ALBANIA Trip : September 2023
Hello Albania ตอน 1 เที่ยวเมืองหลวง Tirana กับเมืองโบราณ Kruja
Hello Albania ตอน 2 ขึ้นเหนือไปเที่ยวเขา (Shkoder, Theth, Lezhe)
ปีนเขาไปเที่ยวน้ำตกที่ Theth แล้วลงมาพักในไร่ที่ Lezhe ชิมไวน์แกล้มชีสอร่อย จากนี้ขับรถลงใต้ไปเมืองริมทะเล Durres แล้วขับเลาะเลียบริมทะเลเอเดรียติค ที่ว่ากันว่าสวยงามไม่แพ้ถนนเลียบทะเลอื่นๆในยุโรป ผ่านเมืองใหญ่ เมืองเล็ก ทีชายหาดให้แวะเที่ยวได้ตลอดทาง จนได้ฉายาว่า Albanian Riviera
Day-6 ขับรถลงใต้เลาะเลียบทะเลเอเดรียติค Durres – Vlore
กว่าจะได้ออกจากที่พักที่ Lezhe ก็ 11 โมงแล้ว มัวแต่ไปเดินชมฟาร์ม ชิมชีส ชิมไวน์ พอเริ่มออกรถฝนตกมาอีก ทำให้ขับได้ค่อนข้างช้า จุดหมายแรกที่จะไปคือเมือง Durres ระยะทาง 85 กม. แวะเที่ยวและกินข้าวเที่ยง จากนั้นขับรถเลียบทะเลต่อลงไปถึง Vlore

DURRES
จาก Lezhe ถึง Durres ระยะทาง 85 กม เป็น State Road อย่างดี แต่ฝนตกรถก็ติด ที่ควรขับถึงใน 1 ชม. กลายเป็นเกือบ 2 ชม.

Durres เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ อยู่ติดทะเลเอเดรียติค เป็นเมืองชายทะเลยอดนิยมเพราะอยู่ใกล้เมืองหลวง Tirana เทียบเคียงได้กับกรุงเทพฯ-พัทยา นักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันเยอะ คนแอลเบเนียเองก็นิยมขับรถไปเที่ยวในหน้าร้อนกัน มีชายหาดยาวพร้อมเก้าอี้ชายหาดให้นั่งเล่นนอนเล่น มีท่าเรือใหญ่ที่มีเรือโดยสารข้ามไปอิตาลีได้ด้วย

มาถึงเมืองชายทะเลแรกในทริปกับบรรยากาศอึมครึม แดดไม่มี ทะเลก็เลยดูหม่นหมองไปหน่อย เอารถไปจอดที่ลานจอดรถฟรีตรงริมหาด แล้วเดินเที่ยว เริ่มต้นที่ Beach Promenade ทางเดินริมหาด วาดหวังจะมาเดินถ่ายรูปทะเลเอเดรียติคสีสวยๆ แต่ได้ทะเลสีเทาๆ หาดทรายชื้นๆดำๆ ทางเดินอ้างว้างไร้ผู้คน


Durres Beach Promenade ทางเดินริมหาด ในวันที่เงียบเหงา


Sculpture : Sea shell & Roots

Ventus Harbor โรงแรม 4 ดาว และห้องอาหารนานาชาติ



Promenade Park (Shëtitorja “Vollga”)
จากริมชายหาดข้ามถนนเดินเข้าไปเที่ยวในเมือง เริ่มที่ Venetian Tower แล้วแอบเดินตามกลุ่ม walking tour ไปตามถนน Bulevardi Epidamn ตรงไปทาง Fatih Mosque (Xhamia e Madhe) ซ้ายมือคือไฮไลต์ของเมือง Durres Amphitheatre แล้วเดินลอดกำแพงเมืองเก่าเลาะตามแนวกำแพง วนกลับที่จอดรถ ลมเริ่มแรงเหมือนพายุจะเข้า เลยแวะกิน Shawarma ร้านป้าริมถนนอย่างรีบด่วน แล้วขึ้นรถรีบออกเดินทางต่อก่อนฝนถล่ม




วงเวียน Rodon Monument กับ Mujo Ulqinaku monument และปืนใหญ่ ด้านหน้า Venetian Tower

Veliera Square เป็น New Modern Installation ของ Durres ที่ไม่เข้ากับสิ่งก่อสร้างรอบๆเอาเลย




Venetian Tower และแนวกำแพงเก่า




เดินไปตาม Bulevardi Epidamn เต็มไปด้วยตึกเก่าสวยๆที่ตอนนี้เป็นร้านอาหาร ร้านขายของ มองเห็น Fatih Mosque (Xhamia e Madhe) ที่ปลายถนน



Durres Amphitheatre เดินดูรอบๆไม่เสียเงิน แต่ถ้าอยากเข้าไปเดินด้านในเสียค่าเข้า 300 Lek



The southern gate of the Castle (Porta jugore e Kalasë) ประตูเมืองมีหลายประตูตามแนวกำแพงเมืองเก่า



Shawarma ของป้าสั่งมากินแบบเร่งด่วน

ออกรถพร้อมสายฝนเริ่มโปรย เวลาบ่าย 2 โมงแต่บรรยากาศเหมือน 6 โมงเย็น
จุดหมายต่อไปคือแวะเที่ยว Apollonia ที่เมือง Fier ก่อนจะถึงเมือง Vlore จุดหมายในคืนนี้ ขับรถจาก Durres ไปตามถนนไฮเวย์ SH4 วิ่งสบายๆ ระยะทาง 85 กม. มีทางแยกเข้าไปอีก 3.5 กม. แผนเที่ยววันนี้ช้ากว่าที่คาดเพราะฝนตกช่วงเช้า มาถึง Apollonia เย็นไปนิด แต่เพราะเที่ยวหน้าร้อนมันปิดช้าเพราะมืดช้านั่นแหละก็เลยยังได้เที่ยว มาถึงเอาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว แต่นักท่องเที่ยวก็ยังเยอะอยู่ ไม่ได้เงียบเหงาเหมือนทางเข้ามาที่แทบไม่เจอรถเลย




Apollonia Archaeological Park เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ที่มีร่องรอยของสิ่งก่อสร้างจากฝีมือชาวกรีกโบราณ ตั้งแต่ยุค 600 ปี ก่อนคริสต์กาล มีบันทึกบอกว่าที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญ เพราะมีทางออกสู่ทะเลได้ ต่อมาเสียหายหนักจากแผ่นดินไหวก็เลยถูกทิ้งร้างไป ยังมีร่องรอยแนวรั้วแสดงขอบเขตพื้นที่ของเมืองยาวกว่า 3 กม. มีค่าเข้าชม 600 Lek มีทั้งส่วนเป็นพิพิธภัณฑ์และส่วนร่องรอยและซากหักพังของสิ่งก่อสร้างต่างๆ ดูแผนที่แล้วเดินไปตามหมายเลขที่สนใจ มาช่วงเย็นๆก็ดีที่อากาศไม่ร้อน เดินสบายมาก







เขต Museum & Monastery มีโบสถ์ Saint Mary Church อยู่ตรงกลาง



ด้านในเก็บรวมรวมศิลปะที่ขุดค้นได้จากหลายๆที่มารวบรวมให้ชม




Triumphal Arc ส่วนหน้าของ ฺBouleuterian & Odeon โรงแสดงละครและดนตรี & The Obelisk ขนาดเล็กๆ



กลับเกือบเป็นกลุ่มสุดท้ายเลย

ออกจาก Apollonia มุ่งหน้าไปเมือง Vlore
VLORE
ที่พักของเราวันนี้อยู่เมือง Vlore เลือกที่พักใกล้หาด วางแผนจะไปถึง Vlore ช่วงบ่ายแก่ๆ จะมีเวลาไปเดินเล่นในเมือง ไปดูย่านเมืองเก่าสักหน่อย แต่อย่างที่บอกว่าผิดแผนไปหน่อย กว่าจะไปถึงที่พักก็เย็นแล้ว
Villa Blue Eye Aparthotel เป็นห้องพักแบบโรงแรมเล็กๆมี 3 ชั้น จากถนนเลียบริมหาดต้องเข้าซอยไปประมาณ 200 ม. แต่หาทางเข้าไม่เจอขับรถวนไปวนมา แต่ Host ดีมาก WhatsApp มาถามตลอดว่าอยู่ตรงไหน หาเจอมั๊ย สุดท้ายเธอบอกให้จอดเดี๋ยวเธอเดินไปหา พาขับเข้าไปถึงที่พัก ตอนจองเราเลือกห้องชั้น 3 มาเพราะอยากได้ระเบียงชมวิวทะเล แต่เปลี่ยนใจเอาห้องชั้นล่างเลยเพราะขี้เกียจแบกกระเป๋าขึ้นบันได อยากดูวิวเดินออกไปนิดเดียวก็เห็นแล้ว ห้องขนาดมาตรฐาน สะอาดเรียบร้อยดี Host ผู้หญิงเอาเบียร์มาแถมให้ 2 กระป๋องด้วย พอตอนเช้าเดินออกมาหากาแฟกิน เจอพี่ผู้ชายชงกาแฟอยู่ซุ้มหน้าบ้าน ก็เลยอุดหนุนกาแฟคนละแก้วเอามากินกับขนมปังที่ซื้อไว้เป็นเสบียงติดรถ แต่พี่แกไม่เอาเงินได้กินกาแฟฟรีแต่เช้าเลย น่ารักมากที่นี่





Villa Blue Eye Aparthotel ราคาห้องละ 31 € ต่อคืน

น่าเสียดายที่มีก่อสร้างอยู่ด้านหน้า อีกไม่นานคงมีตึกขึ้นมาบังวิวทะเลจนหมด
Vlore เมืองใหญ่ในแถบริมทะเลเอเดรียติคทางตอนใต้ของแอลเบเนีย ไม่ได้มีเวลาไปเดินชมเมือง เพราะมาถึงเกือบมืดแล้ว แต่ได้เดินเล่นตามริมทางเดินหาด มีคนมาเดินเล่นกันพอสมควร ทางเดินเป็นทางปูหินอย่างดีอยู่ติดหาด มีถนนกั้นแล้วถึงเป็นแนวอาคาร ร้านอาหารต่างๆ เดินเล่นกันจนมืดก็วนกลับมาแวะหาอาหารเย็นทาน วันนิอากาศหนาว ลมแรงเหมือนลมฝนแต่ฝนไม่ตกแล้ว หวังว่าพรุ่งนี้อากาศจะดีขึ้น





มีช่องทางจักรยานอย่างดี มีคนมาปั่นกันจนดึกจนดื่น
Day-7 Albania Riviera [Vlore – Llogara Pass – Himara – Sarande]
ตื่นเช้ามาฟ้ายังไม่ค่อยสดใสเมฆเยอะ ออกไปเดินริมทะเลสักหน่อยก่อนจะออกจากเมือง ชายหาดไม่ได้สวยอะไรมากมาย แต่ถ้าแดดดี ทะเลน่าจะสีสวยมาก น่าเสียดายไม่มีเวลาได้เที่ยวในเมือง Vlore เลย






วันนี้จะขับรถเลาะเลียบทะเลเอเดรียติคลงใต้ไปอีก เลือกขับไปตามเส้นทาง SH8 ผ่าน Llogara Pass จุดชมวิวที่เห็นแนวชายหาดได้สวยงามอีกด้านก็เป็นเชิงเขามีถนนคดเคี้ยวตัดผ่าน




Vlore มีหาดเยอะแยะมากมาย ขับออกจากที่พักของเราที่อยู่ในเมืองออกมา จะเจอที่พักสงบๆสวยๆตามหาดต่างๆตลอดทาง



ออกมา 15 กม.จะเจอ Okum beach มี Yacht Dock ด้วย เช้าๆไม่มีคนเลย


ALBANIAN RIVIERA
“Riviera” เป็นคำในภาษาอิตาลี แปลว่า “แนวชายฝั่ง” หรือ “ท่าน้ำ”
ม.ล.อัจฉราพร ณ สงขลา – Posttoday.com
แต่คำว่า “Riviera” ที่เข้าใจกันในภูมิศาสตร์การท่องเที่ยว จะหมายถึงแนวชายฝั่งทะเล Mediterranean เริ่มจากเมือง La Spezia ของอิตาลีติดต่อยาวเรื่อยไปถึงเมือง Marseille ของฝรั่งเศส มีความยาวของฝั่งเชื่อมรวมกันแล้วประมาณ 500 กม.

ถ้าพูดถึงริเวียร่า | Riviera คนมักจะนึกถึงแนวชายฝั่งอิตาลีหรือฝรั่งเศส ในแอลเบเนียก็มี Albanian Riviera อยู่เหมือนกัน มีลักษณะทางภูมิศาสตร์คล้ายๆกัน คือฝั่งหนึ่งเลาะเลียบเขา อีกฝั่งหนึ่งเป็นแนวชายฝั่งทะเลเมอดิเตอร์เรเนียน ความสวยงามทางธรรมชาติก็ไม่ได้ด้อยกว่าอิตาลีหรือฝรั่งเศสมากนัก แต่ความหรูหรายังห่างกันหลายเท่านัก
Albanian Riviera ภาษาแอลเบเนียนเรียก Bregu กำหนดกันไม่ตายตัวนักว่าตรงไหนถึงตรงไหน แต่ถ้าบอกกว้างๆก็จะเป็น แนวชายฝั่งจาก Vlore ยาวลงไปถึง Sarande
Photo : Observatory of Mediterranean Basin / Albanian Riviera
ถ้ากำหนดละเอียดลงไปอีก Albanian Riviera จะเริ่มต้นจากหมู่บ้าน Palasë ไปถึงหมู่บ้าน Lukovë
Photo : Observatory of Mediterranean Basin / Albanian Riviera

พวกเราจะขับรถเลียบชายฝั่ง Albanian Riviera จาก Vlore ไปสุดที่ Sarande ในวันเดียว แวะเที่ยวตามชอบ มีหมู่บ้านเล็กๆตามรายทางมากกว่าสิบหมู่บ้าน ตั้งเป้าแวะกินอาหารกลางวันที่เมือง Himare เมืองใหญ่สุดในเส้นทาง และอยู่ประมาณกลางทางพอดี


มุ่งหน้าไปที่ภูเขาเพื่อเข้าสู่ถนนลอยฟ้า


Llogara Pass จุดชมวิวบนถนนลอยฟ้า SH8 วันที่อากาศดีฟ้าใสมองเห็นฝั่งอิตาลีได้เลย เพราะอยู่ตรงข้ามกัน วันนี้ฟ้าไม่ใส เมฆหมอกลอยฟุ้งไปมา ต้องคอยจังหวะฟ้าเปิดถ่ายรูปได้เป็นช่วงๆ ถ้ามีเวลามาก สามารถปีนเนินเขาฝั่งตรงข้ามขึ้นไปได้อีกด้วยนะ










ถนนคดเคี้ยวเลาะเลียบเทือกเขาไปแบบนี้ตลอดทาง

Dhermi หนึ่งในเมืองตามแนว Albanian Riviera ที่เราว่าน่ารักมากๆ จนต้องแวะจิบกาแฟสักหน่อย เจอร้านที่เต็มไปด้วยลุงๆนั่งสภากาแฟกัน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่ก็สื่อสารกันจนได้ Espresso shot มา


ถ้าไม่ขับรถเที่ยว ก็เดินทางได้ แต่ต้องมารอรถตามจุดจอดแบบนี้







Vuno หมู่บ้านเดียวใน Albanian Riviera ที่มีไฟจราจรและเจอรถติด ไม่ใช่ว่าคนหรือรถหนาแน่น แต่เพราะถนนแคบเป็นคอขวด ขับผ่านได้ทีละคัน สวนกันไม่ได้ ก็เลยต้องมีไฟจราจร รอ 3 ไฟแดงถึงผ่านได้




The memorial of the fallen heroes of Vuno / Church of Saint Peter’s
Himare เมืองใหญ่บนเส้นทาง Albanian Riviera เป็นจุดพักครึ่งทางของนักท่องเที่ยว มีที่พักและร้านอาหารเยอะ มีชายหาดยาวและกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง




Church of Shën Mëri of Athal, Himarë
มื่อเที่ยงแวะทานเที่ยงที่ Himare ตามแผน มื้อนี้เลือกกินง่ายๆที่ร้าน Pizza ร้านแบบนี้มีขายทั่วไปในแอลเบเนีย ไม่ได้ขายแต่พิซซ่า มีพายอีกหลากหลายชนิด มีคำอธิบายภาษาอังกฤษอยู่ให้พอเข้าใจ อย่างเช่นเราสั่ง Hotopita (Traditional Pie with Greens, Cheese Egg) อ่านส่วนผสมแล้วก็คิดว่ากินได้









จุดหมายต่อไป ออกจาก Himare มาไม่ไกล ในอ่าว Porto Palermo ป้อมปราการ The Castle of Porto Palermo อยู่บนเกาะเล็กๆ แต่มีถนนเข้าไปถึงได้ ไม่ต้องนั่งเรือ








Palermo Beach
The Castle of Porto Palermo ป้อมปราการรูป 3 เหลี่ยม มีป้อมปราการ 3 ป้อมอยู่แต่ละมุม ได้รับการดูแลอยู่ในสภาพดี มีค่าเข้าชม 300 Lek บันทึกบอกว่าสร้างมาในช่วงปี 1804 ใช้เป็นป้อมปราการป้องกันเมือง Himare ในช่วงสงครามโลกเคยใช้เป็นค่ายทหารและคุก















ขับมุ่งหน้าลงใต้ไป Sarande เป้าหมายของวันนี้ ตลอด Albanian Riviera ถนนยังสวยไปตลอดทาง ซ้ายเป็นเทือกเขา ขวาเป็นทะเลสีสวย




SARANDE



Sarande เมืองใหญ่ทางตอนใต้ของแอลเบเนีย เป็นเมืองตากอากาศริมชายฝั่งทะเล Ionian Sea ที่คนมาเที่ยวกันตลอดปี มีชายหาดหลายหาด ที่ดังสุดคือ Ksamil Beach อยู่ทางใต้ติดกับเมืองโบราณ Butrint ในตัวเมือง ถ้าเป็นแนวประวัติศาสตร์ก็ต้องซากเมืองโบราณ Butrint

มาถึงตัวเมืองตอนบ่ายๆตามแผน จะรีบเข้าไป Chk-in ก่อน วันนี้จองห้องพักเป็น Apartment with Sea view อยู่ใกล้ทะเล เดินไปไม่ไกลจะเป็นทางเดินริมทะเล แต่พอไปถึงหน้าตึกติดต่อ Host ได้รับคำตอบว่าห้องไม่พร้อม เสนอห้องพักที่อื่นให้ เซ็งมาก ห้องพักใหม่เป็น Apartment เหมือนกันแต่อยู่ห่างออกไป ไม่ได้อยู่ในย่านท่องเที่ยวเลย ห้องดี แต่ไม่มีวิวใดๆ ตอนแรกจะเก็บเงินเราเท่าเดิม ต้องท้วงว่าเช็คในเวปแล้วมันถูกกว่านะ ที่รู้สึกแย่มากๆคือไม่แจ้งมาก่อนเลย ถ้ารู้ก่อนตอนขับรถมา มีเวลาให้ Search หาที่พักใหม่ได้




Daniel’s Apartment ห้องพักราคา 23 € ต่อคืน (เดิมจอง Sea View Apartments Saranda ราคา 35 € ต่อคืน)


เสียอารมณ์กับที่พักนิดหน่อย แต่ไม่อยากวุ่นวายหาที่พักใหม่ เพราะวันนี้มีแผนจะไปเที่ยวที่ Butrint Archaeological Park ต้องขับรถออกจากตัวเมืองไปอีก 18 กม. ทางไปจะผ่าน Ksamil Beach หาดดังที่สุดในย่านนี้ และไปสุดปลายทางที่ Butrint



จากตัวเมือง Sarande จะผ่านชายหาดชื่อดัง Ksamil ที่เราว่าดูเหมือนหาดป่าตองบ้านเรา ก็เลยไม่ได้แวะเที่ยว

Lake Butrint (World Heritage site and Ramsar Wetland of International Importance)




ถนน SH81 มาสุดทางที่ลานจอดรถหน้า Butrint National Archaeological Park แต่มีแพข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้อีก



เอารถข้ามช่องแคบ Channel of Vivari ไปเที่ยวชม Venetian Triangle Castle ได้ ตัวปราสาทสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 โดยพวก the Venetians ในช่วงสงครามระหว่าง Venetians และ Ottomans
Butrint อยู่ทางใต้ของแอลเบเนีย ลงไปเกือบถึงชายแดนประเทศกรีซ มีเกาะใหญ่ที่มองเห็นได้ไม่ไกลนักคือเกาะ Corfu ของกรีซ นักท่องเที่ยวที่เที่ยวกรีซและลงมาเที่ยวที่เกาะ Corfu มักจะพ่วงการข้ามมาเที่ยว Butrint ไปด้วย
Butrint National Archaeological Park
ซากเมืองโบราณ Butrint สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสตกาลโดยชาวกรีก ต่อมาโดนยึดครองโดยจักรวรรดิโรมัน ตามด้วยเวเนเชี่ยน (venetians) และออตโตมัน (Ottoman) ที่นี่จึงหลากหลายไปด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานหลายรูปแบบ


ค่าเข้า 1000 Lek แพงสมกับเป็นมรดกโลก (แต่แปลงเป็นเงินไทยแค่ 300 กว่าบาทเอง) บนป้ายบอกว่ามีวันเข้าฟรีด้วย เช่น 18 เมษายน International Monument Day หรือ 18 พฤษภาคม International Day of Museum



ร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองโบราณถูกพบครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1928 แต่กว่าจะได้มีการขุดค้นอย่างเป็นทางการก็หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ.1956 ได้รับการบูรณะและดูแลรักษาอย่างดี จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1992 แม้การขุดค้นจะทำได้เพียง 15% แต่ก็กินพื้นที่ 95 ตร.กม.

Venetian Triangle Castle ที่เกาะตรงข้าม


Venetian Tower



Sanctuary Of Asclepius วิหาร Asclepius เทพเจ้าแห่งการแพทย์ ใช้เป็นที่รักษาผู้ป่วยตามความเชื่อด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยปลากับเต่า

Roman Theater ที่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราชโดยชาวกรีกใช้เป็นที่ทำการประชุมเมือง และใช้ทำพิธีสำคัญต่างๆทางศาสนา มีหลักฐานว่ามีการต่อเติมอัฒจรรย์ให้ใหญ่ขึ้นอีกพร้อมสร้างเวทีการแสดงในคริสต์ศตวรรษที่ 2 เป็นยุคของอาณาจักรโรมัน


Roman Baths โรงอาบน้ำโบราณ ใช้การผันน้ำจากช่องแคบวิวารีเข้ามา

Baptistery สถานที่ทำศีลจุ่ม มีพื้นกระเบื้องโมเสคเป็นรูปวงกลม 7 วง แต่ตอนนี้มีการคลุมปิดเพื่อป้องกันความเสียหาย จะเปิดให้ชมแค่ปีละ 1-2 ครั้ง (รูปพื้นโมเสคสวยๆอยู่ที่หน้าแผ่นพับ ➡️แผ่นพับ)

Gymnasium โรงยิมโบราณที่ชาวโรมันใช้ฝึกซ้อมร่างกาย




The Great Basilica หนึ่งในไฮไลต์ของที่นี่ เพราะมองเห็นโครงสร้างใหญ่โต พอให้จินตนาการยามเมืองรุ่งเรืองได้ว่า ใหญ่โตสวยงามแค่ไหน


The Lion Gate ที่ทำไมเรามองเหมือนหมูป่า

Venetian Acropolis Castle



Acropolis อยู่บนเนินเขาที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีในการปกป้องเมือง ด้านหลังจะเป็นจุดชมวิวสวยงาม และมีหัวของเทพเจ้า ที่ขุดพบด้านหน้าโรงละคร (a statue of the head of the Goddess of Butrint)
ใช้เวลาเดินวนจนคิดว่าทั่วพื้นที่เกือบ 2 ชม. ข้อดีของการเที่ยวหน้าร้อนคือมืดช้า ออกมา 6 โมงเย็นยังสว่างอยู่เลย | หน้าร้อน 15 พฤษภาคม – 30 กันยายน เปิด-ปิด 9:00-19:00 นอกนั้น เปิด-ปิด 8:00-16:00



ออกมานั่งดูลุงตกปลาตรงท่าเรือ ลุ้นแทบแย่ได้ปลาตัวกระจิ๊ด
ตอนเย็นกลับมาเดินเล่นในตัวเมือง วนไปวนมาหาที่จอดรถยากมาก ทำให้นึกโกรธเจ้าของที่พักขึ้นมาอีก เพราะตั้งใจจองที่พักกลางๆเมืองเพื่อจอดรถแล้วเดินไปเที่ยวได้สบายๆ กลายเป็นต้องมาวนหาที่จอด ก็หาจนได้ แล้วเดินไปเที่ยวเล่นบนทางเดินริมหาด ที่ผู้คนมาเดินเล่นกันตั้งแต่บ่ายๆยันมืด ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมือง


น้ำทะเลใสๆ ก็โดดลงเล่นน้ำมันตรงร้านอาหารกันเลย





The Promenade of Sarande มีคนมาเดินเล่นนั่งเล่นกันคึกคักตั้งแต่เย็นๆ

ถ้าได้ที่พักตามที่จองมา ก็แค่จอดรถแล้วเดินขึ้นลงมาริมหาดตามทางนี้ได้เลย
Pirate of the Caribbean ก็มีด้วย



เที่ยวแอลเบเนียมา 7 วัน จากเหนือสุดลงมาใต้สุด จากนี้จะขับตัดเข้าตรงกลางไป Gjirokaster วนขึ้นไป Berat แล้วกลับเข้า Tirana ต่อตอน 4 ตอนสุดท้าย > เที่ยว 2 เมืองมรดกโลก Gjirokaster – Berat <

Leave a comment