Trip: Northern Part of Vietnam : Mar. 2007
Hanoi : Day-1
Sapa | Cat Cat Village : Day-2
Sapa | Lao Chai, Ta Van : Day-3
Halong Bay : Day-4
Hoa Lu – Tamcoc : Day-5
Hanoi : Day-6

ไปเวียดนามครั้งแรกก็จะงงๆหน่อย แม้จะหาข้อมูลกันไปอย่างมากมาย และถูกบรรจุข้อมูลไปเต็มสมองว่า ระวังโดนโกง ระวังโดนโกง และระวังโดนโกง ก็ไม่วายจะโดนไปบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่ก็พอให้มีรสชาติในการเดินทาง
แผนการเที่ยวเวียดนามครั้งแรกของพวกเรา 5 คน เป้าหมายจริงๆคือขึ้นไปเหนือสุดของเวียดนามที่ซาปา เมืองในหุบเขา อากาศเย็นสบาย บรรยากาศสวยงาม เคยเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมสมัยยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ทริปเริ่มต้นกันที่ ฮานอย อันเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามเหนือก่อนมีการรวมประเทศในปี พศ. 2518 และยังคงเป็นเมืองหลวงของประเทศหลังรวมประเทศแล้ว จากเมืองไทยไปเวียดนามมีสายการบินที่บินตรงหลายสายการบิน เลือกใช้บริการตามงบประมาณ จากกรุงเทพไปถึงฮานอยใช้เวลา 2 ชั่วโมง นั่งแค่เพลินๆก็ถึงแล้ว
Hanoi : Day-1

จากสนามบินเพวกเรามีรถจากบริษัท indoviet travel มารับ ที่เราติดต่อมาล่วงหน้าให้จองตั๋วรถไฟไป-กลับซาปา รวมกับทัวร์เที่ยวซาปา 2 วัน รถพาไปที่สำนักงานบริเวณฟามงูหลาว ( Pham Ngu Lao ) บริเวณที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวหลายชาติหลายภาษา อารมณ์เหมือนตรอกข้าวสารบ้านเรา มาถึงต้องตรวจสอบโปรแกรมกับบริษัทอีกรอบว่าตรงกับที่คุยกันทาง email หรือไม่
ฝากของไว้ที่บริษัทเรียบร้อย ออกเดินเที่ยวเล่นกันเลย เริ่มต้นที่อาหารเช้าก่อน ง่ายสุดคือเฝอ เดินเจอร้านต้มซุปกลิ่นหอมหวลชวนน้ำลายไหลเลยจัดการกันซะคอแห้งเลย เพราะเจ้แกใส่ผงชูรสเป็นช้อน ห้ามก็ไม่ทัน



เดินต่อเรื่อยๆมาถึงถนนสายหลักที่วิ่งวนรอบทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem) หรือ ทะเลสาบคืนดาบ มีตำนานเล่าว่าทะเลสาบนี้มีเต่ายักษ์คาบดาบมาให้กษัตริย์เอาไปรบจนชนะ รบชนะแล้วก็เอาดาบมาคืน เต่าก็ขึ้นมาคาบดาบกลับลงไป มีสัญลักษณ์เป็นหอคอยสีขาวเด่นเป็นสง่าในทะเลสาบ เรียกว่า หอคอยเต่า (Thap Rua)

เดินวนซ้ายเลียบริมทะเลสาบไม่ไกลจะเห็นสะพานสีแดง หรือชื่อทางการว่าสะพานเทฮุกที่แปลว่าพระอาทิตย์ เดินข้ามเพื่อไปวัดหง็อกเซิน (Ngoc Son Temple) เข้าไปไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อน ในบริเวณวัดที่เต่าตัวใหญ่สต๊าฟไว้ด้วย คนเวียดนามเชื่อกันว่าเป็นเต่าศักดิ์สิทธิ์ในทะเลสาบนั่นเอง




ทางเดินรอบๆทะเลสาบร่มรื่นด้วยต้นไม่ใหญ่ มีคนมาเดินเล่นกันเยอะแยะทั้งคนเวียดนามและนักท่องเที่ยว ยิ่งเย็นคนยิ่งเยอะ หนุ่มสาวก็มานั่งจู๋จี๋กัน คนแก่ก็มานั่งคุยกัน คนมาวิ่งออกกำลังกายก็มี ถ้ามีเวลาก็เดินเล่นสักรอบ





ได้เวลากลับไปที่บริษัท มีรถพาไปส่งที่สถานีรถไฟ คืนนี้นอนบนรถไฟเป็นตู้นอน ห้องละ 4 คน ที่เตียงบนเตียงล่าง รถไฟเวียดนามไม่ใหม่แต่ก็ไม่เก่า ถือว่าใช้ได้ทีเดียว


Sapa : Day-2

นอนหลับๆตื่นๆบนรถไฟ เช้ามืดก็มาถึงสถานีเลาไค (Lao Cai) นักท่องเที่ยวลงกันค่อนขบวน พวกเรายังคงมีคนมารับ เพื่อพานั่งรถต่อไปที่ซาปา รถตู้ 10 ที่นั่ง โดนจับเบียดจนแน่นรวมกับนักท่องเที่ยวอื่น นั่งเหวี่ยงไปมาข้ามเขา โค้งแล้วโค้งเล่า ในที่สุดก็มาถึงซาปา เมืองบนเขาสูง อากาศดีมีหมอกปกคลุม

ที่พักที่จัดไว้ให้ สวยงามพอใช้ได้ สวนด้านหลังมองเห็นวิวนาขั้นบันได ที่ตอนนี้มีแต่ดินแห้งๆ เพราะไม่ใด้เป็นฤดูปลูกข้าว แต่ก็ยังถือว่าสวย เพราะมีพื้นที่กว้างใหญ่ แถมด้วยฉากหลังเป็นยอดเขาฟาซีปานอันโด่งดัง ที่หลายคนมาปีนขึ้นยอดเขากัน

เอาของเก็บที่พัก แล้วหาอะไรลงท้องกันก่อน วันนี้เรามีแผนจะไปเดินเที่ยวหมุ่บ้านกัตกัต (Cat Cat Village) เป็นการวอร์มเครื่อง วันนี้มีไกด์เป็นสาวชนเผ่า พาพวกเราเดินลัดเลาะทุ่งนาขั้นบันไดลงไปในหมู่บ้านกลางหุบเขาด้านล่าง
Bản Cát Cát



ความรื่นรมย์ของการเดินคือ ได้เห็นชาวบ้าน ปลูกผัก เก็บผัก บ้างก็เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ มีเด็กๆวิ่งเล่นกันตามคันนา มันก็เป็นอะไรดิบๆดี ทางเดินวันนี้ไม่ได้ไกลมาก เดินกันไปจนวนกลับขึ้นมา ช่วงบ่ายแก่ๆ



จากนั้นเป็นช่วงอิสระ เดินเล่นกลางเมืองซาปา เข้าตลาดบ้าง เดินลัดเลาะซอกซอยดูวิถีชีวิตชาวเมือง แวะจิบกาแฟร้านที่มีวิวสวยๆ นั่งเพลินๆไป













ตกเย็นลงมาเดินตลาดนัดหน้าโบสถ์ มืดแล้วหนาวมากจนต้องหาร้านจิบเหล้าท้องถิ่นจะได้อุ่นๆหน่อย ได้เวลาเดินกลับที่พัก
The Stone Church (Holy Rosary Church)




Sapa : Day-3

ตื่นเช้ามาปวดขาไม่น้อย เมื่อวานเดินมากไปหน่อย แต่วันนี้ยังต้องเดินอีก วันนี้พวกเราจะไปเดินเที่ยวหมู่บ้าน Lao Chai กับ Ta Van ซึ่งจะอยู่ไกลกว่าหมู่บ้านที่เราเดินวันแรก ควรนั่งรถไปจุดทางเดินลงหมู่บ้านเพื่อประหยัดเวลาและพลังงาน
เริ่มต้นเดินตั้งแต่ 9:30 `เดินลงไปในหุบเขาด้านล่าง วันนี้ฟ้าไม่เปิด แดดไม่แรงก็เลยเดินสบาย ระหว่างทางเจอเด็กๆใส่ชุดชนเผ่ารอต้อนรับตลอดทาง เรียกมาถ่ายรูปก็มากันเป็นหมู่คณะ แจกขนมกันไปตลอดทาง ระหว่างทางมีของทำมือมาวางให้เลือกซื้อเป็นระยะ ผ้าปักสวยๆก็มี เป็นเสื้อก็มี มาเป็นชุดเลยก็มี งานฝีมือล้วนๆ นั่งปักกันเห็นๆ บางคนก็ถนัดแนวเครื่องประดับ เครื่องเงิน ก็มานั่งร้อยกันให้ดูเลย ใครชอบของพวกนี้น่าจะเพลิดเพลิน
Lào Cai










ด้วยว่าพวกเราเดินกันเอ้อระเหยมาก ถ่ายรูปกันไปตลอดทาง กว่าจะไปถึงจุดทานกลางวันที่หมู่บ้านตาวาน (Ta Van) ก็บ่ายแก่ หิวกันโซ ไกด์เป็นคนแบกอาหารกลางวันมา ถึงจุดทานอาหารก็จัดแจงเอาอาหารออกมาจัดวาง มันคือขนมปังฝรั่งเศส หมูแฮม ไข่ต้ม มะเขือเทศ แตงกวา ทำกันเองจ้ะ ตามด้วยกล้วยน้ำว้า ฝืดคอไปหน่อย ต้องสั่งกาแฟเวียดนามรสเข้มมากลั้วคอ อิ่มแล้วเดินต่อ หมู่บ้านนี้คึกคัก ชาวบ้านก็เยอะ เด็กยิ่งเยอะ วิ่งเล่นตามกันมาตลอดทาง จนเดินมาทะลุทางออกอยู่บ้าน ข้ามสะพานแขวนขึ้นรถกันอย่างหมดแรง
Tả Van










พอได้นั่งรถก็รู้สึกยังพอมีพลังเหลือ เพราะยังมีเวลา เลยให้รถส่งที่กลางเมืองยังไม่กลับโรงแรม ยังจะขึ้นจุดชมวิวอีกอันตรงบริเวณด้านหลังโบสถ์ ต้องเสียค่าเข้าเล็กน้อย แล้วเดินขึ้นเนินไปอีกพอสมควร ก็ลากสังขารกันขึ้นไปสำเร็จจนได้ ด้านบนเป็นสวน ที่ช่วงนี้มีดอกซากุระสีชมพูสวยหวานบานสะพรั่ง เดินถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนาน แถมยังมีจุดชมวิวเมืองซาปาได้ด้วย




ได้สำรวจซาปาครบถ้วนตามแผนที่วางมา เดินกลับโรงแรมไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเดินทางกลับ รถจะไปส่งที่สถานีเลาไคเหมือนตอนมา พวกเราก็นอนบนรถไฟกลับฮานอยกัน
Halong Bay : Day-4

ถึงฮานอยตั้งแต่เช้า รถมารับกลับไปส่งที่บริษัท วันนี้พวกเราจะไปเที่ยวอ่าวฮาลองกัน เช้าวันแรกที่มาถึงตอนเดินเที่ยวเล่นได้จองทัวร์ไว้แล้ว มีหลายบริษัทให้เลือก เลือกเอาตามที่ชอบต่อรองราคาให้เรียบร้อย เช้านี้หาห้องพักก่อน ได้เริ่มใช้ทักษะในการพูดคุยต่อรองราคาบวกด้วยต้องมีสติและรอบคอบ (โอ้โห….ทำงานยังไม่เครียดเท่านี้เลย) โดนทดสอบเบาๆด้วย การสรุปค่าห้องพักแล้วไม่ให้รีโมทแอร์จ้า บอกว่าราคาไม่รวม พอโวยวายจนนางยอม นางบอกห้องพักเต็ม จะให้คนพาไปพักอีกที่ โวยวายต่อจ้า จนสุดท้ายก็ได้ห้องที่เราดูแล้วตกลงราคากันไว้ ก็ไม่เต็มนี่หว่า

ฝากของไว้ก่อน แล้วไปรอที่บริษัทฯทัวร์เพื่อนั่งรถออกนอกเมืองไปลงเรือล่องทะเลสาบ น้ำไม่ต้องอาบ อากาศเย็นๆ ก่อนขึ้นรถคุยกะเจ๊ที่บริษัททัวร์ว่าเย็นนี้อยากดูหุ่นกระบอกน้ำ ให้เจ๊ไปซื้อตั๋วให้หน่อย ขอที่ดีๆ เจ๊บอกได้เลย (แต่พวกเรานี้หวั่นใจ แต่เสี่ยงดวงว่าเจ๊จะไม่เบี้ยวและหาที่ดีให้ได้)
อ่าวฮาลอง (Halong Bay) เป็นอ่าวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเวียดนาม มีขนาดกว้างใหญ่ 1,500 ตร.กม. มีภูเขาหินปูน กระจายอยู่กว่า 2,000 เกาะ มีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ บางเกาะมีชายหาด บางเกาะมีแต่หน้าผาหิน บางเกาะมีถ้ำ อ่าวฮาลองได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโกในปี 2537
นั่งรถไปนานมาก ด้วยระยะทาง 170 กม. และรถวิ่งได้ช้าเพราะมี Speed limit ออกจากฮานอย 8:30 กว่าจะถึงเมืองฮาลองก็เที่ยง รถไปจอดที่ท่าเรือฮาลอง เรือหัวมังกรทรงคลาสสิคหน้าตาเหมือนกันจอดเต็มไปหมด เดินตามไกด์ขึ้นเรือของเราไป ทัวร์มาตรฐานคือ นั่งเรือไปแวะเที่ยวถ้ำ 3 จุด ราคารวมอาหารกลางวันซึ่งมีอาหารพื้นๆทั่วไป ประทังชีวิตได้ ถ้าจะเพิ่มอาหารทะเลก็สั่งได้ เรือจะแล่นช้าๆเพลินๆ ระหว่างทางก็จะมีเรือแม่ค้าพายขนาบมาขายของ ระหว่างแม่ครัวทำอาหารเรือก็ไปจอดตรงแพปลา ลงไปเดินชมได้ เผื่อสนใจอยากได้ปลา กุ้ง ปลาหมึก อาหารทะเลสดๆเพิ่มเติม ก็ซื้อมา เรือทำให้กินได้แต่คิดค่าทำ แบ่งรายได้กันไป







หลังอาหารก็นั่งเรือกันต่อไป เรือจอดให้ขึ้นเกาะไปเที่ยวถ้ำเทียนกุง (Thien Cung Grotto) มีความหมายว่าถ้ำแห่งสวรรค์ เป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในอ่าวฮาลอง ด้านในมีหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่ โถงถ้ำมีขนาดใหญ่พอสมควร ทำทางเดินไว้ดีทีเดียว แต่ก็มีการตกแต่งแบบจีนๆ คือไฟสีส้มแดงชมพู สาดไปทั่ว เข้าไปเดินเที่ยวถ่ายรูปสัก 20 นาที ก็ทะลุไปจุดชมวิว ถ่ายรูปอ่าวจากมุมสูงได้ แต่วันที่ไปฟ้าไม่เป็นใจเลย แดดไม่ออก ฟ้าเทาขมุกขมัวมาก



หากให้อธิบายบรรยากาศการล่องเรือในอ่าวฮาลอง ก็คล้ายๆกับล่องเรือในเขื่อนเชี่ยวหลาน มีภูเขาหินปูนคล้ายๆกัน แต่อ่าวฮาลองเป็นน้ำทะเล และกว้างใหญ่กว่า เราไม่ได้ประทับใจการล่องเรือครั้งนี้สักเท่าไหร่ บรรยากาศก็ไม่ถึงกับตะลึงงัน ยิ่งมาในวันที่อากาศอึมครึม มีฝนตกด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีความสวยงามติดตาติดใจกลับมาเลย ถ้ำหินงอกหินย้อยใหญ่จริง แต่จัดแสงสีเสียงมาจนไม่รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติ แถมคนเยอะมากมาย เอาเป็นว่าไม่เคยมาก็อยากมา เป็นมรดกโลกด้วย แต่ให้มาซ้ำไม่เอาจ้ะ

บ่ายๆก็กลับเข้าฝั่ง รู้สึกไม่ค่อยคุ้มกับการนั่งรถอย่างนานทั้งไปและกลับ แต่ก็อย่างที่บอก มาถึงเวียดนามทั้งทีก็ขอมาเห็น รถวิ่งความเร็วเท่าเดิม แถมด้วยมีรถติดเป็นระยะๆ หลับแล้วตื่น ตื่นแล้วหลับต่อ มาถึงฮานอยตอนเย็นย่ำ รีบไปหาเจ๊ที่บริษัทฯ ถามหาตั๋วกระบอกน้ำ เจ๊บอกจัดให้แล้ว ว่าแล้วก็ให้ลูกน้องพาเดินไปที่โรงแสดงที่อยู่ใกล้ๆทะเลสาบ ที่นั่งที่เจ๊จัดให้ถือว่าใช้ได้ทีเดียว คนดูเต็มเกือบทุกที่นั่ง มีทั้งฝรั่ง ทั้งเอเชีย
หุ่นกระบอกน้ำ (Water Puppet) ใช้ผู้เชิดอยู่หลังมู่ลี่ไม้ไผ่ที่มีการพรางไว้ ตัวหุ่นเชิดจะอยู่ที่ปลายไม้ที่ยาวพอที่จะยื่นออกมานอกฉากที่ผู้เชิดบังคับ มีกลไกบังคับมือหรืออวัยวะของหุ่นที่ทำจากไม้ฉำฉาที่เบาและพยุงน้ำหนักเมื่ออยู่ในน้ำ และการเชิดต้องไม่ให้เห็นไม้บังคับหุ่น จึงทำให้ดูเหมือนหุ่นมีลีลาของตนเอง (ข้อมูล: Wikipedia.com)
Thang Long Water Puppet Theatre เป็นคณะละครเก่าแก่ เปิดแสดงหุ่นกระบอกน้ำมานานกว่า 50 ปี โรงละครอยู่ใกล้ๆทะเลสาบคืนดาบ โรงละครมีขนาดใหญ่โตพอสมควร ทำฉากสวยงามดี มีวงดนตรีอยู่ด้านข้าง นักร้องสาวใหญ่เสียงใสร้องขับกล่อมพร้อมดนตรีพื้นเมือง เราได้ที่นั่งแถวไม่ไกล เลยเห็นชัด ถ่ายรูปก็สนุกใช้ได้ นำกระเซ็นเห็นชัดเจน ชุดการแสดงก็เหมือนการแสดงทั่วไป มีระบำพื้นเมือง แสดงวิถีชีวิตของคนเวียดนาม เทียบกับเมืองไทยก็คงเป็นระบำเกี่ยวข้าว แต่หุ่นกระบอกน้ำก็เป็นระบำจับปลา ระบำว่ายน้ำ ต่อด้วยละคร สู้รบกันไปมา มีเต่ามารับดาบ ตามตำนานทะเลสาบคืนดาบด้วย ดูเพลินๆไป 1 ชั่วโมง








ออกจากโรงละคร แวะนั่งกินอาหารแถวหน้าโรงแสดงนั่นแหละ มีร้านเปิดขายเต็มไปหมด ทั้งเฝอ ทั้งข้าว ทั้งก๋วยเตี๋ยว เลือกกินตามชอบ

Hoa Lu – Tamcoc : Day-5

วันนี้ยังคงเป็น Day trip ซื้อทัวร์จากในเมืองไป เมื่อวานไป ฮาลองเบย์ วันนี้ไป ฮาลองบก คนไทยก็ช่างตั้งชื่อ ที่เรียกฮาลองบกเพราะวันนี้จะนั่งเรือล่องน้ำชมทิวทัศน์คล้ายๆกัน แต่เป็นแม่น้ำ และเป็นเรือพายขนาดเล็ก รถมารับตั้งแต่ 7:30 นั่งรถออกนอกเมือง ซึ่งรถยังคงวิ่งช้าเป็นปกติ ระยะทางประมาณ 100 กม. รถใช้เวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมงก็ถึง นิงห์บิง (Ninh Binh) เมืองเก่าแก่ที่เคยเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงถึง 3 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์ดิงห์, ราชวงศ์เล และราชวงศ์หลีเวียดนาม นิงห์บิงอุดมสมบูรณ์ นาข้าวเขียวขจีไปทั่ว เห็นแล้วสบายตาจริงๆ


นักท่องเที่ยวมักไปเที่ยวกันที่ เมืองประวัติศาสตร์ฮวาลือ (Hoa Lu ancient capital) มีวัดดิงห์เตียนฮวาง (Dinh Dynastic Temple) หรือ วัดดิงห์คิง วัดประจำพระองค์ของกษัตริย์ดิงห์ หรือจักรพรรดิดิงห์เตียวฮว่าง (Dinh Tien Hoang) แห่งราชวงศ์ดิงห์ ด้านนอกเป็นบรรยากาศทุ่งนา เดินเข้าด้านในวัดก็เรียบง่าย ไม่มีอะไรหรูหรามากนัก





อีกที่คือ Temple of King Le Dai Hanh วิหารของจักรพรรดิเลไดฮานห์ (Le Dai Hanh) ผู้ก่อตั้งราชวงศ์เตียนเล (Tien Le Dynasty) ลักษณะก็คล้ายๆกัน เดินดูจนทั่วใช้เวลาไม่นาน






ราคาทัวร์รวมอาหารกลางวันเหมือนเคย แต่แวะทานบนฝั่งให้เรียบร้อยก่อน จึงพาไปจุดลงเรือ เรือที่จะนั่งเป็นเรือพายขนาดเล็กที่นั่งได้ 2-3 คน จัดสรรเรือกันเรียบร้อยก็เริ่มพายเรือตามกันไปเป็นขบวน จากช่วงแรกที่เป็นชุมชนชาวบ้าน ก็เริ่มออกสู่หุบเขา พายลัดเลาะ ทุ่งนา ป่าเขา ไปเรื่อยๆ ความเก๋ไก๋ของการเที่ยวฮาลองบกคือ ฝีพายที่นั่งพายอยู่ด้านหลัง จากตอนแรกใช้มือโยกพายปกติ ก็เปลี่ยนเป็นใช้เท้าโยกไม้พายแทน อธิบายยาก ดูรูปก็แล้วกัน เราว่ามันน่าจะเมื่อยกว่าใช้มือนะ แต่ทุกคนก็พายแบบนี้กัน กลายเป็นเอกลักษณ์ไปอีก






ระหว่างทางก็มีชาวบ้านมาจับปลา มาปลูกข้าว ไปตลอดข้างทาง ไม่ได้จัดตั้ง ทำมาหากินกันจริงๆ เหมือนแล่นเรือผ่ากลางวิถีชีวิตชาวเวียดนาม วันนี้แดดไม่ดีถ่ายรูปไม่ค่อยสวย แต่ทำให้นั่งเรือเพลิน ลมเย็น ไม่ร้อนแดด



ระหว่างทางนอกจากชื่นชมทิวทัศน์แล้ว ยังมีพายลอดถ้ำอีก 3 ถ้ำ เข้าด้านในถ้ำมืดๆก็จะมีเปิดไฟฉายส่องดูหินงอกหินย้อยให้พอตื่นตาตื่นใจ (ลอด 3 ถ้ำ – ถ้ำ Hang Ca ถ้ำ Hang Hai และ ถ้ำ Hang Ba ) พายไปจนสุดทาง เหมือนเป็นจุดพักเรือ เรือมาจอดลอยลำอยู่รวมกัน ฝีพายก็เปิดการขายทันที งัดของขึ้นมาขาย โน่นนี่นั่น ทั้งของที่ระลึก ของกินเล่น เครื่องดื่ม และยังมีเรือ 7-11 ที่พายมาขนาบชวนซื้ออีกด้วย บางลำก็ว่าง่าย บางลำก็ว่ายากไม่ซื้ออะไรเลยนางก็อิดออดไม่ขยับพายพากลับสักที อันนี้รู้ไว้ เพื่อหาเทคนิคกันเอง







นอกจากแม่ค้าลอยลำแล้วฝีพายของแต่ละลำก็เปิดการขายทันทีเหมือนกัน ควักของอะไรต่อมิอะไรออกมาขาย
แวะตลาดนัดสักพัก ก็หันเรือกลับ ขากลับฝีพายเปลี่ยนอิริยาบถซะแล้ว มือไม่พายแต่ไม่ได้เอาเท้าราน้ำ เอาเท้ามาพายแทน ซึ่งเราว่ามันน่าจะเมื่อยกว่าอีกนะ เปลี่ยนจากเมื่อยแขนมาเมื่อยขาแทน หันดูลำอื่นก็เป็นเหมือนกัน แปลกดี นั่งเพลินๆไม่นานก็มาถึงฝั่ง




นั่งรถกลับหลับตลอดทางอีกเช่นเคย ถึงฮานอยก็มืดพอดี แวะนั่งกินอาหารทะเลกันหน่อย มีร้านขายข้างทางแถวทะเลสาบเยอะมาก อยากลอง เสียรู้สาวเวียดไปอีกรอบ เพราะความไม่เข้าใจในป้ายราคา อุตส่าห์เตือนกันตลอดว่า ก่อนสั่งต้องถามราคาชัดๆ กินเพลินไปหน่อย ชี้หอยแครงเพิ่มไป 1 จานลืมถามราคา โดนไปซะ 555
Hanoi : Day-6

วันสุดท้ายของทริปก็เป็นวันเก็บตกฮานอย เมืองหลวงเก่าของเวียดนามเหนือ สมัยยังไม่รวมประเทศ เมืองใหญ่สมกับเป็นเมืองหลวงเก่า ผู้คนจอแจ รถมอเตอร์ไซต์มากกว่าคนอีกมั๊ง วันนี้เก็บจุดไฮไลต์ที่อยากไป






เริ่มจากเดินจากที่พักไปทะเลสาบคืนดาบ ตั้งต้นจากที่นี่เสมอ เดินเลาะถนนด้านซ้ายไปเรื่อย ผ่านอนุสาวรีย์พระเจ้าหลีไท่โต (Ly Thai To) แล้วแวะส่งไปรษณียบัตรที่ไปรษณีย์ฮานอยที่อยู่ข้างๆลานอนุสาวรีย์กันก่อนกลับเมืองไทยเย็นนี้


ส่งไปรษณีย์เรียบร้อยก็เรียกแท็กซี่ไปส่งที่เที่ยวที่แรกวันนี้ คือ สุสานโฮจิมินห์ (The President Ho Chi Minh Museum ) อนุสรณ์สถานของท่านโฮจิมินห์ผู้รวมแผ่นดินเวียดนาม ด้านในมีร่างของท่านให้เข้าไปทำความเคารพได้ แต่ต้องต่อคิวกันเข้าไป ซึ่งพวกเราไม่อยากเสียเวลา เดินดูแต่ด้านนอกก็พอ ถ่ายรูปกับธงชาติเวียดนามสีแดงสดตัดกับสนามหญ้าสีเขียวด้านหน้าสุสาน



ใกล้ๆกันมี เจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda) อยู่ในวัดเก่าแก่ 400 ปี เป็นศาลาขนาดเล็กตั้งอยู่บนเสาต้นเดียวกลางสระบัว โดยพระเจ้าหลีไทโต (Ly Thai To) แห่งราชวงค์หลีสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่เจ้าแม่กวนอิม


จากนั้นก็ไป พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum) เข้าไปดูในส่วนพิพิธภัณฑ์ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามมากมาย ไปจนถึงเรื่องราวการรวมประเทศ



” Hữu nghị và hòa bình giữa nhân dân toàn thế giới “
” Friendship and peace among people around the world. “
– Ho Chi Minh –
January 1954
เดินย้อนกลับลงมาที่วัดวั่นเหมียว (Temple Of Literature Vam Mieu Pagoda) หรือ วิหารวรรณกรรม ดั้งเดิมเป็นโรงเรียนของพวกขุนนาง และเอาไว้สอบจอหงวน ด้านในยังมีแผ่นหินบนหลังเต่าจารึกรายชื่อจอหงวนด้วย ปัจจุบันเป็นวัดที่นักเรียนนักศึกษาชาวเวียดนามมักจะมาขอพรในการสอบ





เดินกันยาวไกลมาก หมดแรงต้องหาอาหารเติมพลัง มั่วๆเข้าไปร้านที่คนเยอะๆ เป็นแผนที่ใช้ได้เลย คนเยอะมักอร่อย
อิ่มแล้วเดินต่อ เดินไปเดินมาเจอ พิพิธภัณฑ์เรือนจำ (Maison Centrale) สีเหลืองสดสวยสะดุดตา ก็เลยเข้าไปดู ที่นี่เป็นคุกสมัยสงครามโลก มีชื่อเรียกว่า Hoa Lo Prison สร้างมาช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ยุคที่เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของผรั่งเศส ใช้เป็นที่คุมขังและทรมานนักโทษการเมืองชาวเวียดนามในยุคนั้นม ต่อมาช่วงสงครามเวียดนาม คุกถูกเปลี่ยนเป็นที่คุมขังทหารอเมริกันที่โดนจับได้ ชาวอเมริกันเรียกที่นี่แบบประชดประชันว่า Hanoi Hilton ตัวคุกโดนทำลายไปเกือบหมดแล้ว ยังคงเหลือส่วนประตูทิศใต้และอาคารบางส่วน ด้านในมีการจำลองบรรยากาศห้องคุมขังและทรมานนักโทษการเมืองให้ดู พร้อมมภาพจริง ส่วนมากแล้วจะแสดงบรรยากาศของนักโทษเวียตนามโดนทรมานโดยฝรั่งเศส ไม่ค่อยจะมีภาพความโหดร้ายของการคุมขังทหารอเมริกันโดยเวียดนามเหนือ ทั้งๆที่ก็คงจะโหดร้ายทารุณไม่ต่างกัน






หดหู่กันพอสมควรก็กลับไปแถวทะเลสาบ แวะไปโบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph’s Cathedral) โบสถ์คริสต์ที่มีอายุเก่าเเก่มากที่สุดของฮานอย เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวสำคัญของฮานอย โบสถ์นี้ฝรั่งเศสสร้างขึ้นมาในช่วงที่ปกครองฮานอยในช่วงแรกๆ ว่ากันว่ามีต้นแบบเป็นวิหารนอตเทอร์ดามที่กรุงปารีส



ละแวกโบสถ์เป็นย่านช็อปปิ้งด้วย มีทั้งแผงขายของที่ระลึก ทั้งร้านเก๋ๆ เดินเล่นเก็บตก แล้วไปหาอาหารเวียดนามมื้อเย็นเป็นมื้อสั่งลา ก่อนจะนั่งรถบัสไปสนามบิน กลับบ้านกันเถอะเรา





แล้วเดินเที่ยวไปที่ต่างๆวนกลับมา ลดระยะเดินไปได้ครึ่งนึง
แล้วจะมาใหม่ เพราะยังสงสัยว่าอาหารเวียดนามที่เวียดนามทำไม๊ ไม่เหมือนที่เคยกินที่ไทย ฮ่าๆๆๆๆๆ





