เที่ยวอัคราในเวลา 1 วัน

1 day in Agra

Nov. 2022

AGRA | อัครา เมืองเก่าแก่ในแคว้นอุตตระประเทศของอินเดีย อัคราเคยเป็นเมืองหลวงเก่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน จนเมื่ออินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ เปลี่ยนระบบการปกครอง อัคราก็เป็นแค่เมืองๆหนึ่ง แต่มีสมบัติล้ำค่าของโลกอยู่คือ ทัชมาฮาล | Taj Mahal อนุสรณ์สถานแห่งความรักอันมีชื่อเสียงก้องโลก

อัคราห่างจากนิวเดลี (New Delhi) เมืองหลวงของอินเดียประมาณ 200 กม. และห่างจากไจปูร์ (Jaipur) เมืองหลวงของแคว้นราชาสถานประมาณ 200 กม.เหมือนกัน ทั้งนิวเดลีและไจปูร์เป็นเมืองใหญ่มีสนามบินระหว่างประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวที่บินมาถึง สามารถไปเที่ยวอัคราได้ง่ายดายสุดๆ นั่งรถไม่ไกลมาก มีการจัดโปรแกรมเที่ยว นิวเดลี อัครา ไจปูร์ เรียกว่า Golden Triangle Route เหมาะกับคนที่เริ่มต้นเที่ยวอินเดีย | อ่านเรื่องเที่ยวอินเดียวบน Golden Triangle route ที่ Impression India |

ไปเที่ยวอินเดียคราวนี้เน้นเที่ยวในแคว้นราชาสถาน | อ่านเรื่องเที่ยวราชาสถานที่ Colorful Rajasthan | แต่มีวันที่ได้พาคู่หูไปเที่ยวอัครา ในเวลา 1 วันเต็มๆ ไปนอนที่เมืองอัครา เพื่อจะได้เริ่มต้นเข้าทัชมาฮาลตั้งแต่เช้าตรู่ตอนเริ่มเปิด คนไม่เยอะ อากาศไม่ร้อน หวังจะเจอแสงเช้าสวยๆ แต่ก็เจอบรรยากาศขมุกขมัวอีกจนได้ สภาพอากาศเหมือนกับที่เคยมาเมื่อ 13 ปีที่แล้ว จากนั้นสายๆก็ไป Agra Fort เดินเที่ยวดูป้อมปราการ แล้วไปต่อที่ Itimad-Ud-Daulah Tomb สุสานสวยริมแม่น้ำยมุนา แล้วจบทริปที่ Mehtab Bagh สวนฝั่งตรงข้ามทัชมาฮาล แล้วนั่งรถกลับไปไจปูร์

Tips : เวลาซื้อตั๋วเข้าสถานที่ท่องเที่ยวให้แสดงหนังสือเดินทางไทยจะได้ลดราคา (ราคาสำหรับประเทศสมาชิก SAARC : South Asean Association) และถ้าเริ่มต้นเที่ยวที่ทัชมาฮาลให้เก็บตั๋วให้ดี เวลาซื้อตั๋วสถานที่เที่ยวอื่นๆให้เอาตั๋วทัชมาฮาลให้ดูด้วยก็จะได้ลดราคาเพิ่มอีก ประหยัดค่าเข้าได้เยอะมากๆ | ดูราคาค่าเข้าสถานที่ได้จากเวป tajmahal.gov.in

Taj Mahal | ทัชมาฮาล

🎟 Fee : foreigner 1,100 INR  / SAARC ticket 540 INR (mausoleum +200 INR) 

ทัชมาฮาล อนุสรณ์สถานแห่งความรักของกษัตริย์ชาร์จาฮาน (Shah Jahan) กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โมกุล สร้างให้แด่พระมเหสีมุมตัส (Mumtaz Mahal) อันเป็นสุดที่ี่รักของพระองค์ที่สวรรคตไปหลังคลอดลูกคนที่ 15 ใช้หินอ่อนที่ตัดมาจากแหล่งหินชั้นดีล่องมาตามแม่น้ำยมุนา สร้างในแบบศิลปะโมกุล มีสัดส่วนสมดุลย์สวยงาม ใช้เวลาสร้างอยู่ 22 ปี จนเงินแทบจะหมดท้องพระคลัง พระเจ้าชาร์จาฮานก็ยังไม่หายโศกเศร้า และยังมีพระดำริจะสร้างทัชมาฮาลสีดำขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำอีก ทำให้เจ้าชายโอรังเซบ (Aurangzeb) พระโอรสของพระองค์เข้ายึดอำนาจ และจับพระองค์ไปขังไว้ที่ป้อมอัครา อ้างว่าพ่อเสียสติไปแล้ว ถ้าปล่อยให้สร้างทัชมาฮาลสีดำอีกเงินจะต้องหมดพระคลังแน่นอน โดยขังพระเจ้าชาร์จาฮานไว้ที่ป้อมอัคราจนพระองค์สิ้นพระชนม์ พระศพของกษัตริย์ชาร์จาฮาน ได้ฝังอยู่ข้างพระมเหสีมุมตัสในอุโมงค์ใต้ทัชมาฮาล โดยมีโลงหินอ่อนคู่วางอยู่ด้านในอาคารเป็นสัญญลักษณ์

ทัชมาฮาลได้ขึ้นทะเบียนเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ เพราะความสวยงามของการออกแบบ และความสามารถในการก่อสร้างของช่างที่สร้างโดมขนาดใหญ่จากหินอ่อนได้สวยงามสมดุลย์

ทัชมาฮาลกำหนดเวลาเปิดปิด คือ 30 นาทีก่อนพระอาทิตย์ขึ้น จนถึง 30 นาทีก่อนพระอาทิตย์ตก (ก็ประมาณ 6 โมงเช้า จนถึงราว 6 โมงเย็น) ทัชมาฮาลปิดทุกวันศุกร์ และมีการขายตั๋วเข้าชมทัชมาฮาลตอนกลางคืนด้วย ถ้าไปสายก็จะคนเยอะ อยากไปเดินเที่ยวแบบคนไม่เยอะมาก (แต่ก็เยอะอยู่แหละ) ก็ควรไปตั้งแต่ตอนเริ่มเปิด เราเดินจากที่พักไปแค่ 10 นาทีก็ถึงทางเข้าประตูทิศตะวันตก ไปซื้อตั๋ว (อย่าลืมบอกด้วยว่าเราเป็นคนไทย เอาหนังสือเดินทางให้ดูด้วย จะได้ลดครึ่งราคาเลยทีเดียว) จ่ายเงินเรียบร้อยจะได้ตั๋วมาพร้อมเหรียญพลาสติค เอาไว้แตะเปิดทางกั้นตอนเข้าเหมือนตอนขึ้นรถไฟฟ้า เก็บเหรียญให้ดีต้องใช้แตะตอนออกด้วย ถ้าทำหายโดนปรับ 100 รูปี จากนั้นก็ไปต่อแถวรอเข้า อย่าลืมเอาตั๋วไปรับถุงคลุมรองเท้าด้วย เพราะต้องใช้ตอนเดินขึ้นไปด้านบนของตัวโดมและอาคาร เมื่อเปิดให้เข้า ต้องผ่านการตรวจอย่างละเอียด ห้ามกระเป๋าใหญ่ๆเข้า ห้ามอาวุธ ห้ามขาตั้งกล้อง ห้ามอาหาร เข้าได้แต่น้ำดื่มคนละขวด

Agra Fort | ป้อมอัครา

🎟 Fee : foreigner 540 INR / SAARC ticket 90 INR / After Taj ticket 40 INR 

ป้อมปราการขนาดใหญ่ของราชวงศ์โมกุล สร้างด้วยหินทรายสีแดง บางคนจึงเรียกว่าป้อมแดงหรือ Red Fort ภายในป้อมมีส่วนพระราชวังเดิม ที่ปรับปรุงไว้อย่างดีเปิดให้เดินเที่ยวได้ทั่วๆ มีท้องพระโรง มีสวนสวย จุดที่นักท่องเที่ยวสนใจคือจุดที่มองไปเห็นทัชมาฮาลได้ เพราะป้อมอัคราห่างจากทัชมาฮาลแค่ 2 กม. ซึ่งกษัตริย์ชาร์จาฮานที่ถูกจับมาขังที่ป้อม เฝ้ามองทัชมาฮาลจากที่ป้อมจนสิ้นพระชนม์

มาป้อมอัคราคราวนี้ มองไม่เห็นทัชมาฮาลเลย เพราะฝุ่นควันฟุ้งขาวบังจนไม่เห็นอะไร แต่คราวก่อนที่มายังพอมองเห็นทัชมาฮาลอยู่บ้าง

Itimad-Ud-Daulah Tomb | สุสานอิติมาดอุดดอลาห์

🎟 Fee : foreigner 310 INR / SAARC ticket 30 INR / After Taj ticket 25 INR 

สุสานของพระอัยกา (ปู่/ตา) ของพระนางมุมตัส มเหสีอันเป็นที่รักของกษัตริย์ชาร์จาฮาน เป็นศิลปะแบบโมกุลที่สร้างด้วยหินอ่อนในยุคเริ่มแรก มีการใช้เทคนิค Pietra dura คือการประดับด้วยเพชร พลอย หินสีต่างๆ ด้วยการฝังเข้าไปในหินอ่อน ซึ่งเหมือนกับการตกแต่งของทัชมาฮาล จึงมีคนเชื่อกันว่าสุสานอิติมาดอุดดอลาห์ เป็นต้นแบบในการออกแบบของทัชมาฮาล จนได้ฉายาว่า Baby Taj

Mehtab Bagh (Taj view point) | สวนเมห์ทับ

🎟 Fee : foreigner 300 INR / SAARC ticket 25 INR / After Taj ticket 25 INR

ข้ามแม่น้ำยมุนามาฝั่งตรงข้ามกับทัชมาฮาล มีสวนสาธารณะที่เข้าไปเพื่อชมวิวทัชมาฮาลได้ ว่ากันว่ามาช่วงเย็นตอนพระอาทิตย์ใกล้ตก แสงจะสวยมาก และถ้ามาในฤดูที่แม่น้ำยมุนามีน้ำเต็มก็คงได้มุมทัชมาฮาลสะท้อนน้ำสวยงามดี แต่อย่างที่บอกมาแต่ต้นว่า วันที่เราไปฟ้าขมุกขมัวมาก แถมด้วยแม่น้ำยมุนาแห้งขอด ก็เลยไม่ได้มุมถ่ายรูปที่ประทับใจ แต่ก็ได้ไปเดินเล่นในสวนจนถึงริมแม่น้ำถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย


เพิ่มเติม ระหว่างทางจากอัครา-ไจปูร์ ประมาณกลางทางพอดี แนะนำแวะเที่ยวบ่อน้ำขั้นบันไดในเมือง Abhaneri แยกออกจากถนนใหญ่ไปไม่ไกล สมควรแวะชมมากๆ สวยงาม ใหญ่โต

Chand Baori | ชานเบารี

🎟 Fee : foreigner 300 INR / SAARC ticket 25 INR

Chan Baori เป็น 1 ในบ่อน้ำโบราณที่สำคัญของอินเดีย การสร้างบ่อน้ำในสมัยโบราณจะสร้างบันไดไว้รอบๆบ่อ เป็นขั้นลดหลั่นกันลงไป เพื่อให้คนที่จะลงไปใช้งานลงได้พร้อมๆกันหลายคน เรียกว่า บ่อน้ำขั้นบันได | Stepwells ใช้สำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้แม้ในยามหน้าแล้ง บันไดทำให้เดินลงไปได้ถึงก้นบ่อ เป็นการออกแบบที่ฉลาดมาก บางบ่อก็มีสิ่งก่อสร้างประกอบใหญ่โตสวยงามไปด้วย บ่อยิ่งใหญ่ยิ่งลึก ขั้นบันไดยิ่งเยอะก็ยิ่งสวยมีเสน่ห์

ปัจจุบันบ่อน้ำขั้นบันไดกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหล่า Blogger นิยมชมชอบ เพราะถ่ายรูปสวย ส่วนมากแล้วจะไม่อนุญาตให้เดินลงบันไดไปเพราะอันตราย แต่มักมีการให้ทิปเล็กๆน้อยกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอลงไปถ่ายรูปกัน แต่ที่ Chan Baori นี่ไม่สามารถทำได้เพราะเขาทำรั่วกั้นรอบ น่าจะเป็นเหตุผลด้านความปลอดภัย เพราะ Chand Baori เป็นบ่อน้ำขั้นบันไดที่ได้รับการบันทึกว่าลึกที่สุดในอินเดีย คือลึก 33 ม. มีขั้นบันไดรอบบ่อมากกว่า 3,000 ขั้น สร้างมาตั้งแต่ คศ.ที่ 8-9

💤 ที่พักในเมืองอัครา 💤

เลือกที่พักแบบ Guesthouse ราคาไม่แพงแต่ทำเลดีมาก อยู่ใกล้ทัชมาฮาลแค่ 300 ม. ตื่นแต่เช้ามืดเดินไป 5 นาทีถึงที่ขายตั๋วเลย ปลอดภัยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ใกล้ๆด้วย ราคาก็ตามสภาพห้องพัก ไม่หรูหราแต่ไม่สกปรก นอนได้ มีร้านอาหารฝากท้องได้ พนักงานช่วยเหลือดีพูดอังกฤษได้

Lucky Guesthouse & Restuarant : 640 INR (+Tax)

Colorful Rajasthan

สีสันแห่งราชาสถาน
Colorful Rajasthan

November 2022

เที่ยวราชาสถาน นักท่องเที่ยวส่วนมากตั้งต้นกันที่ Jaipur เพราะมีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพพฯ Jaipur เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในแคว้นราชาสถาน เป็นจุดศูนย์กลางการเดินทางทุกชนิด มาตั้งตั้นเที่ยวกันที่ Jaipur แล้วไปเที่ยวต่อที่เมืองอื่นๆ อย่าง Udaipur / Ranakpur / Jodhpur / Pushkar / Jaisalmer ได้อย่างสะดวกสบาย

>> ทำความรู้จักราชาสถาน / การเดินทาง / ที่พัก / อาหาร <<

แต่ละเมืองในราชาสถานต่างก็มีเอกลักษณ์โดดเด่น โดยเฉพาะเรื่องสีสรร เช่น ไจปูร์ ได้ฉายาว่า นครสีชมพู หรือ จ๊อดปูร์ มีฉายาว่า นครสีฟ้า หรือ ไจซัลแมร์ เป็น นครสีทอง เป็นต้น

Jaipur | ไจปูร์ ไทยตั้งชื่อให้ว่า ชัยปุระ ปูร์หรือปุระ ความหมายเดียวกับ บุรี ของไทย เมืองไจปูร์ได้ฉายาว่าเมืองสีชมพู | Pink City เพราะบ้านเรือนทาสีส้มอมชมพูสวยหวานไปทั้งเมือง ตามประวัติเล่าว่า สมัยที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ มหาราชาไสวรามซิงห์ที่ 2 (Sawai Ram Singh II) สั่งให้ทาสีอาคารบ้านเรือนในเมืองให้เป็นสีชมพูสดใสสวยงาม เพื่อต้อนรับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ที่เสด็จเยือนเมืองไจปูร์ จากนั้นก็คงความเป็นสีชมพูเรื่อยมาจนมีการออกกฏหมาย ให้บ้านเรือนในเขตเมืองเก่าทาสีชมพูเท่านั้น ก็เลบยังคงเป็นเมืองสีชมพูมาร้อยกว่าปี กลายเป็นเอกลักษณ์ของไจปูร์ไปแล้ว

เที่ยวเมืองไจปูร์ ถ้าให้ทั่วๆน่าจะต้องใช้ 2-3 วัน แต่ถ้ามีเวลาวันเดียวก็เลือกเที่ยวที่เด่นๆได้ 4-5 ที่ แนะนำให้เหมารถพาไปเที่ยวอันที่ไกลๆสักครึ่งวัน แล้วมาเที่ยวตรง City Palace อีกครึ่งวัน ที่เที่ยวหลักๆของไจปูร์อยู่ใกล้ๆกันเป็นกลุ่ม วางแผนเที่ยวให้ไปในทิศทางเดียวกันได้

กลุ่มที่ 1 ที่เที่ยวได้ใกล้ๆกันคือ City Palace / Jantar Mantar / Hawa Mahal และกลุ่มอาคารเก่าแก่สีส้มอมชมพู เดินเที่ยวได้ต่อเนื่องกันหมด

City Palace of Jaipur | พระราชวังหลวงแห่งไจปูร์ สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1797 สมัย มหาราชาสไวจัยซิงห์ ที่ 2 (Maharaja Sawai Man Singh II) แม้มหาราชาจะหมดอำนาจแล้ว แต่ City palace ก็ยังเป็นสมบัติส่วนพระองค์ ปัจจุบันก็ยังมีส่วนพื้นที่อยู่อาศัยส่วนตัว แต่ก็เปิดพื้นที่หลายส่วนให้เข้าชม เก็บค่าเข้าเป็นรายได้เข้าทรัพย์สินส่วนพระองค์ นอกจากค่าเข้าราคาปกติแล้ว ยังมีพื้นที่ส่วนพิเศษที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 3,500 รูปี เกือบ 2000 บาท เพื่อเข้าไปดูพื้นที่พิเศษ (รู่สึกว่าแพงจัง เลยไม่เข้า)

🎟 Fee : foreigner 700 INR / Royal splendor ticket 3,500 INR

Jantar Mantar จันตาร์มันตาร์ มีความหมายตรงๆว่า เครื่องมือเครื่องคำนวณ เป็นที่รวมของสิ่งก่อสร้างที่เอาไว้ใช้คำนวนวันเวลาต่างๆ สร้างโดย มหาราชาสไวจัยซิงห์ ที่ 2 (Maharaja Sawei Jai Singh II) ที่สนพระทัยในเรื่องดาราศาสตร์ ด้านในมีหอดูดาวขนาดใหญ่ มีนาฬิกาแดดที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังบอกเวลาได้แม่นยำ เคยใช้เป็นเครื่องมือในการคำนวณฤกษ์ยามในการออกรบ แล้วยังมีเครื่องคำนวณด้านดาราศาสตร์อีกหลายอย่าง จันตาร์มันตาร์จึงเป็นที่รวมสุดยอดความรู้ความสามารถในการคำนวณของคนเมื่อ 300 กว่าปีที่แล้ว ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2010

🎟 Fee : foreigner 200 INR

Hawa mahal มีความหมายว่า Palace of the wind พระราชวังแห่งสายลม ที่มหาราชาสไว ประธาป สิงห์ (Maharaja Sawai Pratap Singh) โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อให้นางสนมหลายร้อยคนอาศัยอยู่ อยู่ติดกับพระราชวังหลวง (City Palace of Jaipur) สร้างด้วยหินทรายสีแดงอมชมพูสวยงามสมชื่อ Pink City

อ่านเรื่อง > จุดถ่ายรูป Hawa mahal จากดาดฟ้าร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม

🎟 Fee : foreigner 200 INR

อาคารรอบเขตพระราชวัง ด้าน Tripolia gate เป็นอาคารเก่าแก่ ทาสีส้มอมชมพู เป็นร้านขายของกิน ของใช้ต่างๆ ตลอดแนว มีโถงทางเดินด้านหน้า กันแดดกันฝนให้ใช้เดินซื้อของได้เหมือนอาคารชิโนโปรตุกิสในบ้านเรา ถ้าเดินเลยไปถึงฝั่งตรงข้ามฮาวามาฮาลจะเน้นขายเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว

กลุ่มที่ 2 ต้องนั่งรถออกไปจากกลางเมือง แต่เที่ยวได้ไม่ไกลกัน Panna Meena Ka Kund / Shri Jagat Shiromani ji Temple / Amber Fort

การจะขึ้นไปที่ป้อมด้านบนมี 3 วิธี คือ นั่งช้าง นั่งจี๊ป หรือเดิน ถ้าจะนั่งช้างต้องมาช่วงเช้าเท่านั้น บ่ายช้างไม่เดิน มันร้อน ค่านั่งช้างประมาณ 1,000 รูปีต่อช้าง 1 เชือกนั่งได้ 2 คน ถ้านั่งจี๊บมีให้นั่งทั้งวัน ค่ารถประมาณ 300 รูปี นั่งได้ 4-6 คน ประหยัดสุดคือเดิน แต่ไกลและร้อนสุดๆเราเคยนั่งช้างเมื่อมาเที่ยวชัยปุระครั้งก่อน ก็ตรงขึ้นป้อมไปเลย คราวนี้ได้นั่งจี๊บ รถจะแวะเที่ยวบ่อน้ำ Panna Meena Ka Kund กับวัดฮินดู Shri Jagat Shiromani ji Temple ด้วย

นั่งรถจากในเมืองมาจอดถ่ายรูป Amber Fort กับทะเลสาบเมาตา (Maota) ตรงนี้ และเป็นจุดขึ้นจี๊บด้วย

Panna Meena Ka Kund บ่อน้ำโบราณ สร้างเพื่อไว้กักเก็บน้ำไว้ใช้และเอาไว้ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ สร้างบันไดรอบบ่อไว้สำหรับเดินลงไปตักน้ำได้ ไม่มีค่าเข้าชม แต่ห้ามเดินลงบันได (มีหลายรีวิวมาช่วงไม่มีคน จะมียามมากระซิบถามว่าอยากลงมั๊ย ให้ทิปไปเล็กน้อยสัก 100-200 รูปี ก็ลงไปได้นะ)

🎟 Fee : free

Shri Jagat Shiromani ji Temple วัดฮินดูเก่าแก่ ที่มีลวดลายสลักสวยงามมากๆ

🎟 Fee : free

Amber Fort ป้อมปราการนอกเมือง Jaipur อยู่บนเนินเขา สร้างโดยมหาราชา มาน ซิงห์ที่ 1 (Maharaja Man Singh I) เป็นพระราชวังดั้งเดิมก่อนจะย้ายเข้าไปอยู่ในเขตเมืองเก่า (City Palce ปัจจุบัน) Amber Fort มีแนวกำแพงยาว 13 กม.ด้านในมีแบ่งพื้นที่เป็นส่วนๆ ทั้งส่วนประทับของมหาราชา มหารานี มีส่วนรับแขกเมือง ส่วนท้องพระโรง ส่วนของมหาราชาก็จะประดับกระจกวิบวับสวยงามมากหน่อย ส่วนของมหารานีก็ตกแต่งน้อยกว่าไม่หรูหราเท่า แต่ละพื้นที่มีลานกว้าง มีสวนสวย เห็นลวดลายของฝ้าและผนัง แบบสถาปัตยกรรมสไตล์ราชปุต (Rajput) ผสมฮินดู

🎟 Fee : foreigner 500 INR

ยังมีป้อมปราการอีก 2 ป้อมที่สวยงามยามเย็น แต่เราไม่ได้ไปเพราะเหนื่อยมาก จากการเดินเที่ยวทั้งวัน เสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะว่ากันว่า เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยมาก

Jaigarh Fort คนไทยเรียกว่า ป้อมชัยคฤห์ เป็นป้อมปราการที่เชื่อมต่อกับ Amber Fort ด้วยทางลับใต้ดิน ด้านในมีที่ประทับของเชื้อพระวงศ์ต่างๆ มีปืนใหญ่น้ำหนัก 50 ตันที่สมัยนั้นได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก

🎟 Fee : foreigner 85 INR

รูปจาก : https://jaipurtourism.co.in

Nahargarh Fort ป้อมปราการขนาดเล็ก สร้างในสมัยของ มหาราชาไสวจัยซิงห์ที่ 2 (Maharaja Sawei Jai Singh II) เพื่อช่วยปกป้องเมืองชัยปุระปัจจุบัน อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเก่า ถ้าขึ้นไปด้านบนของ Hawa mahal มองไปด้านหลังจะเห็น Nahargarh Fort อยู่บนยอดเขา นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปชมแสงยามเย็นกับวิวเมืองสีชมพูของชัยปุระ

🎟 Fee : foreigner 200 INR

กลุ่มที่ 3 อยู่ในเมือง เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวชอบไปเที่ยว ไปถ่ายรูป แต่อยู่กระจัดกระจายกัน ไกลเกินกว่าจะเดินไปได้ ควรเรียกรถไป

Gatore Ki Chhatriyan เป็นสุสานที่สร้างโดยมหาราชาผู้เคยปกครอง Jaipur มีศาลายอดโดมสร้างจากหินอ่อนกับหินทรายอยู่หลายศาลา พื้นที่กว้างมาก มี 3 ส่วน เดินเข้าไปดูได้หมด ด้านข้างอยู่ชิดติดแนวกำแพงที่สร้างตามแนวสันเขา อารมณ์เหมือนกำแพงเมืองจีนเดินขึ้นไปเที่ยวได้

🎟 Fee : foreigner 30 INR

Jal mahal พระราชวังฤดูร้อนที่อยู่กลางทะเลสาบ Man Sagar Lake สร้างโดยมหาราชาสไวจัยซิงห์ที่ 2 (Maharaja Sawai Jai Singh II) ตัวอาคารใช้หินทรายสีส้มอมชมพูในการก่อสร้าง ไม่แน่ใจว่าด้านในได้รับการบูรณะให้เข้าไปได้หรือยัง แต่นักท่องเที่ยวส่วนมากก็แค่มาถ่ายรูปจากลานริมทะเลสาบ

Albert Hall เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะของเมือง Jaipur ถ้าไม่ได้เป็นคนชื่นชอบศิลปะ หรือไม่ได้สนใจใคร่รู้ความเป็นมาของชัยปุระก็ไม่ต้องเข้าไป แค่มาถ่ายรูปที่ลานด้านหน้าอาคารก็สวยแล้ว ถ้ามาช่วงเย็นๆ อากาศไม่ร้อน จะมีคนอินเดียมานั่งเล่น มาเดินเล่นเยอะแยะ คนเยอะนกก็เยอะด้วย ตากล้องชอบมาถ่ายรูป Albert hall กับฝูงนกพิราบในแสงยามเย็น

🎟 Fee : foreigner 150 INR

Patrika Gate ประตูเมืองลำดับที่ 9 ของ Jaipur อยู่ไกลจากตัวเมืองมาก ใกล้กับสนามบินนานาชาติ Jaipur นักท่องเที่ยวส่วนมากก็เลยแวะมาเที่ยวก่อนไปสนามบิน ประตูอยู่แถววงเวียน Jawahar มีโดม 9 โดม มีซุ้มประตู 7 ซุ้ม แต่ละซุ้มมีภาพวาด เล่าประวัติศาสตร์ของแคว้นราชสถาน สีสันสดใสถ่ายรูปสวยมาก ควรแวะอย่างยิ่ง

กำแพงเมืองชัยปุระ ยังเป็นทรัพย์สินของมหาราชา การซ่อมแซมปรับปรุงก็ทำโดยมหาราชา เพื่อให้เมืองดูสวยงามอยู่ตลอดเวลา


Jodhpur บางคนออกเสียงว่าจ๊อดปูร์ บางคนออกเสียงจู๊ดปูร์ คนไทยเลยตั้งชื่อให้เรียกง่ายๆว่า โยธะปุระ ได้ฉายาว่า เมืองสีฟ้า เพราะอาคารบ้านเรือนทาสีฟ้ากันหมด ที่มาที่ไปของสีฟ้ามีหลายเรื่องเล่า บ้างก็ว่าเพราะว่าชาวเมืองแต่ดั้งเดิมเป็นวรรณะพราห์ม ซึ่งชาวฮินดูเชื่อว่าสีฟ้าเป็นสีแห่งพระศิวะ จึงทาบ้านเรือนเป็นสีฟ้าเพื่อแสดงความเคารพ และใช้สีฟ้าบ่งบอกว่าชุมชนย่านนี้คือวรรณะพารห์ม แต่ก็มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อยู่ด้วยคือ จ๊อดปูร์เป็นเมืองในแถบทะเลทรายอากาศร้อนเป็นส่วนใหญ่ สีฟ้าเป็นสีเย็น จึงเหมาะแก่การใช้สีฟ้า แถมด้วยส่วนผสมของสีฟ้าคือ Copper sulfate ซึ่งช่วยกันแมลง กันปลวก ได้อีกด้วย ก็น่าจะหลายๆเหตุผลผสมผสานกันมาอย่างยาวนานนับร้อยปี และยังนิยมทาสีฟ้ากันอยู่จนถึงตอนนี้

Mehrangarh Fort เมื่อมาถึงจ๊อดปูร์ แทบทุกคนต้องไปเที่ยวป้อมปราการขนาดใหญ่บนเนินเขา ที่มีแนวกำแพงยาว 15 กม. สร้างขึ้นโดยมหาราชาราวจ๊อด (Maharaja Rao Jodha) ในปี 1459 ตอนที่รวบรวมแผ่นดินคืนได้จากพวกกบฏ จึงมาสร้างวังในป้อมปราการบนยอดเขาเพื่อความมั่นคงปลอดภัย ปัจจุบันเปิดให้เข้าไปเที่ยวชมได้

🎟 Fee : foreigner 600 INR / Camera 100 INR

การจะได้เห็นเมืองสีฟ้าจริงๆ ต้องเข้าไปเดินเที่ยว Old Town Jodhpur เดินคุยกับผู้คน โดยเฉพาะเด็กๆที่จะวิ่งตามพวกเราไปตามซอกซอย

พวกเรามีเวลาน้อยไปหน่อย เลยได้เที่ยวจ๊อดปูร์นิดเดียว ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ก็ยังมีที่น่าไปเที่ยวชมอีก เช่น

Jaswant thada เป็นหลุมฝังพระศพและอนุสาวรีย์ของมหาราชา จัสวัน ซิงห์ที่ 2 (Maharaja Jaswant Singh II) สร้างด้วยหินอ่อนจากแหล่งเดียวกับที่สร้างทัชมาฮาล

Umaid Bhawan Palace เป็นพระราชวังสร้างใหม่โดย มหาราชาอุเมด ซิงห์ (Maharaja Umaid Singh) ก่อนที่มหาราชาจะหมดอำนาจหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ ออกแบบโดยสถาปนิกอังกฤษ สร้างด้วยหินทรายสีเนื้อ อยู่บนเนินเขา ปัจจุบันก็เป็นที่พำนักของเชื้อสายมหาราชาแห่งจ๊อดห์ปูร์ แบ่งบางส่วนทำเป็นโรงแรมห้าดาว


Udaipur | อุไดปูร์ คนไทยตั้งชื่อให้ว่า อุทัยปุระ เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในแคว้นราชาสถาน หลายคนเรียกว่า เมืองสีขาว | White city of Rajasthan เพราะบ้านเรือนมีสีขาวนวลตา อีกฉายาที่ได้รับคือ เมืองแห่งทะเลสาบ | City of Lake เพราะมี Lake Pichola ทะเลสาบใหญ่อยู่กลางเมือง ที่หลายๆคนบอกว่ามันสวย มันโรแมนติค จนได้อีกฉายาว่า เมืองที่สุดแสนโรแมนติคในราชาสถาน แต่บางคนก็เปรียบเทียบอุทัยปุระว่าเป็นเวนิชอินเดียกันเลย หลายชื่อ หลายฉายา เหลือเกิน

Mansapurna Karni Mata Ropeway จะได้เห็น Udaipur ในมุมมองสวยๆ ต้องขึ้นกระเช้าไปบนเขา มาช่วงเช้าก็สวย มาช่วงบ่ายก็ยิ่งสวย จากจุดชมวิว เดินเข้าไปมีวัดด้วย

🎟 Fee : Ropeway (RT) 150 INR

Lake Pichola ทะเลสาบใหญ่กลางเมืองอุไดปูร์ ที่เป็นจุดท่องเที่ยวหลักของเมือง จะขึ้นเขาชมวิวก็วิวทะเลสาบพิโชล่า จะเดินเที่ยวก็เดินรอบๆทะเลสาบ หรือจะเดินเล่นข้ามสะพานไปฝั่งโน้นฝั่งนี้ก็ข้ามทะเลสาบ City Palace of Udaipur ก็อยู่ริมทะเลสาบเช่นกัน ผู้คนชอบมานั่งเรือล่องทะเลสาบ นั่งชมวิวรับลมเพลินๆ ถ้ามาช่วงเย็นราคาเรือจะแพงกว่า เป็นราคานั่งเรือชมพระอาทิตย์ตก

🎟 Fee : Cruise (RT) 500 INR

Jag Niwas พระราชวังฤดูร้อนกลางทะลสาบพิโชล่า สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวสวยเด่น ได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นโรงแรม Taj Lake Palace หรูหรา 5 ดาว ราคาเริ่มต้นหลักหมื่นบาท โด่งดังขึ้นไปอีกเมื่อเป็นฉากในภาพยนต์ James Bond ตอน Octopussy (ปี 1983 โรเจอร์ มัวร์ยังหนุ่มๆอยู่เลย) เพราะความสวยงามและบรรยากาศโรแมนติคสุดๆ จึงเป็นที่ยอดนิยมมาฮันนีมูนทั้งเศรษฐีอินเดียและเศรษฐีต่างชาติ ดาราคนดังก็เคยมาพักหลายคน อย่าง มาดอนน่า นิโคล คิดแมน

Jagmandir เกาะกลางทะเลสาบ ที่มีวัด มีโรงแรมหรู มีร้านอาหาร ถึงไม่ได้พักก็ขึ้นไปเที่ยวเล่นถ่ายรูปได้ ไปนั่งจิบกาแฟ จิบชา หรือทานอาหารก็ได้

City Palace of Udaipur / Fateh Prakash Palace พระราชวังแห่งอุไดปูร์ สร้างอยู่ริมทะเลสาบพิโชลา สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นพระราชวังที่ใหญ่โตที่สุดในราชาสถาน สวยงามทั้งด้านนอกด้านใน มีแยกส่วนที่เป็นเขตที่พักอาศัยของเชื้อสายมหาราชา ที่ยังอาศัยอยู่ และมีส่วนที่ปรับปลี่ยนเป็นโรงแรมหรูริมน้ำด้วย

🎟 Fee : foreigner 300 INR

อุไดปูร์ เมืองที่ย่านเมืองเก่าสุดแสนสวยงามโรแมนติค ย่านเมืองใหม่ก็วุ่นวายเหมือนทุกเมืองในอินเดีย


Jaisalmer อ่านว่าจัยซัลแมร์ หรือ จัยซัลเมียร์ เสียงมันควบกล้ำฟังไพเราะเสนาะหูดี เมืองนี้ไม่มีใครตั้งชื่อไทยให้ เมืองอยู่ไกลไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้น ห่างจากชายแดนปากีสถานแค่ 50 กม. เป็นเมืองทะเลทราย และมีฉายาว่า เมืองสีทอง | Golden city เพราะบ้านเรือนทำจากหินทรายสีเหลืองทอง สวยงามทั้งเมือง

Jaisalmer Fort ป้อมปราการจัยซัลแมร์ ทุกเมืองในราชาสถานจะมีป้อมปราการที่มหาราชา มหารานา สร้างไว้ ปัจจุบันก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปหมดแล้ว แต่ที่จัยซัลแมร์นี่แปลกแตกต่างจากป้อมปราการเมืองอื่นๆ ตรงที่เป็นป้อมที่ยังมีชีวิต คือเดินผ่านประตูเมืองเข้าป้อมไปไม่ต้องเสียเงินเลย เพราะว่าภายในป้อมมีคนอยู่อาศัย เป็นบ้าน เป็นร้านค้า ร้านอาหาร เป็นที่พัก เป็นวัด เหมือนหมู่บ้านในป้อมปราการ ส่วนที่ต้องจ่ายเงินเข้าไปเยี่ยมชมก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ หรือวัด ถ้าไม่เข้าเลยก็ไม่เสียเงินเลย เข้าไปเดินเล่นดูผู้คนได้ทั้งวันทั้งคืน ถ้าจะเสียเงินก็เป็นค่าอาหารเครื่องดื่มตามร้านอาหารที่มีจุดชมวิวสวยๆ มีหลายร้านมากๆ | อ่านเรื่องร้านอาหารในราชาสถาน |

Jaisalmer Fort เมื่อมองจากดาดฟ้าฮาเวลีด้านนอก

Jaisalmer Fort Museum พิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของมหาราชา บอกเล่าประวัติความเป็นมาต่างๆ เดินลัดเลาะเข้าไปในอาคารที่เคยเป็นส่วนพระราชวัง ขึ้นถึงชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้า ชมวิวได้ด้วย พื้นที่ไม่ได้ใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับราคารู้สึกว่าแต่ราคาแพงไปหน่อย

🎟 Fee : foreigner 600 INR (include audio guide)

Jain Temple วัดเชนในเขตป้อมจัยซัลแมร์ สวยงามตามมาตรวัดเชน สลักเสลาวิจิตรตระการตา ขนาดยืนดูแค่ด้านนอกนะ ขี้เกียจเข้าด้านใน แต่เลือกที่จะขึ้นไปร้านอาหารฝั่งตรงข้ามตามป้ายที่บอกว่า Temple view เพราะมาตรงมื้ออาหารพอดี กินไปชมวิวไป ฟังเสียงสวดไป ก็เพลินดี

🎟 Fee : foreigner 300 INR

Baa-ri Haveli คำว่า Haveli แปลง่ายๆคือคฤหาสน์ คือบ้านของเศรษฐีในยุคเก่าก่อน ภายหลังเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป มหาราชาหมดอำนาจ เศรษฐีต่างๆที่มักจะเป็นชนชั้นสูง วรรณะพราห์ม ก็พลอยหมดอำนาจไปด้วย คฤหาสถ์หลายหลังก็ต้องเปิดให้เข้าเยี่ยมชม เก็บเงินค่าเข้าเป็นค่าดูแลรักษาบ้านไปในตัว Baa-ri Haveli อายุมากกว่า 400 ปี อยู่ในเขตป้อม ใกล้กับวัดเชน

🎟 Fee : foreigner 50 INR

Salim Singh Ki Haveli คฤหาสถ์อีกหลังใน Jaisalmer อยู่ด้านนอกป้อม สวยงามใหญ่โต มีการสร้างทับซ้อนคฤหาสถ์เดิมที่อายุ 300 ปี เจ้าของคือ Salim Singh Mahto เคยเป็นนายกรัฐมนตรีในยุคที่จัยซัลแมร์เป็นเมืองหลวงของแคว้น เล่ากันว่าเคยมีการต่อเติมฮาเวลีขึ้นไปอีก 2 ชั้นเพื่อให้สูงขึ้นไปทัดเทียมกับมหาราชา แต่โดนสั่งรื้อออก ปัจจุบันยังเป็นทรัพย์สินของตระกูล ด้านนอกสวยดีแต่ไม่ได้เข้าด้านใน (อ่านรีวิวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติบอกว่าดูข้างนอกก็พอ ข้างในไม่มีอะไรน่าสนใจ)

🎟 Fee : foreigner 15 INR / Camera 50 INR

Nathmal Ki Haveli คฤหาสถ์ขนาด 5 ชั้นของ Diwan Mohata Nathmal ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากท่าน Salim Singh แต่ท่าน Nathmal ได้โดนลอบยิงเสียชวิตก่อนที่คฤหาสถ์จะสร้างเสร็จสมบูรณ์ คฤหาสถ์นี้ไม่มีเก็บค่าเข้า แต่เข้าไปได้แค่ลานเล็กๆด้านในเท่านั้น เพราะส่วนอื่นยังเป็นที่พักอาศัยของคนในตระกูล ไม่อนุญาตให้เข้า

Patwon Ki Haveli คฤหาสถ์หลังใหญ่ของ Guman Chand Patwa พ่อค้ามหาเศรษฐีเมื่อ 300 กว่าปีที่แล้ว ใช้เวลาสร้างมากกว่า 50 ปี ได้ชื่อว่าเป็น Haveli แห่งแรกใน Jaisalmer และเป็น Haveli ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง หรูหราที่สุดด้วย มีระเบียงยื่นมากกว่า 60 ระเบียง สลักหินทรายเป็นลวดลายละเอียด ที่นี่น่าจะดังที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยวด้วย เพราะผู้คนเยอะมาก เราเลยเลือกขึ้นไปนั่งจิบชากาแฟบนดาดฟ้าของร้านที่อยู่ใกล้ๆ นั่งชมวิว Patwon Ki Haveli มุมสูงแทนการเข้าไปเบียดผู้คนด้านใน

🎟 Fee : foreigner 250 INR / Camera 50 INR

Gadisar Lake ทะเลสาบที่เป็นแหล่งน้ำสำคัญของเมืองทะเลทราย รอบๆทะเลสาบมีศาลาให้มานั่งเล่น มีสวน มีวัดเล็กๆน้อยๆหลายวัด มีเรือให้เช่านั่งเล่นในทะเลสาบด้วย

เดินตามตรอกซอยซอยในเมืองจัยซัลแมร์ สวยงามตามชื่อเมืองสีทอง เพราะทุกบ้านสร้างด้วยหินทรายสีเหลืองทองหมด ถ่ายรูปเล่นได้ไม่เบื่อเลย

Thar desert เมืองจัยซัลแมร์เป็นเมืองที่อยู่กลางทะเลทรายธาร์ นอกจากเที่ยวในเมืองแล้ว นักท่องเที่ยวก็ชอบที่จะออกไปเที่ยวทะเลทราย มีทั้งไปแบบดูพระอาทิตย์ตกในทะเลทรายด้วยการขี่อูฐ หรือนั่งจี๊ปเข้าไป บางคนก็ออกไปนอน Desert camp ในทะเลทราย จากในตัวเมืองต้องนั่งรถออกไปประมาณ 45 นาที ค่ารถมาตรฐานประมาณ 2,000 รูปี แต่ละที่พักหรือตัวแทนท่องเที่ยว ก็จะมีจุดไปขึ้นอูฐหรือขึ้นจี๊ป แตกต่างกันไป แต่จุดหมายเดียวกันคือไปชมทะเลทรายยามเย็น ถ้าไปนอนแถวทะเลทรายก็จะได้แสงเช้าด้วย (ที่พัก Desert camp มีจุดต้องพิจารณาเล็กน้อย ไปอ่านเรื่อง เที่ยวทะเลทรายในจัยซัลแมร์)

Sam Sand Dune จุดชมทะเลทรายยอดนิยมของเมืองจัยซัลแมร์ มีที่พักแบบ Desert camp หลายที่ ทะเลทรายอยู่ติดริมถนนสาย 53 เลย มีต้นไม้เขียวเยอะไปหน่อย ใครอยากถ่ายรูปเนินทรายเวิ้งว้าง ก็ต้องหมุนหามุมกันหน่อย มุมพระอาทิตย์ตกก็จะเห็น Desert camp สีขาวเต็มไปหมด แถบนี้เป็นที่นิยมของคนอินเดียออกมาขี่อูฐกัน จะเดินจากริมถนนขึ้นเนินมาก็พอได้ หรือจะหาอูฐนั่งขึ้นเนินมาก็มีนอนรอริมถนนเยอะแยะ แต่ถ้าจะให้เห็นเนินทรายสวยๆ ต้องนั่งอูฐเข้าไปลึกๆหน่อย แต่คนจูงอูฐมักจะพาขึ้นมาบนเนินแล้วให้ลงแค่ตรงนั้น

Sand Dune on road no. 11 จุดชมทะเลทรายอีกจุดที่เราได้ไปนั่งจี๊บลุยทะเลทราย แถบนี้จะไม่คึกคักคนเยอะเหมือนแถบ Sam sand dune แต่เนินทรายแถบนี้สวยกว่ามาก ไม่มีสิ่งก่อสร้างให้เห็น พนักงานโรงแรมที่แนะนำบอกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติชอบมาแถบนี้มากกว่า เพราะสวย สงบ คนไม่มาก นอกจากมาขี่อูฐหรือนั่งจี๊บแล้ว บางคนก็มานอน Desert camp บางคนก็มานอนกลางทะเลทราย แบบปูผ้านอนบนทราย ไม่มีเต้นท์ใดๆ ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ แต่น่าจะสวยงามยามตื่นมาเห็นแสงทองตอนเช้า


Ranakpur | รานัคปูร์ เมืองเล็กๆแต่เก่าแก่ อยู่กึ่งกลางระหว่าง Udaipur – Jodhpur ในหุบเขาฝั่งตะวันตกของเทือกเขา Aravalli มีจุดที่นักท่องเที่ยวชอบแวะไปเที่ยวชมคือ Ranakpur Jain Temple วัดนิกายเชนขนาดใหญ่ สวยงาม ที่ตอนสร้างต้องใช้คนงานมากมาย จนต้องตั้งเมืองขึ้นมาให้คนงานอยู่ เมืองจึงชื่อรานัคปูร์ ตามชื่อของผู้ปกครองเมือง Rana Kumbha ที่เป็นคนอุปถัมภ์ในการสร้างวัดนี้ด้วย

Ranakpur Jain Temple (Chaturmukha Dharanavihara) 1 ใน 5 วัดศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเชนในอินเดีย สร้างโดยคหบดี Dharna Sah เมื่อ 500 ปีก่อน ด้วยหินอ่อนทั้งหลัง มีโดม 80 โดม สวยงามสุดๆด้วยเสาแกะสลักพันกว่าต้น ลวดลายสลักแต่ละเสาละเอียดสวยงามไม่ซ้ำกัน คิดเป็นพื้นที่แกะสลักกว่า 3,000 ตารางเมตร

🎟 Fee : foreigner 200 INR / Camera 100 INR

การเข้าไปในศาสนสถานก็ตามมารยาทคือไม่นุ่งสั้น ไม่ใส่เสื้อโป๊ คอลึกหรือสายเดี่ยว และที่นี่ผู้หญิงต้องมีผ้าคลุมผม ถ้าไม่ได้เอามาด้านหน้ามีผ้าให้ยืม ด้านในให้ถ่ายรูปได้ แต่ต้องเสียค่ากล้อง 200 รูปี (มือถือก็ต้องเสียเงิน) ถ้าไม่ถ่ายรูปให้ฝากของไว้ที่ล็อคเกอร์ด้านนอก ถ่ายรูปทั่วไปได้ แต่ห้ามโพสต์ท่าถ่ายรูป คือแบบว่า เจอเสาสวยจะไปยืนพิงเสาถ่ายรูปไม่ได้ ประตูสวยจะไปนั่งถ่ายรูปไม่ได้ คือถ่ายทั่วๆไปได้ อย่าไปยืนถ่ายรูปหมู่ถ่ายรูปเดี่ยว เจ้าหน้าที่เยอะมาก คอยเป่านกหวีดเตือนตลอด

งานสลักมีแทบทุกพื้นที่ ทั้งเสา ทั้งประตู ทั้งบนเพดาน แล้วยังมีรูปสลักต่างๆอีกทุกห้องโถง

บริเวณกลางวิหารมีส่วนที่กั้นไว้ไม่ให้คนทั่วไปขึ้น อนุญาตเฉพาะคนนับถือศาสนาเชนให้ขึ้นไปสักการะคุรุ ศาสดาของของเชน ถ้าจะถ่ายรูปก็ห้ามยืนถ่ายเข้าไปตรงๆ ให้ยืนถ่ายเอียงๆแบบนี้ได้


Pushkar | พุชการ์ เมืองโบราณ 2000 ปี ที่มีทะเลสาบพุชการ์อันศักดิ์สิทธิ์ ช่วงปลายเดือนตุลาคมมี Pushkar fair กับเทศกาลอูฐ ที่อูฐหลายพันตัวจากทั่วอินเดียจะเดินทางมารวมตัวกัน เป็นตลาดค้าอูฐที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย นักท่องเที่ยว/ตากล้องทั่วโลกจึงนิยมไปเที่ยวถ่ายรูปกันในช่วงนี้

พวกเราตั้งใจไปเที่ยวเทศกาลอูฐกันมาก แต่ดวงกุดสุดๆ เพราะมีข่าวว่าเกิดโรคระบาดในสัตว์ ทำให้ปีนี้ไม่มีการรวมตัวของพี่น้องอูฐ จะพอมีให้เห็นก็เป็นอูฐท่องเที่ยว ที่คอยมาเดินเชิญชวนให้นั่งอูฐเที่ยว

พลาดเทศกาลอูฐ พวกเราก็เลยได้แต่เดินเที่ยว Pushkar Fair ที่เหมือนตลาดนัดขนาดใหญ่ ขายทั้งของกินของใช้ ถ้าคนชอบช้อปปิ้งคงเพลิดเพลินเพราะของเยอะและถูกมาก

Sand Art Festival อยู่ด้านหน้าของ Pushkar Fair

Jagtapita Brahma Mandir เดินฝ่าตลาดนัดเพื่อจะไปทะเลสาบพุชการ์ จะผ่านวัดฮินดูอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องถอดรองเท้าและฝากของทุกอย่างไว้ด้านนอก (มีร้านค้าที่มีตู้รับฝากของ) เดินขึ้นไปเพื่อนมัสการพระพรหมที่ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก 1 ใน 5 ของอินเดีย

ระหว่างทางเดินในตลาดนัดจะเจอ คนอินเดียกับการแต่งกายแปลกตาเยอะแยะ หลายคนมาเพื่อขอเงิน ถ้าใครยกกล้องถ่ายรูปจะโดนเรียกขอเงินทันที ถ้าอยากได้รูปก็ต้องจ่ายเงินให้ไปนิดๆหน่อยๆ

ทะเลสาบพุชการ์ เป็นที่ชาวฮินดูนิยมมาเพื่ออาบน้ำ ทำพิธีล้างบาปที่ท่าน้ำรอบๆทะเลสาบ (แบบเดียวกับที่แม่น้ำคงคา) เพราะมีความเชื่อว่าเป็นทะเลสาบของเทพเจ้า บางความเชื่อบอกว่าทะเลสาบพุชการ์เกิดมาเพื่อรองรับดอกบัวที่พระพรหมทิ้งลงมาบนพื้นโลก บางความเชื่อก็ว่าน้ำในทะเลสาบนี้คือน้ำตาของพระศิวะ เมื่อเสียภรรยาคนแรกคือพระนางสตีไป

ไม่มีเทศกาลอูฐแต่ก็ได้เจออูฐตามข้างทาง


ยังมีอีกหลายเมืองในราชาสถานที่น่าไปเที่ยว อย่างเช่น Bikaner | บิคาเนอร์ หรือ Ajmer | อัชเมียร์ หรือไปเที่ยวธรรมชาติเข้าป่าดูเสือเบงกอลที่ Ranthambhore ก็น่าสนุก แต่ละเมืองมีเสน่ห์ไม่เหมือนกันควรเที่ยวอย่างน้อย 1 วันเต็มๆและนอน 1 คืน แล้วย้ายเที่ยวเมืองต่อไป นักท่องเที่ยวนิยมเช่าเหมารถพร้อมคนขับพาเที่ยวไปเรื่อยๆ

เลห์-ลาดัคห์…ยากนักที่จะลืม (ตอนจบ)

Trip June 2010 : Leh, Ladakh – India

3. ไต่ฟ้าคว้าหิมะที่แปงกองเลค

วันนี้เดินทางไกล ข้ามเขาหลายลูกเพื่อไปชม ทะเลสาบแปงกอง (Pangong Lake) รายการวันนี้มีเรื่องพิเศษนิดหน่อยที่ควรเล่าให้เป็นกรณีตัวอย่าง คือ คนที่ถือพาสปอร์ตข้าราชการสามารถเข้าอินเดียโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ แต่การเดินทางไปที่บริเวณทะเลสาปแปงกองนี้ ต้องทำเรื่องขอนุญาตทางการเพิ่มต่างหาก โดยเขาจะตรวจดู tourist visa ถ้าไม่มีไม่สามารถเข้าพื้นที่นั้นได้ สอบถามได้ความว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง เพราะบริเวณนั้นใกล้ชายแดนปากีสถาน – จีน – และเนปาล การตรวจตราเข้มงวดมาก นักท่องเที่ยวซึ่งมี tourist visa เท่านั้นที่ผ่านเข้าได้ ถ้าข้าราชการที่ไม่มีวีซ่าต้องทำเรื่องขออนุญาตเข้าพท.เป็นการล่วงหน้า ซึ่งใช้เวลานาน ขอวีซ่าท่องเที่ยวมาง่ายกว่า เหตุการณ์นี้มาเกิดกับพี่ผู้หญิงคนหนึ่งในกรุ๊ป พยายามต่อรองกับทางการอินเดียกันจนหมดปัญญา คุณหนึ่งจึงแก้ไขโดยการจัดรถแยก 1 คันพร้อมไกด์ให้พี่เขาไปทะเลสาปอื่นที่คล้ายคลึงกัน สรุปว่าให้พี่เขาไปทะเลสาปชื่อ Tsokar ต้องนั่งรถข้ามเขาผ่านจุดสูงๆคล้ายกับเส้นทางที่เราจะไปทะเลสาปแปงกองแหละ เพราะทางที่เราจะไปวันนี้จะผ่านจุดที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลกเลยด้วยคือ Changla pass ซึ่งสูง 5,360 ม.จากระดับน้ำทะเล

Continue reading “เลห์-ลาดัคห์…ยากนักที่จะลืม (ตอนจบ)”

เลห์-ลาดัคห์…ยากนักที่จะลืม (ตอนแรก)

Trip June 2010 : Leh, Ladakh – India

เพิ่งไปธิเบตมาเมื่อช่วงสงกรานต์ ~ไม่ประทับใจเท่าไหร่ พอเดือนมิถุนายนมี email จาก gotogether เจ้าเก่าส่งมาเชิญชวนไปเที่ยว “ธิเบตน้อย เลห์-ลาดัคห์ leh–Ladakh” พิจารณาแล้วราคาดูดี คุณแฟนท่านเลยอยากไป ประกอบกับน้องอ้อเซลล์เสียงหวานโทรตามหลัง email มาเชิญชวนซ้ำเข้าไปอีก คิดไปคิดมา เออ…ไปก็ได้วะ

โปรโมชั่นคราวนี้จัดกับ Kingfisher สายการบินใหญ่ของอินเดีย (จากที่อ่านจากเวปต่างๆว่าใหญ่น่ะ) ใช้เวลาเที่ยวรวมเดินทางประมาณ 7 วัน อากาศช่วงนี้กำลังดี ถือเป็นช่วงเริ่มไฮซีซั่นของแถบนั้น

มาทำความรู้็จักกันสักนิดก่อน เลห์ (Leh) คือเมืองหลักหรือเมืองหลวงของแคว้นลาดัคห์ (Ladakh Region) โดยที่แคว้นลาดัคห์คือ 1 ใน 3 แคว้นของ รัฐจัมปู-แคชเมียร์ (Jampu-Kashmir State) อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดียใกล้เขตชายแดนปากีสถานและธิเบต งงมั๊ย…เอาง่ายๆคือ อินเดียมี 28 รัฐ หนึ่งในนั้นคือ รัฐจัมปู-แคชเมียร์ ซึ่งรัฐจัมปู-แคชเมียร์นี้แบ่งเป็น 3 แคว้นคือ แคว้นจัมปู, แคว้นแคชเมียร์ และแคว้นลาดัคห์ สรุปอีกทีว่า เลห์เป็นซับเซ็ตของลาดัคห์ ลาดัคห์เป็นซับเซ็ตของจัมปู-แคชเมียร์ และจัมปู-แคชเมียร์เป็นซับเซ็ตของอินเดีย….เฮ้อ….

Continue reading “เลห์-ลาดัคห์…ยากนักที่จะลืม (ตอนแรก)”

Impression India…..ทริปขัดตาทัพ

Trip Feb.2009 : India [Golden triangle : Delhi-Agra-Jaipur]

“ไปอินเดียกันมั๊ย”
 
“เออ..ไปดิ ไหนๆก็มีวีซ่าแล้ว”
 
ง่ายๆอย่างนี้แหละ สำหรับการเริ่มต้นทริปอินเดียคราวนี้
ทริปอินเดียสั้นๆ 4 วันครั้งนี้ เราเรียกมันในหลายชื่อ เช่น ทริปเฉพาะกิจ ทริปแก้ขัด ทริปแก้คัน ทริปแก้เขิน ทริปทำลายวีซ่า เป็นต้น ที่มีชื่อทริปแปลกๆก็เพราะเป็นทริปที่เกิดขึ้นมาหลังจากการล้มไม่เป็นท่าของทริปตะลุยราชาสถาน เมื่อคราวสุวรรณภูมิโดนยึด การเมืองเป็นเรื่องเหนือเหตุและผล และไม่มีคำอธิบาย เลยไม่อยากพูดถึง….ทุกครั้งที่เปิด passport แล้วเห็นวีซ่าอินเดียอันขาวสะอาดแล้ว พาลให้หงุดหงิดซะเหลือเกิน พอ gotogether travel เจ้าเก่าที่เราใช้บริการในคราวไปอียิปต์มี email มาเชิญชวนไปอินเดียทริปสั้นๆ 4 วัน ช่วงวันหยุด ความคิดเรื่องทำลายวีซ่าก็เลยเกิดขึ้น…
 

Continue reading “Impression India…..ทริปขัดตาทัพ”

Trip Feb.2009 : India [Golden triangle : Delhi-Agra-Jaipur]

“ไปอินเดียกันมั๊ย”
 
“เออ..ไปดิ ไหนๆก็มีวีซ่าแล้ว”
 
ง่ายๆอย่างนี้แหละ สำหรับการเริ่มต้นทริปอินเดียคราวนี้
ทริปอินเดียสั้นๆ 4 วันครั้งนี้ เราเรียกมันในหลายชื่อ เช่น ทริปเฉพาะกิจ ทริปแก้ขัด ทริปแก้คัน ทริปแก้เขิน ทริปทำลายวีซ่า เป็นต้น ที่มีชื่อทริปแปลกๆก็เพราะเป็นทริปที่เกิดขึ้นมาหลังจากการล้มไม่เป็นท่าของทริปตะลุยราชาสถาน เมื่อคราวสุวรรณภูมิโดนยึด การเมืองเป็นเรื่องเหนือเหตุและผล และไม่มีคำอธิบาย เลยไม่อยากพูดถึง….ทุกครั้งที่เปิด passport แล้วเห็นวีซ่าอินเดียอันขาวสะอาดแล้ว พาลให้หงุดหงิดซะเหลือเกิน พอ gotogether travel เจ้าเก่าที่เราใช้บริการในคราวไปอียิปต์มี email มาเชิญชวนไปอินเดียทริปสั้นๆ 4 วัน ช่วงวันหยุด ความคิดเรื่องทำลายวีซ่าก็เลยเกิดขึ้น…
 

Continue reading “Impression India…..ทริปขัดตาทัพ”

Website Built with WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: