ALBANIA Trip : September 2023
Hello Albania ตอน 1 เที่ยวเมืองหลวง Tirana ไป 1 1/2 วัน วันที่ 3 เช่ารถขับเที่ยว ช่วงเช้าขับไปแวะเที่ยวเมืองโบราณ Kruja ช่วงบ่ายขับรถขึ้นเหนือต่อไปเมือง Shkoder

จาก Kruja ไป Shkoder จะผ่านเมือง Lezhe มองเห็น Lezhë Castle บนยอดเขา แสดงว่ามาได้ครึ่งทางแล้ว
SHKODER
Day-3 เที่ยวเมืองโบราณ Kruja แล้วขึ้นเหนือไป Shkoder
จาก Kruja ขับรถต่อมา 85 กม. ถึงเมือง Shkoder ตอนบ่ายๆ เข้าไปที่พักก่อน จองห้องพักแบบอพาตเมนต์ไว้ ต้อง WhatsApp คุยกับ Host ให้มาเจอกันหน้าตึก แล้วพาขึ้นไปเปิดห้อง ที่พักชื่อดูกันเองมาก Central Home Away From Home บรรยากาศเหมือนแฟลตดินแดงหน่อยๆ ต้องยกกระเป๋าขึ้นบันไดเช่นเคย แต่อยู่เป็นห้องแรกชั้นแรก ไม่ลำบากลำบนเท่าไหร่ ห้องพักใหญ่ยักษ์ แบ่งเป็นห้องนอนและห้องนั่งเล่น+ห้องอาหาร มีครัวใหญ่ทำอาหารได้ สะอาดดี ส่วนที่จอดรถเจ้าของบอกหาจอดเอาตามถนนได้เลย ถามว่าปลอดภัยมั๊ย ฮีบอกว่าก็ไม่เคยมีอะไรนะ ให้ไป 8 คะแนน หักบรรยากาศรอบอาคารดูน่ากลัวไปหน่อย




Central Home Away From Home, Shkoder ห้องพักแบบอพาตเมนต์ ราคา 28 ยูโรต่อคืน
ชโกดา | Shkoder (Shkodra) หนึ่งในเมืองเก่าแก่ของแอลเบเนียและคาบสมุทรบอลข่าน มี ทะเลสาบชโกดา | Lake Shkoder ขนาดใหญ่และเทือกเขา Albanian Alp เป็นวิวหลัก มีแม่น้ำ 3 สายล้อมรอบเมือง คือ Buna river, Kiri river & Drin River

บ่ายแก่ๆขับรถไปเที่ยว Rozafa Castle ป้อมปราการบนยอดเขา สามารถขับรถขึ้นไปได้ถึงหน้าทางเข้าเลย มีที่จอดรถแต่ไม่มากเท่าไหร่ ถ้าลานข้างบนเต็ม ก็ต้องจอดตามข้างทางเอียงๆแบบนั้นแหละ เสียค่าเข้าชม 400 Lek


Rozafa Castle ป้อมปราการของชาวอิลลิเรียน (Illyrian Stronghold) ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของแอลเบเนีย ตั้งอยู่บนเนินเขา มีอาณาเขตกว้างใหญ่ แต่ถูกทำลายลงไปจนเหลือแต่ซากแนวกำแพง กับสิ่งก่อสร้างไม่กี่จุด เพราะเคยถูกโจมตีโดยกองทัพโรมัน แล้วก็มาถูกยึดครองโดยชาวออตโตมันอีก



โชคดีที่เข้าไปเจอการถ่ายทำรายการ มีคนแต่งชุดพื้นเมืองสวยงามมายืนเล่นดนตรี เราก็เลยได้ถ่ายรูปถ่ายคลิปเขามาด้วย ไม่รู้ถ่ายโฆษณาหรือถ่ายรายการอะไร









ข้อดีของการมาเที่ยวหน้าร้อน มีหญ้าเขียว มีดอกไม้บาน

ซากปรักหักพังของโบสถ์คาทอลิกแบบเวนิสสมัยศตวรรษที่ 13 ซึ่งนักวิชาการบอกว่าคือมหาวิหารเซนต์สตีเวน ภายหลังเมื่อจักรวรรดิออตโตมันเข้ายึดเมืองได้ในคศ.ที่ 15 ได้เปลี่ยนโบสถ์เป็นมัสยิดสุลต่านเมห์เม็ต
แนะนำให้มาช่วงบ่ายแก่ๆ อากาศสบายๆ ไม่ร้อน เดินเที่ยวได้ทั่วๆ มีจุดชมวิวได้รอบด้าน ด้านหนึ่งมองไปเห็นแม่น้ำ Banu ไหลไปลง Lake Shkodra อีกด้านริมป้อมปราการด้านหลัง มีมุมที่มองเห็นจุดบรรจบของแม่น้ำ 2 สาย Buna และ Drin





เดินเที่ยวอยู่บน Rozafa Castle จนเย็น (แต่ยังไม่มืด รอแล้วรอเล่าก็ไม่มืด) กลับลงมา ตอนแรกตั้งใจจะหาร้านอาหารเย็นแถบริมทะเลสาบ แต่เปลี่ยนใจกลับไปทำข้าวกินที่อพาตเมนต์ ไหนๆก็ได้ห้องพร้อมครัวแล้ว วันนี้มีอาหารไทยสำเร็จรูปกับข้าวสวยที่แบกมาจากเมืองไทย เวลาเดินทางท่องเที่ยวพกอาหารแบบนี้ไปบ้างก็ดีนะ แก้เบื่อ
Day-4 ร่ำลา Shkoder มุ่งหน้าไป Theth
ตื่นเช้ามาไม่ต้องออกไปหาอาหารเช้าที่ไหน ทอดไส้กรอก ปิ้งขนมปัง ชงกาแฟกินที่ห้อง ข้อดีของการเช่าห้องแบบอพาตเมนต์
ช่วงเช้าเก็บตก Shkoder ด้วยการขับรถไปหาที่จอดแถบกลางเมือง แล้วเดินเล่นไปถนนคนเดิน Rruga Kolë Idromeno คนเดินเล่นนั่งเล่นกันเยอะมากตั้งแต่สายๆ ตลอดถนนเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่พัก และมี Art Gallery กับ Museum เลี้ยวเข้าตามตรอกซอกซอย เป็นย่าน Old Town ของเมือง ที่ผู้คนยังอาศัยอยู่จริง ผู้คนปั่นจักรยานสวนกันไปมา ไม่ใช่นักท่องเที่ยวแต่เป็นชาวเมือง Shkoder ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการปั่นจักรยานของแอลเบเนีย เพราะอย่างนี้นี่เอง เดินเล่นถ่ายรูปไปจนสุดถนนก็มานั่งแวะพักจิบกาแฟ



The Statue Of Saint Mother Teresa



Xhamia e Madhe – Ebu Bekr Mosque



Nativity of Christ


The Franciscan Church of Shkodër (Kisha Katolike Françeskane)


หอคอยที่ดูใน Google map บอกว่า The English man’s Clock Tower แต่เดินวนหาทางเข้าไม่เจอ เห็นแต่ป้ายร้านอาหาร ก็น่าจะกลายเป็นร้านอาหารไปแล้ว





Shkoder, bike capital of Albania



ถนน Rruga Kolë Idromeno คึกคักมาก ทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น แวะนั่งจิบกาแฟมองผู้คนเป็นการพักขา


ตั้งใจจะไปกินข้าวเที่ยงที่ร้าน Rozafa Seafood ก่อนออกจากเมือง แต่ยังไม่หิว เลยตัดสินใจซื้อ Burger/Shawarma ติดรถไป แล้วออกเดินทางกันเลย จุดต่อไปที่จะแวะไปดูคือสะพานหินโบราณชื่อว่า Mesi Bridge

Good Plan is Flexible Plan
Mesi Bridge อยู่ออกนอกเมือง Shkoder ไปประมาณ 8 กม. ขับรถ 10 นาทีก็ถึงแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ขับรถเที่ยวน่าจะไปยากอยู่ นอกจากเรียกแท้กซี่พาไป สะพานหินโบราณออตโตมัน สร้างมาตั้งแต่ 1868 ข้ามแม่น้ำ Kiri ซึ่งแห้งผากในหน้าร้อน สะพานได้รับการดูแลดี ยังสวยงาม แต่แม่น้ำไม่มีน้ำเลยรู้สึกแห้งแล้งไปหน่อย






ลา Shkoder เดินทางขึ้นเหนือต่อ
จากนี้จะขับรถขึ้นเหนือต่อไปอีกที่หมู่บ้านเธท | Theth Village หมู่บ้านกลางหุบเขาในเขตอุทยานแห่งชาติ ช่วงแรกถนนยังเป็น 2 เลนขับสบาย หลังจากเลี้ยวขวาทางแยกไปทางจะเล็กลงเรื่อยๆ แต่ยังเป็น 2 เลนที่กว้างประมาณเลนครึ่ง คนแอลเบเนียขับกันชินแล้ว แต่เราเสียวทุกครั้งเวลามีรถคันใหญ่ๆสวนมาก และสุดท้ายแล้วทางเลนครึ่งนี้จะต้องลัดเลาะไปตามเขาอีกต่างหาก ต้องขับอย่างระมัดระวัง ทางไม่ได้สูงชันมากแต่คดเคี้ยวพอสมควร







เจอเจ้าถิ่นเต็มถนน
THETH
Theth หมู่บ้านในหุบเขาทางตอนเหนือของประเทศ ในเขตอุทยานแห่งชาตื Theth National Park อยู่ใกล้ชายแดนมอนเตเนโกรนิดเดียว ขับรถจาก Shkoder ไป 80 กม. ระยะทางไม่ไกล แต่ช่วง 20 กม.ก่อนถึงเป็นทางเขาคดเคี้ยว ก็ขับได้ช้าหน่อย แต่วิวสวยมาก ขับช้าๆชมวิวไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะหลุดเข้าอยู่ในหุบเขาล้อมรอบไปด้วยแนวเทือกเขาแอลป์ | Albania Alps

Bujtina Tinari Theth ที่พักคืนนี้เป็นบ้านหลังใหญ่ 3 ชั้น ที่ด้านในมีห้องให้พักเกือบ 10 ห้อง แต่ละห้องมีห้องน้ำในตัวด้วย เรากดจองมาแบบไหนไม่รู้ได้ห้องบนสุด เกือบจะเรียกว่าห้องใต้หลังคาก็ได้ แบกของทุลักทุเลนิดหน่อยแถมเจอบันไดวนไปอีก แต่เข้ามาในห้องแล้ว บรรยากาศมันคุ้มค่าจริงๆ



Bujtina Tinari Theth ราคาห้องละ 50 € รวมอาหารเช้า




ที่พักรวมอาหารเช้าด้วย บรรยากาศแบบ Bed & Breakfast ถ้าจะทานอาหารเย็นก็แจ้งล่วงหน้า ค่าอาหารคนละ 12 € ซึ่งเราว่าทุกคนที่พักก็ทานที่นี่หมด ตอนมื้อเย็นก็เลยครึกครื้นคนเต็มห้อง คุยกันหลากหลายภาษา เจ้าของบ้านเป็นคู่สามีภรรยาที่ทำเองทุกอย่าง พูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก แต่ก็พยายามสื่อสาร เฮฮาแบบภาษาใบ้กันไป

มาถึงหมู่บ้านช่วงบ่ายๆ ว่าจะนั่งจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ ชมวิวเทือกเขา ฟังเสียงแม่น้ำที่ไหลเลาะเลียบหมู่บ้าน คือตั้งใจพักผ่อนเต็มที่ แต่เปลี่ยนใจออกเดินสำรวจหมู่บ้าน ตั้งใจไปถ่ายรูป Church of Theth โบสถ์เล็กๆที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขาแอลป์ เป็นรูปที่ทุกคนต้องมีเมื่อมาที่ Theth แล้วกลับมานั่งชิลๆริมแม่น้ำ ความจริงโบสถ์มันใกล้ที่พักมากๆจากห้องนอนเปิดหน้าต่างไปก็เห็น แต่ดันเดินผิดทาง กลายเป็นเดินไปทาง Theth Waterfall ซะงั้น


Theth River แม่น้ำหน้าบ้านกับ Albanian Alps เป็นฉากหลัง ที่อยากจะนั่งเฉยๆตรงนี้ให้หมดวัน

เดินหลงทางมาเจอมุมนี้
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก็ไปน้ำตกก็ได้ (วะ) เดินขึ้นเนินลงเนินปีนเขาไป 4 กม. ไม่เหงาไม่ต้องกลัวหลง มีเพื่อนเยอะๆเดินกันไปตลอดทาง จากที่ว่าจะมานั่งชิลตลอดบ่ายเลยเดินจนเหงื่อซึม แต่ไปถึงแล้วก็ประทับใจพอสมควร




ไม่มีป้ายบอกทางใดๆ อาศัยเดินตามๆกันไป และมองหาสัญญลักษณ์บอกทางคือแถบสีแดงตามก้อนหิน ไม่มีหัวลูกศรใดๆ แต่บอกว่าแนวนี้แหละถูกต้อง ช่วงแรกๆเป็นถนนที่รถพอขับไปได้แต่ทางแย่มากและชันมาก เดินเอาดีกว่า



สุดถนนจะเจอร้านเก๋ๆนี้ จากนี้ไปอีกไม่ไกล แต่ต้องเดินแบบไต่เขาไปน้ำตก ใครไม่ไหวก็นั่งรอที่นี่แหละ บรรยากาศดีอยู่



ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ สุดทางหลุดขำออกมาตรงหินที่เขียนว่า Wifi Free พร้อมแผงโซลาร์เซลล์ รับรองไม่ขาดการสื่อสารแน่ๆ







มาตั้งแต่คนเต็มน้ำตก จนคนหายเกือบหมด แถมแดดจัดๆตอนเดินมาก็หายวับ อาการเหมือนฝนจะลง ต้องรีบเผ่น
ตอนเดินกลับมาที่พัก หาทางปีนเนินแหวกพุ่มไม้ขึ้นมา Church of Theth จนได้ นั่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าโบสถ์อยู่นาน จนโบสถ์เริ่มเปิดไฟ อุณหภูมิลดลงอย่างเร็ว เริ่มหนาวแล้ว ลุกขึ้นหันซ้ายหันขวา ถึงได้เจอถนนและทางเดินดีๆที่ตรงไปบ้านพักเราได้เลย




มื้อเย็นที่บ้านพักของเรา ด้วยความหิวลงไปเป็นห้องแรกๆ สุดท้ายคนเต็มทุกที่นั่ง ค่าอาหารเย็น 12 € อาหารมาเป็นชุดไม่มีสิทธิ์สั่ง แล้วแต่แม่ครัวจะจัดมาให้ แต่เยอะและอร่อยอยู่นะ ถ้าไม่กินกับที่พักก็ต้องเดินหรือขับรถไปหากินที่อื่น ซึ่งก็คือห้องอาหารในที่พักแบบนี้เหมือนกันนั่นแหละ



Day-5 ไต่เขาไป Blue Eye แล้วไปพักขาที่ Lezhe
ตื่นเช้ามารับโชคร้ายนิดๆ ฝนตก อากาศหนาวๆชื้นๆ ฝนมาตกอะไรวันนี้ แผนแรกว่าจะตื่นมาทานอาหารเช้าแล้วเอากาแฟมานั่งจิบที่ระเบียงชมวิวยามเช้าให้เต็มอิ่ม แล้วขับรถขึ้นไปถ่ายรุป Church of Theth กับแสงเช้าอีกรอบก่อนจะไป Blue Eye แต่แผนต้องปรับเปลี่ยนเพราะฝนที่ตกมาค่อนข้างเม็ดใหญ่ จัดการอาหารเช้าแล้ว เลยได้แต่นั่งมองฝน แทนมองวิว กว่าฝนจะซาก็เกือบ 10 โมง







ได้แต่นั่งรอฝนหยุด มองโบสถ์จากหน้าต่าง แผนจะเดินไปถ่ายรูปแสงเช้าก็พังไป พอใกล้ถึง 10 โมง รถคิวที่วิ่งระหว่างเมืองก็เริ่มออกมาตระเวนรับนักท่องเที่ยวที่จองตั๋วไว้ตามที่พัก หรือชาวแบคแพคที่จะเดินไปท่ารถก็ต้องยอมเดินตากฝนกันไป

ในที่สุดฝนก็หยุดตก Chk-out กันเลย
นักท่องเที่ยวทุกคนที่มา Theth Village มากกว่า 90% มีจุดหมายปลายทางที่ Blue Eye ต้องขับรถออกจากจุดที่เราพักไปอีก 7 กม. เข้าไปในเขตพื้นที่ Theth National Park เป็นทางเขาคดเคี้ยว รถเยอะทั้งรถเล็กรถใหญ่ยันรถบัส ขับระวังๆหน่อย จากนั้นต้อง Trekking ไปอีก 3 กม. แต่ Trekker หลายคนบอกว่า 3 กม.มันน้อยไป ก็เลยเดินจาก Theth Village ไปเลยก็มีเยอะ รวมระยะทาง 10-12 กม. เดินไปเดินกลับทั้งวันแหละ เหมาะกับคนที่มานอนหลายคืน

คนทั่วไปก็จะนั่งรถไป มีถนนไปจนสุดทางเป็นลานจอดใหญ่เลย ซึ่ง…พวกเราดันจอดรถที่ชุมชนเล็กๆก่อนถึงจุดจอดด้วยความเข้าใจผิด เพราะมีบางรีวิวที่มาพักตรงนี้เลย มีที่พักอยู่ 2-3 ที่ เราก็เลยจอดตรงนั้น แล้วถามนักท่องเที่ยวที่เจอ ซึ่งพี่แกก็บอกว่าจอดตรงนี้แหละแล้วเดินไป ซึ่งก็คือเดินไปได้ แต่ต้องลัดเลาะไป ซึ่งไม่มีป้ายใดๆ แต่สุดท้ายเราก็โผล่เข้าไปในเส้นทางจนได้

ถนนมาสุดจุดจอดรถ เดินข้ามแม่น้ำไปทางซ้ายจะมีร้านอาหาร 2-3 ร้าน แล้วมีเส้นทางเดินเพื่อไป Blue Eye ได้เลย รูปนี้มาถ่ายตอนกลับลงมาก ก็แวะทานเที่ยงที่นี่ก่อนเดินกลับไปหารถที่จอดก่อนถึงจุดนี้



หลงทางแต่ไม่กลัวเพราะมีบ้านคนโผล่ๆอยู่เรื่อย ถามทางไปเรื่อยๆ เลาะรั้วบ้านนี้มุดรั้วบ้านนั้น
ข้ามเรื่องการเดินหลงไปเลยแล้วกัน เมื่อเข้าเส้นทางเดินปกติ ก็จะพอมีเพื่อนเดินให้ได้เจอเรื่อยๆ ทางเดินเป็นเส้นทางเดินขึ้นเขา ชันพอสมควร แต่คนสูงอายุก็มาเดินกันเยอะอยู่นะ เดินไปเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก มองวิว มองฟ้าไปบ้าง




ระยะทางจากจุดจอดรถไปถึงจุดหมายปลายทางประมาณ 2.5 กม. เดินๆหอบๆแบบเราใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ บวกหลงทางไปอีกสัก 15-20 นาที รวมระยะทางไม่ได้ไกลมาก อากาศเย็นสบาย พอเดินๆไปก็ร้อนเหงื่อแตกอยู่เหมือนกัน แต่พอไปถึง สวยงามคุ้มเหนื่อยแหละบอกเลย


เจอน้ำเขียวๆแบบนี้แต่ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทางนะ ต้องไปอีกหน่อย

มาไกลขนาดนี้อยู่ดีๆก็มีบ้านโผล่มา จากตรงนี้เลือกเดินได้จะไปทางซ้ายหรือทางขวา ถ้าเดินทางซ้ายจะไปด้านบนของ Blue Eye ได้มองเห็นมุมสูง และมีร้านเล็กๆที่สั่งเครื่องดื่มมาจิบไปพร้อมมองดู Blue Eye จากมุมบนได้สวยสุดๆ แต่ไม่สั่งอะไรก็ได้หรอกนะ แค่เดินผ่านมาดูก็ได้ มีบันไดให้ไต่ลงไปด้านล่าง แต่ถ้าเดินเลี้ยวขวา ทางก็จะตัดลงไปด้านล่างเลย เราเลือกเดินทางซ้ายแล้วกลับขึ้นทางขวา



ชื่อ Blue Eye ได้มาจากแอ่งน้ำที่มีสีฟ้าใส มองลงมาเหมือนดวงตาสีฟ้านั่นเอง แม้เราจะว่ามันสีเขียวก็ตามเถอะ น้ำใสมากๆเพราะเป็นน้ำไหลลงมาจากยอดเขา ใสและเย็น เย็นแบบแหย่เท้าลงไปเท้าชาทันที




เทคนิคการเอาน้ำประป๋องมาแช่น้ำตกขายนักท่องเที่ยวมีเหมือนกันทั่วโลก


พิชิต Blue Eye ได้ตามความตั้งใจ นั่งชื่นชมบรรยากาศได้ไม่นาน อากาศก็เปลี่ยนอีกครั้ง จากแดดสว่างๆ ฟ้าก็เริ่มหลัวออกอาการฝนจะตกอีก เลยต้องรีบเดินกลับไม่อยากเดินยากถ้ามันตกหนัก

พ้นทางเขาลงมาทางราบแล้วฝนก็ตกพอดี คราวนี้เดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่นไป ตัดลงไปทางจอดรถได้ทันก่อนฝนตกหนักพอดี เลยพักทานกลางวันรอฝนหยุด





Mission Completed เดินทางกลับ จากนี้เราจะย้อนลงไปพักแถบ Lheze วันนี้เที่ยวช้ากว่าแผนที่วางไว้ประมาณ 2 ชม.เพราะฝนตก แต่ไม่เป็นไรเพราะ วันนี้ไม่มีแผนแวะเที่ยวที่ไหน จะตรงไปที่พักแล้วพักผ่อนในที่พักเลย เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว



โบสถ์ระหว่างทางที่เห็นตั้งแต่เมื่อวานขาไป ตั้งใจแวะตอนขากลับ ไม่รู้ว่าชื่ออะไร รั้วปิดล็อคด้วยซ้ำ แต่เราชอบมาก ต้องจอดลงไปถ่ายรูป ถ้าได้เดินเข้าไปข้างในก็คงจะดี

ขากลับเราก็ต้องขับมุ่งหน้าไปทาง Shkoder เหมือนตอนขามา แต่ไม่เข้าไปในเมือง เลี้ยวออกไปทางใต้มุ่งหน้าเข้าเขต Lezhe ถนนพุ่งเข้าหา Shkoder Lake ที่กว้างใหญ่สุดๆ ตอนขามาเราไม่ได้เห็นเพราะอยู่ด้านหลัง



LEZHE
Lezhe เป็นชื่อเขตด้วยและมีเมืองหลวงชื่อ Lezhe ด้วย แต่ที่พักของเราคืนนี้ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง Lezhe แต่อยู่นอกตัวเมืองออกมาทาง Shkoder เป็นที่พักชื่อดังในแถบนี้ Mrizi i Zanave Agroturizëm เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ อารมณ์เหมือนฟาร์มโชคชัย มีทั้งที่พัก มีห้องอาหาร มีสวนผลไม้ สนผัก มีไร่องุ่น มีโรงบ่มไวน์ โรงบ่มชีส มีคอกเป็ด คอกม้า มีครบทุกอย่างของสวนเกษตร ห้องพักมีไม่มาก แต่ห้องอาหารใหญ่มาก คนมาเที่ยวกันเยอะ พาเด็กๆมาดูฟาร์ม มาเที่ยวชมไร่ชมสวน แล้วก็มากินข้าว วันที่เราไปพักเป็นวันอาทิตย์คนเลยเยอะเป็นพิเศษ ห้องพักเต็ม จองล่วงหน้ามา 2 เดือนได้ห้องสุดท้ายที่เป็น Family room ราคาเลยแพงหน่อย แพงที่สุดในทริปแล้ว แต่ห้องพักดีมาก วิวก็ดี พนักงานดีเด่นทุกคน





Mrizi i Zanave Agroturizëm ห้องแบบครอบครัวนอนได้ 4-5 คน ราคาคืนละ 95€ รวมอาหารเช้า




วันเสาร์-อาทิตย์ นักท่องเที่ยวก็จะเยอะแบบนี้เลย
ห้องอาหารเดินลงเนินจากอาคารที่พักมานิดเดียว ต้องจองโต๊ะล่วงหน้า เพราะคนนอกเข้ามาทานกันเยอะ มักจะเต็ม อาหารมีแบบ Full course แต่เราเลือกได้ว่าจะเอาอะไรบ้าง พนักงานจะเดินมาอธิบายยาวเหยียด ว่าวันนี้มีอะไรบ้าง พนักงานดีมากบอกเราว่าให้เอาแค่ Appetizers กับ Starter ก่อน ถ้าไม่อิ่มค่อยเพิ่ม Main course ซึ่งก็จริง อิ่มมาก มื้อนี้แพงที่สุดในทริปเช่นกัน (ประมาณ 4000 Lek)










Appetizer มาอย่างเยอะ ทุกอย่างที่เป็นชีสอร่อยมาก พาร์มาแฮมก็ดี Starter เลือกเป็นพาสต้าชื่อแปลกๆแปลแล้วได้ความว่า Fresh blueberry and cranberry noodles ก็อร่อยดี main course ที่สั่งมาคือเป็ด สั่งมาจานเดียวแบ่งกัน อร่อยมากแต่อิ่มเกิน ไม่ไหว แต่อิ่มแค่ไหนก็ขอของหวานมาลอง ผลไม้ที่มากับไอติมคือเปรี้ยวมาก เปรี้ยวสุด ส่วนลูกกลมๆชื่อว่า Rose อะไรสักอย่างจำไม่ได้ สีแดงกลมๆคือน้ำแข็ง เคาะให้แตกข้างในเป็นเจลาโต้ อร่อยมาก ทุกอย่างเป็นผลิตภัณฑ์ในไร่



Day-6 ขับรถลงใต้เลาะเลียบทะเลเอเดรียติค Durres – Vlore
ตื่นเช้ามาฝนตกอีกแล้ว อากาศขมุกขมัวหน่อย แต่ฝนไม่หนัก ก็พอจะเดินเล่นชมฟาร์มได้อยู่ เดินลงไปทานอาหารเช้าก่อน อาหารหน้าตาคล้ายๆ Appetizer เมื่อคืนเลย แค่มีไข่ต้ม ไข่คน กับ ชา กาแฟ น้ำผลไม้ เพิ่มมาหน่อย










ตึกที่พัก สร้างด้วยหิน อยู่บนเนินด้านหลังร้านอาหาร ปลูกดอกไม้ ต้นไม้ ไปยันผลไม้ รอบๆอาคาร





เดินไปดูคอกแพะกันหน่อย เมื่อวานเด็กๆวนอยู่โซนนี้กันเยอะมาก มีคอกเป็ดคอกไก่ด้วย แต่ตอนเช้าหายไปไหนหมดก็ไม่รู้


ขับรถเข้าไปดูโรงบ่มชีสบ่มไวน์ เดินไปก็ได้ถ้าอากาศดีๆ แต่ฝนลงพรำๆเลยขับรถไป คนงานกำลังทำงานกัน ไม่มีใครสนใจเรา ที่เดินวนไปวนมา สักพักก็มีคนมากวักมือเรียกให้ลงไปใต้ดิน กลายเป็น Wine Cellar พนักงานกำลังจัดเตรียม Wine Tasting ให้กรุ๊ปทัวร์ เราก็เลยขอจัด Tasting ไปสักหน่อย เป็นไวน์ที่ผลิตเองในฟาร์ม








ลองชิมคนละตัวกับที่ได้ดื่มตอนอาหารเย็นเมื่อคืน สรุปว่าชอบตัวเมื่อคืนมากกว่า ขอชีสที่น้องสาวกำลังหั่นเตรียมให้กรุ๊ปทัวร์มาแกล้มไวน์ น้องสาวบอกว่าชีสตัวนี้ผสมพริกเป็น Chilli cheese แปลกดี


ชิมไวน์เสร็จน้องสาวเลยพามาเปิดห้องเก็บชีสให้ชม มันเยอะมาก น่ากินสุดๆ

ก่อนกลับก็เลยแวะช็อป ซื้อของที่ระลึกกลับสัก 2 ขวด

น้องตามมาส่ง

ออกจากที่พักพร้อมฝนที่ลงพรำๆไปตลอดทาง ที่คิดไว้ว่าจะแวะเที่ยวชมเมือง Lezhe สักหน่อยก็เลยเปลี่ยนใจไม่แวะ ขับตรงไปจุดหมายต่อไปของวันนี้ที่เมือง Durres เลย โดยขับกลับไปทางเดิมตรงไป Tirana แต่จะมีทางแยกขวาไปเมือง Durres ระยะทาง 85 กม. ตามแผนคือไปแวะเที่ยวชมในเมืองกับทานเที่ยงที่ Durres แล้วไปต่อ จากนี้จะขับเลาะเลียบทะเลไปเที่ยว Albania Riviera ต่อตอนที่ 3

Leave a comment