้ เราไม่มีความรู้เรื่องหยกเลยไม่รู้ว่ามันถูกหรือแพงยังไง เดินตามถนนสายหลักของเมืองผ่านหอนาฬิกาไปจนสุดจะมีชายหาดให้เดินชมได้ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำแล้ว แสงสวยดีจริง แต่คิดถึงระยะทางที่ต้องไปอีก จะมัวมายืนโรแมนติคก็ไม่ไหว จึงกวาดต้อนกันขึ้นรถไปต่อ

ต่อจากนี้กึ่งหลับกึ่งตื่นไปตลอดทาง สงสารคนขับแต่ก็หลับอยู่ดี 555 ลัดเลาะเขาไปจนโผล่ทะเลอีกรอบ หยุดลงมาโยนความง่วงทิ้ง สูดอากาศเย็นๆมองฟ้างามๆ วันนี้เป็นวันที่ขับรถยาวสุดของทริปจริงๆ เพราะตัดการเที่ยว Greymouth ออก ตอนแรกจะนอนแค่ Greymouth มันแค่ครึ่งทางของวันนี้ พอตัดออกเลยตียาวไป Franz Josef เลย จากนี้ไปอีกไม่ไกลก็ถึงล่ะ ถึงเมืองเอามืดๆ Franz Josef เป็นเมืองเล็กๆ แต่คึกคักพอสมควร เราพักที่ Bella Vista Motel จองมาแล้วก็ดีอย่างไม่ต้องลงไปถามราคาไปดูห้องอะไร ไปถึงก็ chk in รับนม 1 ขวด…ฮา… แล้วรีบออกไปซุปเปอร์หาซื้อเสบียงเพิ่ม ซุปเปอร์จะปิดตอนสองทุ่มครึ่ง NJ & PB พุ่งไปมุม Liquor ทันทีตามคาดต้องตุนไวน์สัก 2-3 ขวด คุณแฟนท่านไม่ถนัดไวน์เลยสอยเบียร์แพคมาก ยี่ห้อได้ใจมาก MAO คืนนี้เลยนั่งปาร์ตี้จิบไวน์จิบเบียร์หน้าห้องพักจนชักหนาว เลยย้ายเข้าด้านใน เมาได้ที่ก็แยกย้ายกันไปนอน นัดกันว่าพรุ่งนี้เราจะตื่นเช้าไปเดินดู Franz Josef Glacier ก่อน สายๆค่อยมาขึ้น Helicopter สองสาวบอกจะไปด้วย โอเค…เจอกันตอนเช้า

แม้เมื่อคืนจะฉลองเปิดทริปกันหนักไปนิด แต่ก็หลับสนิท เลยตื่นเช้าได้ตามหวัง (เวลาเที่ยวนี่ถึงไหนถึงกัน นอนดึกตื่นเช้าสบายมาก ต่างกะทำงานลิบ กร๊ากกก) ตื่นมาชงกาแฟกินนิดหน่อย เพราะ Bella Vista เป็นสไตล์โมเต็ลที่มีแต่กาต้มน้ำไม่มีครัว จิบๆพอให้ตาสว่าง ห้องข้างๆก็ตื่นแล้ว ออกมาที่รถฟ้ายังมืดๆอยู่เลยคงราวๆสักหกโมงกว่า ขับรถจากรร.ไปไม่ไกล เพราะอย่างที่บอกเมืองเล็กนิดเดียว ถามพนักงานรร.ไว้ก่อนเมื่อคืน ฮีเอาแผนที่มากางๆจิ้มๆให้ ขับออกมาดูป้ายข้างทางก็ได้ ขับมาจนข้ามสะพานที่จะออกเมือง ข้ามแล้วเป็น 3 แยก เข้าไปดูกลาเซียร์ก็เลี้ยวซ้าย ถ้าไปต่อ Fox Glacier ก็เลี้ยวขวา

เลี้ยวซ้ายไปเป็นถนนเลียบลำธารไปเรื่อยๆ ขวาเป็นเขา มีขึ้นเขาบ้างเป็นระยะ อารมณ์เหมือนเข้าเขตอุทยานแห่งชาติ จากทางแยกขับไป 4 กิโล ก็จะถึงจุดจอดรถ มีรถมาก่อนเรา 4-5คัน บางคันกำลังต้มของกินท้ายรถ ได้กลิ่นชวนหิวจริงๆ ไม่มีด่านเก็บเงินแต่อย่างใด

จอดแล้วก็ลงมาเลือกเส้นทางเดินได้ เราเลือกเส้นทางเดินเซ็นทินัลร็อค (Sentinal Rock Walk)ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเข้าไปดูปลายๆธารน้ำแข็ง หลายๆรีวิวบอกเดินสบายๆไม่ไกล ไปกลับสักชม. เอาอันนี้ล่ะวะ เดินชมป่าเย็นๆชื้นๆเข้าไปเริ่มมองเห็นธารน้ำแข็งจากยอดเขาเป็นระยะ อารมณ์เหมือนเดินป่าปิดดอยอินทนนท์ ถ้าจะเดินขึ้นบนธารน้ำแข็งเลย ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ให้มีคนพาเดิน จุดเดินจะเป็นอีกจุดหนึ่งและเดินนานเป็น 1-2 ชม.

ธารน้ำแข็ง Franz Josef นี่นักท่องเที่ยวมากันเยอะ มันไม่ใหญ่สุดนะ แต่คนนิยมมาเพราะสะดวกใกล้ไปง่าย จากจุดจอดรถเราเดินเข้ามาจนพ้นแนวป่า มองเห็นลานกว้างๆ เห็นธารน้ำแข็งอยู่ไกลๆ ยืนอ่านป้ายแล้วขนลุก เมื่อก่อนพวกเราต้องยืนตรงนี้ เพื่อดูธารน้ำแข็ง เพราะมันไหลยาวยืดมาจนใกล้ ถ้าลงไปเดินจะลื่นอันตราย จะเดินต้องติดต่อขอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ และมีไกด์พิเศษพาเดิน แต่เพราะภาวะโลกร้อน ธารน้ำแข็งมันละลายไปมาก จนมันเหลืออยู่ลิบๆโน่นล่ะ อยากดูใกล้ๆเดินไปได้ฮะ เดินผ่านลานหินนั่นไปได้เลย โอ้วววววว

พวกเราเดินเล่นกันไปจนพอใจ ตามก้อนหินมีต้นไม้ดอกไม้ให้เก็บภาพมาโครบ้างนะ แต่ลมค่อนข้างแรงเป็นพื้นที่โล่ง PB เดินไปจนเกือบถึงตีนเขาโน่น เราเลือกจะเก็บเล็กๆน้อยๆข้างทางแทน ได้เวลาก็เรียกกันกลับ เพราะเรามีนัดจะเหินฟ้ากันตอน 10โมงเช้า จะชมธารน้ำแข็งกันจะๆเลย

กลับถึงที่พัก เปลี่ยนชุดเล็กน้อย Chk out เลยเอาของขึ้นรถหมดแต่จอดรถทิ้งไว้ก่อน รีบเดินไปจุดนัดพบแถวๆปากซอย PB รับหน้าที่จอง Glacier Flight นางจองออนไลน์มา หลังจากเปรียบเทียบราคาหลายเจ้าแล้ว นางบอกเจ้านี้คุ้มสุด พอมาถึงบู๊ท Mountain Helicopper นี่มันเล็กๆต่างกับบริษัทอื่นๆนะ เลยเสียวนิดๆ แต่เอาวะ เราว่าฝรั่งมันคงมาตรฐานดีอยู่นะ 555 รอเครื่องมาสักครู่ สุดหล่อที่บู๊ทมาอธิบายรายละเอียดและข้อควรระวังคร่าวๆ เรา 4 คนเปิดซิงเฮลิคอปเตอร์กันที่นี่ล่ะ ฮีบอกไม่ต้องห่วง วันนี้อากาศดี เราก็ว่าเออ อากาศดีฟ้าเปิดใสเชียว ข้าวของเครื่องใช้ไม่ควรพกไปนะ ถ้าเก็บในรถได้ก็เก็บ แต่เราขี้เกียจเดินกลับไปโรงแรม เลยฝากฮีไว้ที่ตู้ เอาไปแต่กล้องกะเป๋าเงินพาสปอร์ต คือห้ามเป้ห้ามกระเป๋าค่ะ ลำนึงนั่งได้ 4 คน เจี๊ยบ&PB นั่งหน้าข้างคนขับ เรา คนนั่งหลัง ขึ้นไปมันวูบวาบดีเหมือนกัน

อากาศดีฟ้าเปิด คนขับบรรยายโน่นนี่นั่น แต่ฟังไม่รู้เรื่องเลยบอกตรงๆ เสียงเหมือนที่เราเคยดูในหนังอ่ะ มันครืดๆคราดๆ ฟังออกตอนก่อนบินว่าวันนี้เราโชคดี ฟ้าปิดมาหลายวัน เพิ่งเปิดวันนี้ ว้าวววว ดีใจมากๆ เราบินวนไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ มองเห็นธารน้ำแข็ง เห็นภูเขาหิมะ เห็นแม่น้ำ ซึ่งไม่รู้ว่าอะไรบ้าง สวยงามตามที่คาด ตอนช่วงบินเข้าในหุบเขาเพื่อดูใกล้ๆ มันวูบวาบท้องไส้ปั่นป่วนเหลือหลาย สุดท้ายมาแลนดิ้งลงบนเนินๆนึง ให้ลงไปสัมผัสหิมะ และทิวทัศน์กว้างไกลของภูเขาหิมะ ลมแรงได้อารมณ์ Cliff Hanger มากๆ

รอดตายลงมาได้ พร้อมความประทับใจ รอท้องไส้หายปั่นป่วน จึงหาอะไรรองท้อง ก็ร้านแถวๆนั้นแหละ อิ่มแล้วรีบกลับโรงแรมไปเอารถ จุดต่อไปของเราคือ Fox Glacier จะแวะ Matheson Lake แล้วแวะชม Fox Glacier จากจุดชมวิว แล้วตียาวไปนอน Lake Hawea จองโรงแรมวิวงามไว้ ระยะทางไกลพอควรอีกแล้ววันนี้ กว่าจะได้ออกเดินทางก็เกือบเที่ยง

ขับผ่านป่าเขาลำเนาไพรไป ฟ้าเริ่มปิดแฮะ ฝนลงเบาๆ พอไปถึง Fox Glacier เลี้ยวแยกเข้าไป Matheson Lake >แดดหายไปแล้ว เดินเข้าไปชมด้านใน ตรงจุดชมวิวสุดฮิต เศร้าเล็กๆ แดดไม่มี ทะเลสาปไม่สะท้อน เมฆก็ปิดยอดเขา ไม่ควรค่าแก่การเดินวงรอบแน่แท้ เอาแค่จุดชมวิว แล้วก็เดินกลับ ออกมาที่ Matheson Café ก็เลยไม่แวะกินอะไร เพราะวิวไม่มีให้ดื่มด่ำล่ะ ขับกลับไปกินในเมือง เมืองแสนจะเล็กและเงียบเหงากว่า Franz Josef Glacier มาก รีบกินรีบเติมน้ำมันซื้อเสบียงเพิ่มเติมเล็กน้อยรีบเผ่นล่ะ บ่ายแล้ว ทางยังอีกไกล

เราออกจาก Fox Glacier ก็บ่าย 3 ล่ะ เลยออกมาถ่ายรูป Fox Glacier จากจุดชมวิวไกลๆเป็นที่ระทึก (เพราะมันใกล้มืดล่ะ) ตรงนั้นจำได้ว่าเห็นป้ายตรงทางแยกเขียน Road Closed อะไรสักอย่าง ซึ่งตอนนั้นอิฮั้นไม่สนใจ มัวแต่สนใจทางเลี้ยวเข้าไปจุดชมวิว ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่ต้องจ่ายเงินไปหลายพันบาท T___T

ขับผ่านเส้นนี้มันสวยดีนะ วันนี้พระอาทิตย์ตกสวย แต่ไม่มีเวลาล่ะ ดูระยะทางแล้วอีกยาวไกล เราวางทริปพลาดจริงๆ มันยาวไป ยังไงใครจัดทริปต้องขับรถไม่ควรเกินวัน 150 กิโล กำลังดีอ่ะ เรียกว่าทริปชิลๆ นี่จัดมา 200 กว่ากิโล มันไม่ทัน มันไม่ชิล T__T

สุดท้ายมาถึงเมือง Haast ในตอนโพล้เพล้ ยิ้มเริงร่ากับวิวแม่น้ำ-สะพาน-ทะเล ยังต้องไปอีกกว่าจะถึง Lake Hawea ก็คงอีกสักชั่วโมงนึง เอาวะถึงมืดหน่อย คืนนี้เราจะชิลกะวิวงามๆของ Lake Hawea จิบไวน์เย็นๆ ฝันไปล่วงหน้านะ พอพ้นเขตเมือง Haast เหมือนโดนปลุกให้ตื่นโดยเจ้าหน้าที่การทาง (มั้ง) ชีเป็นสาวรูปร่างบึกๆ ที่ขับรถตามเรามาเพราะทางที่เราไปมันปิด!! พอเราจอดรถที่ไม้กั้นทางด้วยความงุนงน ชีก็มาจอดรถข้างๆพร้อมส่งข้อความจากสวรรค์ว่าทางปิดจ้ะ เพราะมีหินร่วงโน่นนี่นั่น ขับกลางคืนมันอันตราย ทางปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็นแล้วอิหนู นี่ 6 โมงแล้วนะยะ ไม่อ่านป้ายตามทางมาบ้างรึ (ประโยคหลังแปลตามหน้าตา) เปิดอีกที 6-7 โมงเช้านะ ไปหาที่หลับที่นอนในเมืองนะ เงิบครับพี่น้อง ระลึกภาพได้รางๆว่าเห็นอยู่ มันมีป้ายตามแยก ที่เป็นป้ายไฟใหญ่ๆ บอกข้อมูลโน่นนี่นั่นเช่นทางนี้จะปิดนะ ให้อ้อมโน่นนี่นั่น หรือทางนี้ปิดตอนกี่โมง คือเค้ามีมาตรการด้านความปลอดภัยสูง คนขับรถต้องหมั่นอ่านข้อมูลตามรายทางด้วย เงิบ…

เมื่อไปไม่ได้ก็ไม่ต้องไป! วนรถกลับเข้าเมือง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลยวนไปหาที่พักแถบชายหาดก่อน ยังจะเลือกเท่ห์ๆเก๋ๆอีก จอดรถลงไปเดินชายหาด ชมวิว หนาวยะเยือก ไม่เห็นที่พัก เลยไม่เอาล่ะ เอาง่ายๆริมถนนดีกว่า เลี้ยวเข้าไปที่ Heritage Park Lodge ดูห้องดูราคาแล้วโอเค เป็นโมเต็ล 2 ห้องนอนพร้อมครัว กำลังดี ป้าคนดูแลช่วยโทรไปรร.ที่ Lake Hawea ให้ว่าเราไปไม่ได้ ทางปิดบลาๆๆๆ เผื่อจะไม่โดนตัดเงิน ป้าบอกว่าจนท.ทางโน้นรับทราบล่ะแต่นางไม่รู้เรื่องบุ๊คกิ้งอะไร จะตัดเงินหรือไม่ตัดเงิน พรุ่งนี้ให้แวะไปคุยเอง ฮือๆๆๆ

เข้าที่พักก่อนละกัน ดีว่ามีของสด ของแห้งตุนมาพอสมควร หุงข้าว ทำกับข้าวตามประสาแม่ครัวจำเป็น กินกันก็ว่าอร่อยดี ฮ่าๆๆๆ จิบไวน์กระดกเบียร์ เม้าท์มอยกันไป ทางปิดไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน

วันนี้กลับเข้าแผนเดิม 8 โมงกว่าๆออกจากที่พักผ่านทางที่กั้นเมื่อวาน ระหว่างทาง น้องเจี๊ยบ นำเสนอแวะที่ Blue Pool ชีอ่านหนังสือมาว่า น้ำสีฟ้าสวยงามอร่ามแท้ พวกเราก็ตามใจลูกทัวร์เสมอ จอดแล้วเดินเข้าไปชม อารมณ์เหมือนทางเดินเข้าน้ำตกบ้านเรา ไม่ไกลมากนัก แค่เหงื่อซึม เดินมาถึงสะพานแขวนดึ๋งๆอันที่ 2 มันก็มีป้ายว่า Blue Pool ชะโงกมองหากัน ตรงไหนเว๊…. มองลงไปมันก็ฟ้าๆเขียวๆ แต่แดดไม่ลง มันก็อึมครึมเป็นเงาๆ หมุนหามุมสวยอยู่พักใหญ่จนถอดใจ กลับเหอะ น่าจะสวยช่วงบ่ายมั๊ง แสงน่าจะลง ผิดหวังเล็กๆกลับขึ้นรถ บึ่งต่อไป

ถนนช่วงนี้ขับได้เรื่อยๆสบายๆ ไม่สูงไม่ชัน ฟ้าเริ่มเปิด สวยงามตลอดทาง เริ่มชินแกะ เลิกสนใจเลิกกรี๊ดกร๊าด สัก 10 โมงกว่าเราก็เจอ Lake ด้านขวา น่าจะเป็น Lake Wanaka สีฟ้าสวยงามมากมาย หันมากรี๊ดกร๊าดทะเลสาปแทน ขับเลาะ Lake ไปเรื่อยๆ สวยกรี๊ดตลอดทาง มากรี๊ดพีคสุดตรงช่วงช่องเขา ที่พ้นแนว Lake Wanaka ด้านขวา โผล่พ้นเนินช่องแคบ เจอวิวทะเลสาปงามๆด้านหน้า ต้องเบรค ต้องจอด มันงาม มากๆบอกเลย เรามาถึง Lake Hawea แล้ว สุดท้ายก็พบข้อดีของการมาไม่ได้เมื่อคืน เพราะถ้ามาเมื่อคืน เราคงไม่ได้เห็นวิวตลอดทางมาจนถึงตรงนี้ 5555

ขับเลาะ Lake Hawea ไปจนถึง Lake Hawea Hotel ที่เราจองไว้ วิวมันสวยจริงๆ น้ำตาไหล ไหลเพราะมันสวยและไหลเพราะเสียดาย อดนั่งจิบกาแฟยามเช้าชมวิวชิลๆที่ฝันไว้ แถมคุยแล้ว เจ้าหน้าที่โรงแรมบอกว่าเวปไซต์มันตัดเงินอัตโนมัติเค้าช่วยไม่ได้จริงๆ T___T

เศร้าไปก็เท่านั้น ชื่นชมบรรยากาศจนพอใจ ก็ออกเดินทางต่อ ระหว่างทางเราแวะที่ Puzzling World ตั้งใจแวะทานกลางวัน ถ้าอยากเข้าไปดูก็เข้า ไม่อยากเข้าก็แค่แวะกินข้าว ปรากฏว่ามันไม่มีอะไรน่าสนใจให้กิน มีคาเฟ่เล็กๆขายอาหารง่ายๆ เลยแค่แวะถ่ายรูปด้านหน้า แล้วออกเดินทางต่อ ตั้งเป้าไปที่ Arrow Town เลย

ชั่วโมงกว่าๆกับทางสวยๆ มีเขาเล็กน้อย บ่ายโมง เราก็มาถึงทางซิกแซกเพื่อตัดลงไป Arrow Town ล่ะ ซิกแซกเสียวเล็กๆนะ แต่ก็สวยดี ลงมาถึงด้านล่าง ขับไปอีกหน่อยก็เข้าเขต Arrow Town แล้ว เมืองน่ารักมากกกกกก ก.ไก่พันตัว หาที่จอดรถ (ทุกอย่างทำผ่านอินเตอร์เน็ตและ GPS ไม่มีแผนที่อ่ะ) แต่เมืองเล็กๆเป็นเมืองท่องเที่ยวสุดฮิตแบบนี้ระบบจัดการดีมาก มีที่จอดรถเป็นสัดส่วน จอดแล้วเดินมาส่วนไฮไลต์ของเมืองได้เลยใกล้ๆ หิวกันแล้วเลือกร้านอาหารไทย ก็ search อาอีกแหละมีคนรีวิวว่าอร่อยใช้ได้ เราก็เอาเลย เจอพอดีร้านอยู่ด้านหลังใกล้ๆลานจอดรถ กินเซ็ตเมนูคนละเซ็ตอร่อยดีทีเดียว

อิ่มหมีพีมัน ก็ออกเดินชมเมือง ถนนสายหลักคือ Buckingham St. ขนาบข้างด้วยตึกเก่ายุคสมัยรุ่งเรืองเป็นเหมืองทอง อนุรักษ์ไว้ตลอดถนน ถ้ามาช่วง ปลายๆเมษา ถึงพฤษภา ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นเหลืองทองจะสวยมากๆ เราไปก็เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว สวยจริงจัง

เดินชิลๆ ช็อปเล็กๆ นั่งจิบกาแฟพอหายเหนื่อยหายเมื่อย ก็มุ่งหน้าเข้า Queenstown กันเลย ห่างจาก Arrowtown แค่ 20 กว่ากิโล ขับไปตามป้ายเถอะ เรื่อยๆไป มันก็มาโผล่ที่ Shotover Bridge เห็นป้ายว่า Historic Bridge เลยแวะ ไร้แผนการณ์มากบอกเลย ลงไปเดินชม มีคนมาวิ่งมาปั่นจักรยาน ดูคุณภาพชีวิตดีจัง

จากนั้นตั้ง GPS ไปที่พักกัน คืนนี้นอนอพาตเมนต์ 2 ห้องนอน ไม่ติดริมทะเลสาปแต่อยู่ใกล้ๆ เพราะพวกที่พักริม Lake มันแพงละเกิ้นนนน เราต้องจำกัดงบเล็กน้อย ขับเลาะทะเลสาปมาเรื่อยๆ ก็ถึงที่พัก ห้องพักสะดวกสบายดีมาก เดินเข้าไปกลางเมืองก็ได้ เดินพอเหงื่อซึม และเป็นเนินเขา แต่ไม่ต้องไปหาที่จอดก็สะดวกดี ถ้าจะไปริมทะเลสาปก็เดินลงด้านหลังไปนิดเดียวเอง แต่เป็นเนิน เหอๆๆ
เข้าห้องพัก เก็บของโน่นนี่นั่น แล้วพวกเราก็ไปขึ้นกระเช้ากัน วันนี้จะดินเนอร์หรูพร้อมชมวิวสักหน่อย มาถึงจุดขึ้นกระเช้าในเวลาที่เหมาะกำลังดี แดดล่มลมตก เข้าไปซื้อตั๋ว พร้อมถามรอบบุฟเฟต์ว่ามีว่างมั้ยเพราะไม่ได้จองมา ก็ได้รอบทุ่มพอดี เวลาเยี่ยมมาก

นั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบน ไปแจ้งห้องอาหารก่อนเลย เค้าจะให้เบอร์คิวมาพร้อมบอกเวลา จากนั้นก็ออกไปชมวิวเทือกเขา Remarkable ทอดตัวยาวๆ กับ Lake Wanaka ชิลกันจนพระอาทิตย์ตกหรือใครจะช็อปปิ้งทำลายเงินก็เชิญด้านใน ยิ่งเย็นนักท่องเที่ยวยิ่งเยอะ เสียดายทัวร์ไทยหลายกรุ๊ปมาถึงก็เริ่มมืดแล้ว ไม่ได้ชื่นชมบรรยากาศยามเย็นอันแสนโรแมนติค คงเพราะวันนึงไปหลายที่

ถึงเวลาเราก็ลงไปเอาโต๊ะ ยังมองเห็น The Remarkable ได้งามๆ แต่ไม่เห็นมีใครมอง ทุกคนจับจ้องแต่ซีฟู๊ดในจาน ฮ่าๆๆๆๆ อาหารพอใช้ได้ ถือว่ามากินบรรยากาศ ไลน์ Cold dish มีซีฟู๊ดเยอะอยู่ เราก็ซัดหอยแมลงภู่กับกุ้งไปเพียบ จากนั้นไปไลน์อาหารร้อน ก็กินแกะ กินพาสต้า กินพวก Seafood Grille อีกเล็กน้อย ราคาอาหารไม่รวมเครื่องดื่ม เป็นปกติของบุฟเฟต์ เราตัดใจสั่งไวน์ขาวมาจิบกับซีฟู๊ดสักหน่อย ชัยวัฒน์ก็จัดเบียร์ นับว่าแฮปปี้ดีวันนี้

ปัญหาต่อไปหลังจากนี้คือพยายามจะจอง Shotover jet กับ Bungee Jump พรุ่งนี้ แต่กว่าเราจะกลับลงมาในเมือง ร้านเอเยนต์ทัวร์ก็ปิดหมดล่ะ เดินจนทั่วเมือง มีแต่ร้านขายเครื่องสำอางค์กับร้านไวน์เปิด เลยกลับที่พักไปจองออนไลน์ก็ได้ กลับห้องมาทำการจอง Shotover Jet พรุ่งนี้รอบสายๆ ส่วน Bungee Jump ไว้ไปซื้อตั๋วที่นั่นเลย เผื่อจะเปลี่ยนใจกัน ฮ่าๆๆๆ

วันนี้เป็นวันกิจกรรม คนมา Queenstown ก็ไม่มีอะไรทำหรอก นอกจากหากิจกรรมทำ มีทั้งนั่งเรือ โดดบันจี้จั๊มพ์ ปีนเขา นอกนั้นก็ไปชิมไวน์ ช๊อปปิ้ง ประมาณนี้ พวกเราเลือกอันฮิตสุดคือ Shotover Jet ทำอาหารเช้าง่ายๆเป็นข้าวต้มจะได้ย่อยง่ายๆ เดี๋ยวต้องไปปั่นป่วนทั้งวัน 555

เราจองตั๋ว Shotover Jet แบบขับรถไปที่จุดลงเรือเอง ใครไม่มีรถก็จองแบบรวมรถ ก็ไปขึ้นตามจุดจอดรถในเมือง แต่มันมีเป็นรอบ เสียเวลา เรามีรถขับไปเองสบายกว่า ขับไม่ไกลไปตาม GPS นั่นแหละ มาถึงจุดลงเรือ ก็แจ้งรอบจอง ระหว่างรอก็ลงไปยืนชมรอบก่อนเรา นั่งเรือสวิงสวายโฉบไปมาน้ำกระจาย ชมอยู่ 2-3 กรุ๊ปก็ถึงตาเรา ต้องไปใส่ชุดกันเปียกเป็นชุดยางครึ่งตัว ที่มัน….เอิ่มมมม เหม็นอับสิ้นดี แต่ต้องใส่เหอะ เพราะน้ำเย็นเจี๊ยบ

ลงไปนั่งพยายามจะใส่ฮู๊ดเพราะมันหนาว แต่พอเริ่มออกตัว ฮู๊ดก็หลุดกระจาย ก็ช่างมันหัวกระเซิงไป รอบแรกนี่เสียวจริงๆเพราะฮีเล่นดริฟเรือเข้าใส่ผาหิน หลับตาเลยเหอะ พอรอบ 2-3 เริ่มชิน ยอมรับว่าคนขับเจ๋งจริงๆ ดริฟน้ำกระจาย มันส์มากๆ วนไปวนมาไม่รู้นานเท่าไหร่ ก็กลับมาจอด เดินลงเรือ เป๋เหมือนกัน โลกหมุนเล็กๆ ฮ่าๆๆๆ แต่มันส์ดี ใครมาควรลอง

PB สอยซีดีที่เค้าถ่ายมาขาย มันเจ๋งดีนะ แต่รูปเราไม่เจ๋งเลย โดนมือคนข้างหน้าบัง เซ็งเบยยยยยย

ออกจาก Shotover Jet ตั้ง GPS ต่อไปที่ Kawarau Bungee Jump เสียวที่ 2 ของวัน ภาวนาให้มีนักท่องเที่ยวมาโดด เราจะได้ถ่ายรูป เพราะเราไม่โดดแน่ๆ ฮ่าๆๆๆๆ แต่ 2 สาวมุ่งมั่นมาก!! ขอเป็นกองเชียร์ละกัน กร๊ากกกก มาถึงเห็นทัวร์ลงหลายคัน ทัวร์นี้ทัวร์ฝรั่งนะ เด็กๆวัยรุ่นทั้งนั้น พวกนี้โดดกันเยอะแยะ วันนี้เลยคึกคักดี (อ่านรีวิวมาบางคนบอกมาถึงต้องรอคนใจกล้าโดด)

ตอนนี้มีเครื่องเล่นใหม่เพิ่มมา ช่วงรอคิว Bungee Jump ก็ไปเล่น Zipride ก่อนได้ ซื้อตั๋วเป็นแพคเกจไปเลย Zipride นี่ชิลๆเหมือนเป็นซุปเปอร์แมน เหินไปชิลๆ แต่พวกเด็กฝรั่งมันเลือกแบบล็อคขาห้อยหัวไป ป๊าดดดด น่าเวียนหัวแท้ จากนั้น 2 สาวก็ไปรอคิว ก่อนไปต้องชั่งน้ำหนักก่อน เค้าจะเขียนไว้ที่มือ เพื่อให้เจ้าหน้าที่จุดโดดดูน้ำหนักจะได้จัดเตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะ 2 สาวเลือกโดดคู่ กะกอดกันตาย กร๊ากกกก เราจับจองที่ฝั่งตรงข้าม คอยถ่ายทำทุกขั้นตอน นางหันมาโบกมือให้กล้องตามที่สต๊าฟบอก แล้วสต๊าฟก็ผลักนางเบาๆ นางก็ร่วงลงไปพร้อมเสียงกรี๊ดดดด ถ่ายทำไว้ทุกขั้นตอน แต่บอกเลยคุณควรซื้อ DVD ที่เค้าถ่ายมาขาย มันดีจริงๆ มีภาพหลายมุม มีเพลงประกอบ มีสโลโมชั่น สวยงามมาก PB ซื้อมาอีกตามเคย มันเยี่ยมมากคุ้มค่าจริงๆนะบอกเลย

ปล.จากการไปยืนดูแล้วมันไม่ได้น่ากลัวมากตามที่คิดก่อนมานะ ถ้าจำเป็นต้องโดดจริงๆแบบไปแข่ง Amazing Race ไรเงี้ยโดดได้แน่นอน แต่ตอนนี้ไม่ได้จำเป็นต้องโดดก็ไม่โดดนะบอกเลย 5555

รับ Certificate ความบ้า เอ้ยยย ความกล้ากันออกมา ชักภาพยิ้มหน้าซีดๆกับป้ายเป็นที่ระลึก ฮ่าๆๆๆ บ่ายแล้ว ออกจาก Bungee Jump ไปอีกนิดเดียวก็ถึง Gibbston Valley Wine yardแล้ว เข้าไปกินอาหารกลางวันกันที่นี่แหละ หรูหรานิด แต่ก็อร่อยดี พนักงานงุนงนที่เราสั่งอาหารแต่ไม่สั่งไวน์ ก็ใครมาที่นี่ก็ต้องมากินไวน์นะ พวกเราซัดอาหารกันอย่างหิวโหยกับน้ำเปล่า แต่ได้จองทัวร์ไว้ เป็นทัวร์ชิมไวน์พร้อมชมถ้ำ Wine tasting in cave ทำนองนั้น อิ่มแล้วช็อปปิ้งรอเวลา ซื้อช็อคโกแลต Pinor Nior มา เอามากลับมาชิมมันมีรสมีกลิ่น Pinor Nior จริงๆนะแปลกดี

นอกจากพวกเราก็มีกรุ๊ปทัวร์จีน 5-6 คนมาจอย เห็นก็ขนลุกล่ะ ทัวร์จีน – -“ ยังดีว่ากลุ่มเล็กนะ มีไกด์จีนที่พูดภาษาอังกฤษได้มาด้วย เริ่มต้นด้วยการเดินไปดูไร่องุ่นก่อน อธิบายโน่นนี่นั่น ไม่ค่อยได้ฟัง 555 จากนั้นก็พาเข้าถ้ำ มันคือ Wine Cellar ใหญ่ยักษ์ เต็มไปด้วยถังไวน์กลิ่นหอมไปหมด แต่ก็มืดๆชื้นๆ เข้าไปด้านใน สต๊าฟอธิบายขั้นตอนการทำ อธิบายชนิดไวน์ แล้วก็เปิดไวน์ให้ชิมเป็นขวดๆไป มีทั้งแดงทั้งขาว พอเริ่มชิม ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น เพราะพี่จีนกระดกแบบสามล้อถูกหวย ยังกะกระดกเหมาไถ กระดกหมดก็รี่มาเติ่มอีก บางคนคว้าขวดที่สต๊าฟวางไว้ตอนอธิบายต่อมาเทเอง สต๊าฟต้องคว้าขวดแทบไม่ทัน ระหว่างสต๊าฟอธิบาย พี่จีนก็คุยๆๆๆๆ รู้ว่าฟังไม่ออกแต่เดี๋ยวไกด์พี่ก็แปลให้ฟัง พี่ควรมีมารยาทบ้างไรบ้าง นี่คุยกันล้งเล้งมาก แล้วในถ้ำมันก็ก้องนะ สุดท้ายเจอ NJ โวยใส่บอกให้เงียบ! ไกด์มันก็แปลไป พวกพี่ก็เงียบลงได้ ไม่รู้อิไกด์มันบอกว่าอะไร อาจบอกว่าเงียบๆหน่อยไม่งั้นอิป้า 3 คนนี่จะงาบหัวเอานะ ผ่านไป 3-4 แก้วเริ่มกรึ่มๆแล้วด้วย กร๊ากกกก

กรึ่มกันออกมา ก็มาสาละวนเลือกซื้อไวน์ก่อนกลับ คือมันรดชาติดีมากบอกเลย ยืนปรึกษากันไปมา นั่นก็อร่อยนี่ก็ดี แดงก็เยี่ยมขาวก็ยอด สุดท้ายแบกกันมาคนละ 3-4 ขวด – -“ แล้วจะขนกลับยังไง ยังไม่ได้คิดนะ เอามาก่อน เพลีย….

กลับเข้าเมือง เราวนไปที่จุดขึ้นกระเช้าเมื่อวาน เพราะจะไปดูกีวี่ที่ Kiwi Birdlife Bird Park มันอยู่ตรงที่จอดรถเมื่อวานเลย เดินเข้าไปถึงจุดขายตั๋วเจ้าหน้าที่บอกว่าจะปิดแล้ว วันนี้ปิด 5 โมงครึ่งนี่จะห้าโมงแล้วนะเข้าได้แต่ก็เดินได้แป๊บเดียวไม่คุ้มหรอก เลยตัดใจ ไว้หาข้อมูลใหม่ว่าดูที่ไหนได้อีก ฉันมานิวซีแลนด์ฉันต้องได้เห็นกีวี่ซิวะ!!!

พลาดหวังกีวี่เลยไปเดินเล่นในเมืองแทน เพราะจะซื้อตั๋วเรือ Milford Sound วันมะรืนด้วย ก็ไปจองเรือซะให้เรียบร้อย แล้วจึงไปเดินเล่นช็อปปิ้งชมวิวริมเลควากาติปู หาร้านกาแฟที่จะนั่งจิบไปชมวิวไปไม่ได้เลยอ่ะสุดท้ายเลยต้องนั่งร้านกลางเมือง เม้าท์มอยกันไปจนเริ่มหิว กลับห้องไปทำอาหารง่ายๆกินกัน แล้วก็งัดไวน์มาเปิด พร้อมเปิดแผ่น DVD Shotover jet กะ Bungee jump ดู สนุกสนานไปอีกคืน

จบครึ่งทริปแล้วล่ะ นอกจากซัดไวน์กันกระหน่ำแล้ว ก็ถ่ายรูปกันเมามันมาก

ตามดูต่อภาค 2 นะ ออกจาก Queenstown ล่องใต้ต่อไป ก่อนจะวนกลับขึ้นบนไป Christchurch
ลุยนิวซีแลนด์แดนกีวี – ลุยเกาะใต้ [ภาคปัจฉิมบท]

Website Built with WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: