Trip : Shanghai-Hangzhou-Suzhou-Wuxi (May 2005)
ทริปเร่งด่วนมาอีกล่ะ ไปเที่ยวเมืองจีนฝั่งตะวันออก เซี่ยงไฮ้ – หังโจว – ซูโจว – อู๋ซี เป็นทริปของคุณพ่อคุณแม่กับเพื่อนๆ เป็นกรุ๊ปเหมาต่างหาก ขอเกาะแข้งเกาะขาไปเป็นนางเล็กๆ ทริปมาตรฐาน 4 วัน เที่ยวง่ายสบายขา เพราะมีรถนั่ง รับส่งถึงที่ กินอิ่มนอนหลับ รร. 4-5 ดาว มากับผู้สูงอายุก็ดีอย่างนี้แล…

บินตรงลงเซี่ยงไฮ้ที่สนามบินผู่ตง (Pudong International Airport) สนามบินใหญ่โตดูสวยงาม นักท่องเที่ยวก็เยอะ คนจีนเองก็แยะ แต่คราวนี้มาทัวร์สุดแสนสบาย เดินตามหัวหน้ากลุ่มไม่ต้องคิดอะไร ยิ่งมากับกลุ่มผู้ใหญ่ยิ่งไปกันแบบเนิบๆไม่ต้องเร่งรีบ

ไกด์จีนรูปหล่อพูดไทยได้นามว่า นิ๊กกี้ มาต้อนรับอย่างดี พาขึ้นรถทัวร์คันใหญ่ออกเดินทางจากเซี่ยงไฮ้ ไปเมืองหังโจวกันเลย แล้วค่อยกลับมาเที่ยวเซี่ยงไฮ้ทีหลัง
杭州市 * หังโจว * Hangzhou
หังโจว (Hangzhou) เป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang Province) อยู่ติดกับเขตปกครองพิเศษเซี่ยงไฮ้ ห่างกันไม่ถึง 200 กม. ระหว่างนั่งรถไปนิ๊กกี้ก็เม้าท์ไปเรื่อยเปื่อย พวกเรามาสะดุดตากับตึกตามข้างทาง มียอดตึกเหมือนปราสาทดิสนีย์แลนด์ เห็นเรียงรายมาหลายกิโลเมตร นิ๊กกี้บอกว่าเป็นที่พักอาศัย เป็นบ้านชาวนา บ้านชาวนา!! รัฐบาลสร้างให้




กองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด กองเที่ยวก็ต้องท้องอิ่มฉันนั้น ที่แรกเมื่อมาถึงหังโจวคือร้านอาหาร ก็เป็นไปตามมาตรฐานเที่ยวทัวร์คืออาหารเยอะจนกินไม่หมด และยิ่งเป็นอาหารจีนด้วยแล้ว จะหาถูกปากคนไทยก็ยากหน่อย เพราะอาหารจะออกมันๆ จืดๆ ถ้าอยากกินอาหารจีนมีรสชาติต้องไปแถบเสฉวน



อิ่มแล้วออกเที่ยวได้ ที่แรกที่ได้ไปอยู่กลางเมืองเมืองหังโจวนี้เอง คือ วัดอวี้เฟย(Yue Fei Temple) อยู่ใกล้ๆทะเลสาบซีหู บรรยากาศในวัดร่มรื่นมาก ต้นไม้เยอะ ตัววัดก็สวยงาม สะอาดจนไม่เชื่อว่าเป็นเมืองจีน



ในวัดมีศาลเจ้างักฮุย แม่ทัพผู้ซื่อสัตย์แห่งราชวงศ์ซ่ง เพื่อเชิดชูความดีของท่านและยกย่องท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ผู้คนนิยมมากราบไหว้ขอพร
ด้านนอกมีรูปหล่อของฉินฮุ่ยกับภรรยาและสามีภรรยาอีกคู่ที่สมคบกันใส่ร้ายงักฮุย อยู่ในท่านั่งคุกเข่า มือไพล่หลัง ขอขมาต่องักฮุย ผู้คนโกรธแค้นมากจึงมาทุบตีและถ่มน้ำลายใส่ จนทางการต้องสร้างรั้วกั้น และติดป้ายห้ามถ่มน้ำลาย
เรื่องเล่าถึงที่มาของปาท่องโก๋ เมื่อเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป (ฉินฮุ่ยและภรรยาใส่ร้ายงักฮุยว่าคิดก่อกบฏจนงักฮุยโดนจับไปประหารชีวิต) ด้วยความโกรธแค้นของพ่อค้าขายของทอดร้านหนึ่ง เขาได้นำแป้งมาปั้นเป็นฉินฮุ่ยและภรรยาผู้มีส่วนสมรู้ร่วมคิด ประกบติดกันแล้วทอดลงไปในน้ำมันร้อน ๆ นำมากินเพื่อให้หายแค้น ชาวบ้านคนอื่น ๆ เมื่อรู้เรื่องก็พากันกินแป้งทอดที่ทำเป็นรูปคนทั้งสองนี้ด้วยความเกลียดชัง กินไปกินมาก็คงจะอร่อยกัน ปาท่องโก๋จึงเป็นอาหารเช้าของชาวหังโจวตั้งแต่นั้นมา (ที่มา: หังโจว: สาวงามกับตำนานปาท่องโก๋ https://th.readme.me/p/6205)
เที่ยววัดเสร็จแล้ว ก็ออกมาล่องเรือกัน ทะเลสาบซีหู (Xihu) บางคนก็เรียกทะเลสาบตะวันตก (West Lake) นิ๊กกี้ก็เล่าตำนานเกี่ยวกับนางพญางูขาวประกอบการล่องเรือ ให้ทัวร์ผู้สูงอายุนั่งฟังกันเคลิ้มไปสัปหงกไป



บรรยากาศริมทะเลสาบก็สวยงามร่มรื่นเพราะต้นไม้เยอะ รอบทะเลสาบมีสวนสาธารณะ มีร้านขายอาหาร ร้านขายกาแฟ เหมาะแก่การมาเดินเล่น ถ้ามีเวลาก็มาเดินเที่ยวได้ คนท้องถิ่นก็มาใช้เวลารอบๆทะเลสาบ หรือเล่นกิจกรรมทางน้ำกันเหมือนทุกเมืองในโลกนั่นแหละ ก็ทำให้ดูมีชีวิตชีวาดี



บ่ายๆแบบนี้ อาหารย่อยดีแล้วมานั่งเรือล่องทะเลสาบพาลจะหลับกันหมดทั้งกลุ่ม ต้องออกไปยืนรับลมบ้าง แต่อยู่ได้ไม่นานเพราะหนาวเกิน

ได้พักผ่อนนอนหลับกันบนเรือพอสมควร ก็กลับมาขึ้นรถ นิ๊กกี้พาไปไร่ชา ไปชมวิว ชิมชา พร้อมช็อปปิ้งชากลับมากันคนละถุง สองถุง เพราะเมืองหังโจวนี้เป็นแหล่งผลิตชาหลงจิ่งที่ดีและแพงที่สุดของจีน

ยังไม่หมด มากับทัวร์นี่วันหนึ่งได้เที่ยวเยอะมาก ไม่จบสักที ช่วงบ่ายแก่ๆ นิ๊กกี้พาไปเดินเที่ยวเมืองจำลองซ่ง มีฉากจำลองบ้านเรือนและวิถีชีวิตของชาวจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง เหมือนหลุดเข้ามาในหนังจีนกำลังภายใน จากนั้นก็ไปดูการแสดง แสง สี เสียง เรื่องราวราชวงศ์ซ่ง (Song Dynasty) ซึ่งเราไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่หรอก ก็ดูการแสดงสวยๆงามๆไป




จบโชว์ก็ถึงเวลาอาหารเย็น มาถึงหังโจว ก็ต้องไม่พลาดอาหารขึ้นชื่อของหังโจว “ไก่ขอทาน” อาหารชื่อประหลาด มีที่มาจากตำนาน (อีกล่ะ) มีขอทานคนหนึ่ง ขโมยไก่จากบ้านเศรษฐีมา 1 ตัว แต่ไม่มีอุปกรณ์ในการทำอาหาร จึงเอาใบบัวในทะเลสาบซีหูมาห่อไก่เอาโคลนพอก แล้วเอาไปเผาไฟ ปรากฏว่ากลิ่นหอมหวลชวนชิมมาก โจษขานถึงเมนูนี้กันไปทั่ว กลายเป็นเมนูดังของเมืองหังโจวตั้งแต่โบราณกาลเรื่อยมา

เที่ยวกันยาวนานมากสำหรับวันแรก กว่าจะได้เข้าโรงแรมก็มืดค่ำ หลับสบายกับโรงแรมหรูหราในเมืองหังโจว บอกแล้วมาทัวร์ก็มีดีแบบนี้แหละ
苏州 * ซูโจว * SuZhou
ตื่นเช้ามาร่ำลาเมืองหังโจว เพื่อไปเที่ยวต่อที่เมืองซูโจว (Suzhou) ต้องนั่งรถขึ้นเหนือข้ามเขตมณฑลเจ้อเจียง ไปที่มณฑลเจียงซู (Jiangsu Province) ระยะทาง 165 กม. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.กว่าก็ถึง
ซูโจว ได้ฉายาว่าเป็น “เวนิสแห่งตะวันออก (Venice of the East)” เพราะมีคลองอยู่รอบเมือง แถมด้วยสะพานหินข้ามคลองมากมาย กลายเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองน่ารักๆนี้

มาถึงเมืองซูโจวก็แวะเที่ยววัดก่อนเลย วัดซีหยวน (Xiyuan Temple) วัดใหญ่กลางเมืองซูโจว สร้างในสมัยราชวงศ์หยวน ทางเดินเข้าไปร่มรื่นสดชื่นเพราะต้นไม้เยอะมาก จุดเด่นของวัดคือ พระอรหันต์ไม้แกะสลัก 500 องค์, เจ้าแม่กวนอิมพันมือพันตา และพระจี้กง



แล้วก็เป็นกิจกรรมประจำทัวร์ คือไปแวะร้านขายของเด่นดังประจำเมือง พวกเราก็ไปแวะชม ผ้าไหมแห่งเมืองซูโจว และผ้าห่ม แถมด้วยแฟชั่นโชว์ชุดผ้าไหมจากสาวงามซูโจว


ได้เที่ยวซูโจวแค่ครึ่งวัน ก็ต้องร่ำลาเสียแล้ว นั่งรถต่อไปที่เมืองอู๋ซี
无锡市 * อู๋ซี * Wuxi
เมืองอู๋ซี เป็นเมืองอุตสาหกรรมของมณฑลเจียงซูมาแต่โบราณ ปัจจุบันก็พัฒนาจนเป็นเมืองอุตสาหรรมสำคัญทางตะวันออก เจริญจนได้รับฉายาว่า “เซี่ยงไฮ้น้อย”


แม้ว่าเมืองอู๋ซีจะเป็นเมืองอุตสาหกรรมยุคใหม่ แต่เป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์โจวและฉิน ยังมีย่านเมืองเก่าหลงเหลือให้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศดั้งเดิมได้ ถ้ามีเวลามากกว่านี้ คงได้ไปเดินเล่นตามชุมชนเก่าๆ

เมืองอู๋ซีมีทะเลสาบไท่หู ที่ใหญ่เป็น 1 ใน 5 แห่งทะเลสาบน้ำจืดของจีน เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญ เหมือนกับที่หังโจวมีทะเลสาบซีหู ว่ากันว่าความสวยงามของทะเลสาบไท่หูได้เป็นแรงบันดาลใจให้กวีมาหลายร้อยปี เสียดายที่วันนี้ไม่มีแดด บรรยากาศอึมครึมจนนึกไม่ออกว่าจะเป็นแรงบันดาลใจอะไรได้

บ่ายแก่ๆก็มาโรงถ่ายละครสามก๊ก (Town of the Three Kingdoms) อยู่ติดริมทะเลสาบไท่หู มีพื้นที่ใหญ่มาก ถ้าจะเที่ยวทั่วๆน่าจะต้องมีครึ่งวัน แต่พวกเรามีเวลาไม่มาก เลยได้เดินเฉพาะส่วน Three Kingdom City เดินเข้าไปจะเจอเจอสนามประลองยุทธก่อนเลย มีโชว์การสู้รบบนหลังม้าให้ดู เห็นแล้วก็ทึ่งว่าสมัยก่อนนักรบทุกคนต้องแข็งแรงมากจริงๆถึงควบม้าใช้ทวนใช้ดาบสู้กันได้



จากนั้นก็น่าจะเดินดูเมืองจำลองไปได้เรื่อยๆ แต่ทัวร์สูงอายุ นิ๊กกี้เลยจัดรถรางมาให้ นั่งชมเมืองจำลองไปจนถึงริมน้ำ เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากสงครามทางน้ำ ก็ลงไปเดินเล่นถ่ายรูป

เดินต่อเข้าไปส่วนพระราชวังจำลอง Palace of King Wu ให้บรรดาแม่ๆเข้าไปเช่าชุดโบราณใส่ถ่ายรูปเล่นกัน สักพักก็มีการแสดงให้ดูอีกล่ะ มาร่ายรำให้ดูเพลินๆ ออกมาเดินถ่ายรูปละแวกนั้นเล็กน้อย ก็นั่งรถกลับ มากับทัวร์ก็ได้ประมาณนี้


ตามจริงแล้ว ดูจากแผนที่ด้านในมีพื้นที่อีกกว้างมาก มีหลายส่วนให้เข้าไปชมได้ พวกเราได้เข้าแค่ส่วนด้านซ้ายคือ Three Kingdom City (สถานที่ถ่ายทำสามก๊ก) ส่วนปีกขวาคือ Water Margin (ที่ถ่ายทำ ซ้องกั๋ง หนึ่งในสี่ สุดยอดวรรณกรรมจีนร่วมสมัยกับ สามก๊ก) แอบดูราคาค่าเข้าถ้ามาเองก็แพงอยู่เหมือนกัน (ถ้าเข้าหมดทั้งสองส่วนร้อยกว่าหยวน)

ออกมาแวะร้านขายกาน้ำชา ก็สาธิตกันไปว่า กาน้ำชา ถ้วยน้ำชา แบบไหนดียังไง (เป็นร้านขายของที่ 2 แล้วนะ นับไว้)


วันนี้วันเดียว เที่ยว 2 เมือง มากับทัวร์ ทัวร์ทำได้ หลังอาหารเย็นมื้อใหญ่ ก็เข้าที่พัก คืนนี้นอนที่เมืองอู๋ซี

อรุณสวัสดิ์ยามเช้าที่เมืองอู๋ซี ออกมาเดินชมเมืองแถวหน้าโรงแรม เห็นผู้คนปั่นจักรยานไปเรียน ไปทำงานกันเยอะ ดูคึกคักสมเป็นเมืองอุตสาหกรรม

สายๆออกเดินทางต่อ ก่อนจะลาเมืองอู๋ซี ต้องไปแวะไหว้พระใหญ่วัดหลิงซาน อยู่ริมทะเลสาบไท่หู เป็นพระพุทธรูปทองสำริดสูง 88 เมตร หนัก 700 ตัน ยืนเด่นเป็นสง่า เป็นพระยืนทองเหลืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย บันไดหน้าวัดขาขึ้นด้านซ้ายมีรูปสำริดฝ่ามือทรงห้ามญาติของพระพุทธเจ้า เรียกว่า “ฝ่ามือหนึ่งเดียวแห่งใต้หล้า” ด้านหน้าวัดสร้างเป็นกำแพงแกะสลักเรื่องราวต่าง ๆ ของพุทธศาสนายาว 50 เมตร ชื่อ “กำแพงหนึ่งเดี่ยว” แห่งประเทศจีน หน้าลานจัตุรัสมีสระบัว(ปลอม)ที่ดอกบัวจะบานตามเสียงดนตรีมีน้ำพุเต้นระบำอยู่รอบๆ มีรูปสัมฤทธิ์พระพุทธเจ้ายืนบนดอกบัว ซึ่งจะเห็นตอนที่ดอกบัวบานออก และมังกรก็จะพ่นน้ำสรงพระตามเสียงดนตรีด้วย ดูเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าเป็นวัดแฮะ




ออกจากวัดก็ไปแวะร้านไข่มุก เป็นร้านช็อปปิ้งบังคับร้านที่ 3 ก็ดูๆไป นิ๊กกี้จะได้เงินค่าพาลูกทัวร์เข้า
上海 * เซี่ยงไฮ้ * Shanghai
บ่ายต้นๆ พวกเราก็กลับมาถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ มองเห็นตึกสูงๆสวยๆเต็มไปหมด ตื่นตาตื่นใจพอสมควร รายการต้องมาอีกแห่งคือ ร้านบัวหิมะ (ร้านช็อปปิ้งร้านที่ 4) การสาธิตจับโซ่ร้อนๆแล้วทาบัวหิมะก็มา ผ่านไปเป็นสิบปีก็ยังเหมือนเดิม แต่จะว่าไปครีมมันก็ได้ผลจริงจัง แม้จะรู้ว่ามันเต็มไปด้วยสเตียรอยต์ แต่มันก็รักษาแผลไหม้ได้ดีจริง ว่าแล้วกลุ่มคุณแม่ก็ซื้อกันมาคนละกระปุก สองกระปุก เหมือนอุปทานหมู่
เอาของเข้าที่พักแล้วออกมาทานอาหารเย็นเร็วหน่อยวันนี้ พอเริ่มมืดก็พากันลงเรือ ล่องแม่น้ำหวงผู่ (Huangpu River) ชมแสงสีเมืองเซี่ยงไฮ้ยามค่ำคืน ช่วงที่สวยงามตามคำร่ำลือคือช่วงผ่านหาดไว่ทั่น (Waitan) หรือ The Bund ที่ทุกคนรู้จัก จะเห็นตึกเก่าสไตล์ยุโรปคลาสสิคเปิดไฟส่องสว่าง สวยงามไปตลอดถนนเลียบแม่น้ำ พาลให้คิดถึงเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ขึ้นมา แต่ถ่ายรูปแทบไม่ได้เพราะเรือแล่นตลอด



ฝั่งเมืองใหม่ มีหอไข่มุก (The Oriental Pearl Tower)
เป็นสัญญลักษณ์ของเมืองเซี่ยงไฮ้ใหม่
เรือมาจอดที่ท่าเรืออีกฝั่งของแม่น้ำ ซึ่งเป็นฝั่งเมืองใหม่ ฝั่งที่จะมีตึกสูงเต็มไปหมด จากท่าเรือชาวคณะเดินไปไม่ไกลก็ถึง หอไข่มุก (The Oriental Pearl Tower) ต่อคิวขึ้นลิฟต์ไปชั้นชมวิว เพื่อชมแสงสีเมืองเซี่ยงไฮ้จากด้านบน ก็สวยงามตามสมควร แต่ฟ้าไม่ใสเท่าไหร่แสงก็จะดูฟุ้งๆหน่อย มองลงไปฝั่งเมืองเก่าตรง The Bund มันสวยงามอีกแบบหนึ่งต่างจากตอนนั่งเรือ

กลับลงมา ใครเหนื่อยก็กลับไปนอน ใครยังมีแรงก็ออกไปเดินเล่นได้ เราเองก็ไปเดินเล่น แต่เดินได้ไม่นานก็ไม่ไหว มันหนาวเหลือเกิน กลับห้องนอนดีกว่า
เช้าสุดท้ายในทริป รีบตื่นออกมาเดินเล่นนอกโรงแรม ชมชีวิตชาวเซี่ยงไฮ้ยามเช้า ดูอาเจ๊ อาซ๊อ อาม่า ออกมารำไท้เก๊กในสวน ผู้คนปั่นจักรยานไปทำงาน บรรยากาศดูขมุกขมัวไปด้วยฝุ่นและควัน อากาศไม่ดีเอาเลยตามสภาพเมืองใหญ่ แต่คนจีนก็เลือกที่จะออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้งกันอยู่ดี เพราะที่พักก็คับแคบอุดอู้ นี่คือชีวิตคนจีน


เช้านี้นิ๊กกี้พาชาวคณะไป เดินเล่น ช็อปปิ้งเก็บตกที่ย่านอวี้หยวน ซึ่งไม่ใช่กิจกรรมถนัดของเราจึงขอแยกตัวซื้อตั๋วเข้าไปชมสวนอวี้หยวน (Yuyaun garden) ด้านใน พื้นที่แถบนี้เดิมเป็นบ้านและสวนของเศรษฐี ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งช็อปปิ้ง มีร้านขายของ ขายอาหาร อยู่ในตึกทรงจีนโบราณสวยงาม ส่วนพื้นที่สวนก็เปิดให้เข้าชม (แต่จ่ายเงินเข้า)



สวนอวี้หยวน (Yuyaun garden) เดิมเป็นบ้านและสวนของเศรษฐี ก็เลยใหญ่มาก สวยงามมาก เป็นสวนแบบจีนโบราณ มีทั้งสวนหิน บ่อน้ำ สวนไผ่ มีศาลา สะพานหิน สวยงามตามแบบจีนแท้ เดินได้เพลินๆ





ออกจากสวนมารวมกลุ่มตามเวลานัด นั่งรถต่อไปที่ร้านขายผี่เซี๊ยะ (ร้านช็อปปิ้งที่ 5 ของทริป) เจ้าผี่เซี๊ยะนี่เป็นสัตว์ลูกผสมตามความเชื่อของชาวจีน มีรูปร่างและเขาคล้ายกวาง แต่มีหน้า, หัว, ขาคล้ายสิงโต, มีปีกคล้ายนก, หลังคล้ายปลา และมีส่วนหางคล้ายแมวปนไปด้วยและบางส่วนของหัวคล้ายมังกร (ตัวอะไรกันนี่) ที่สำคัญที่สุด คือ เจ้าตัวผี่เซี๊ยะนี่ไม่มีรูทวาร มีความหมายแฝงว่ารับเข้าอย่างเดียว ไม่มีปล่อยออก ก็เลยเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่ำรวย มีแต่เงินเข้าไม่มีออก ผู้คนนิยมบูชาเพื่อให้ธุรกิจการค้าเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า ร่ำรวย ฟังคนขายเอาผี่เซี๊ยะแบบต่างๆมาเสนอขาย ทั้งเป็นหิน เป็นหยก ราคาถูกก็มีแพงก็มี เลือกซื้อกันตามชอบใจ


ก่อนจากลาเมืองเซี่ยงไฮ้จริงๆ ก็ได้ไปไหว้พระที่ วัดพระหยกขาว (The Jade Buddha Temple) เป็นวัดสำคัญอันดับหนึ่งของเมืองเซี่ยงไฮ้ อารณ์เหมือนวัดเล่งเน่ยยี่ มีคนเข้ามาทั้งกราบไหว้ทั้งเยี่ยมชมเต็มวัด ควันธูป ควันเทียนคละคลุ้งจนแสบตา

ออกจากวัดก็ถึงเวลาอาหารพอดี ปิดทริปกับอาหารพิเศษ หอยเป๋าฮื้อผัดซ็อสเอ็กซ์โอ แกล้มเบียร์จีน พอให้กรึ่มๆก็ไปสนามบิน กลับบ้านได้


ทริปมาตรฐาน เซี่ยงไฮ้ – หังโจว – ซูโจว – อู๋ซี 4 วัน เห็นมีแทบทุกบริษัททัวร์ เลือกซื้อกันได้ตามสะดวก ราคาแพงหรือถูก ขึ้นกับที่พัก อาหาร นอกนั้นเที่ยวเหมือนๆกันหมด และต้องทำใจว่าจะโดนพาไปร้านขายของตามข้อบังคับมาตรฐานการท่องเที่ยวจีน ทริปเรา 4 วัน พาไป 5 ร้าน มากกว่าจำนวนวันเที่ยวอีก!!
ถ้ามีโอกาสไปอีกจะไปเดินเที่ยวเล่นในเมือง หังโจว ซูโจว เพราะเป็นเมืองเก่าแก่โบราณ มีย่านเมืองเก่าที่สวยงามน่าเดินเล่นมากๆ คูคลองก็เยอะ แต่ต้องไปเที่ยวเองนะถึงจะได้มีเวลาแบบนั้น ติดไว้ก่อน ถ้ามีโอกาสนะ เจอกันใหม่ หัง – ซู
คำเปรียบเปรยถึงความสวยงามของเมืองหังโจวและซูโจว
“บนฟ้ามีสวรรค์ บนดินมีหังซู – 上有天堂,下有苏杭”
เทียนโหย่วเทียนถัง เซี่ยโหย่วซูหัง