Trip Blossom Pakistan : Apr. 2024
ปากีสถาน ดอกไม้บาน และธารน้ำแข็ง ตอน 1
Day-0 วันเริ่มต้นการเดินทาง ใช้บริการการบินไทย บินตรงกรุงเทพฯ-ละฮอร์ (ทำไมไม่บินลงเมืองหลวงอิสลามาบัด? ก็มันแพง น่าจะเพราะเป็นวันหยุด) TG-345 เครื่องลงที่สนามบินละฮอร์ตอนเวลาสีทุ่มครึ่งของปากีสถาน (เวลาเร็วกว่าไทย 2 ชม.) แผนวันนี้คือ นั่งรถจากละฮอร์ไปเช้าอิสลามาบัดเลย คือนอนไปบนรถนั่นแหละ เปิดประเดิมก็ปวดหลังกันเลย ฮา…..


🚌 ➡️ ✈️ จากละฮอร์ขึ้นไปอิสลามาบัด 350 กม. ใช้เวลาประมาณ 4 ชม. เป้าหมายคือสนามบินอิสลามาบัด (Islamabad International Airport) เพราะพวกเราจะบินต่อไป Skardu เมืองทางเหนือของปากีสถานกัน ไปถึงสนามบินแล้วยังต้องสวดมนต์ภาวนากันด้วย เพราะว่ากันว่าเที่ยวบินในประเทศเลื่อนและยกเลิกกันบ่อยมาก ถ้าเที่ยวบินยกเลิก พวกเราต้องเปลี่ยนแผนการเที่ยวกันใหม่หมด แต่พวกเรามากับดวง เที่ยวบินก่อนเรายกเลิกหมด มาบินได้ที่เที่ยวบินพวกเรา โชคดีที่สุด ในที่สุดก็ไปถึงเมือง Skardu ตอน 11 โมงเช้า

SKARDU

Day-1 วันนี้เที่ยวแถบ สการ์ดู | Skardu District ที่อยู่ในเขตปกครองพิเศษกิลกิตบัลติสถาน | Gilgit-Baltistan การแบ่งพื้นที่ปกครองของปากีสถานก็จะดูงุนงงหน่อยๆ เอาเป็นว่าทริปนี้พวกเราจะเที่ยวกันอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือ แถบเขตปกครองพิเศษกิลกิตบัลติสถาน | Gilgit-Baltistan เป็นหลัก เป็นเขตที่มีพื้นที่ทางตอนเหนือติดกับประเทศจีน และทางตะวันออกติดกับอินเดีย
Skardu District เรียกแบบไทยๆว่าอำเภอสการ์ดู ล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูง ลงจากเครื่องก็จะเห็นยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมล้อมรอบสนามบิน แถบนี้มียอดเขาสูงติดอันดับโลกถึง 14 ยอด รวมทั้งยอดเขา K2 ที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากยอดเขาเอเวอร์เรสต์ด้วย ถ้าได้นั่งเครื่องมาจากอิสลามาบัด ให้เลือกนั่งทางขวามือ ตอนบินผ่านยอด K2 กัปตันจะประกาศบอกให้ดู แต่ก็ต้องแล้วแต่บุญวาสนาด้วย เพราะเราเองได้เห็นแค่ยอดหน่อยเดียว นอกนั้นเมฆบังหมด

อย่าลืมขอที่นั่งด้านขวามือ เพื่อจะได้เห็นยอด K2 (ถ้าบุญพาฟ้าเปิดนะ)
สรุปรายการเที่ยววันนี้ได้ตามนี้ Skardu Airport > Katpana Desert / Katpana Lake > Lunch > Sarfaranga Dessert (Cold Dessert) > Shigar Valley View Point > Shigar Fort > Hotel in Skardu [ตามโปรแกรมแล้ว จะไปจบวันที่ ทะเลสาบแซทพารา | Satpara Lake ทะเลสาบสุดสวย แต่สมาชิกพร้อมใจกันขอข้ามโปรแกรม เพราะดูป้อมปราการเสร็จก็ 5 โมงเย็น กว่าจะไปถึงทะเลสาบก็น่าจะมืดหรือโพล้เพล้ พวกเราอาบน้ำครั้งสุดท้ายกันเมื่อเกิน 24 ชม.แล้ว ไม่ไหวจริงๆ จึงตกลงใจไปเข้าที่พักกันเลย]

Katpana Lake & Katpana Desert เป็นทะเลสาบขนาดไม่ใหญ่ แต่จุดเด่นคือภาพสะท้อนของภูเขาหิมะ คล้ายๆกับที่ Fairy Meadow ทะเลสาบอยู่ในเขตพื้นที่ของทะเลทรายเย็น (Cold Desert) ด้วย จึงมีเนินทรายอยู่ด้วย มีคนปากีสถานมาเที่ยวกันพอสมควร บางคนก็ปีนเนินทรายเล่น บางกลุ่มก็มาถ่ายรูปกับทะเลสาบ แล้วก็มีเด็กๆชาวบ้านแถวนั้นเยอะเลย น่ารักมาก คุยเก่งด้วย







นักท่องเที่ยวทั่วไปชอบไปเที่ยวปากีสถานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มีค. – พค.) เพราะเป็นช่วงที่ดอกไม้บานก่อนที่จะกลายเป็นผลผลิตในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่ชอบการเดินป่าขึ้นเขาก็จะนิยมไปในช่วงฤดูร้อน (มิย. – สค.) พวกเราเลือกมาช่วงดอกไม้บาน แค่วันแรกก็ประทับใจกับการได้นั่งทานอาหารเที่ยงล้อมรอบด้วยต้นเชอรี่ ต้นแอ้ปเปิ้ล ต้นพีช ที่ดอกกำลังบานเต็มที่





เชอรี่ / แอปเปิ้ล / พีช



มื้อแรกของทริปเป็นอาหารปากีสถานปนอาหารจีน อาหารปากี ก็จะคล้ายๆอาหารอินเดืย มีแป้งนานกับแกงไก่หรือแกงแกะ แกงผัก และผักสด ซุปข้นๆแบบซุปเสฉวน และไก่ทอด ปลาทอด กับข้าวเม็ดลีบๆยาวๆ (และจะเจออาหารหน้าตาประมาณนี้ไปทุกวัน) อาหารใช้ได้แต่ไม่เท่าบรรยากาศ นั่งกินข้าวในสวนที่ล้อมรอบด้วย ต้นเชอรี่ แอปเปิ้ล พีช ที่กำลังออกดอกเต็มต้น


Sarfaranga Cold dessert ชื่อทะเลทรายเย็นเพราะอากาศแถบนี้หนาวเย็นตลอดปีด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเล +2,226 ม. จึงได้รับตำแหน่งทะเลทรายเย็นที่อยู่สูงที่สุดในโลก (The highest cold desert in the world) ในฤดูหนาวบางครั้งก็มีหิมะลงมาปกคลุมบนผืนทรายด้วย แปลกมาก ทะเลทรายเย็นผืนใหญ่ล้อมรอบด้วยหุบเขาจาก Khaplu Valley ไปจนถึง Nubra Valley ใน Ladakh และหุบเขาใน Shigar Valley ไปจนถึง Zanskar mountain range ในเขตแคชเมียร์ แต่พื้นที่ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในแถบ Shigar Valley, Skardu นี้เอง รถของพวกเราขับบนเส้นทาง Shigar road ที่ตัดผ่านผืนทะเลทรายเย็น จอดรถลงเที่ยวเล่นกันหน่อย ปกติจะได้นั้งจี๊บแล้วขับฉวัดเฉวียนในทะเลทราย แต่วันนี้จี๊บไม่มีบริการ สาเหตุเพราะเมื่อวานเกิดอุบัติเหตุ วันนี้เลยโดนสั่งหยุดบริการ




Shigar Valley View Point จากทะเลทรายเย็นนั่งรถต่อไปตาม Shigar road ไต่ขึ้นไปบนเขา จนถึงจุดชมวิวสวยๆที่รถจอดให้พวกเราลงไป ถ่ายรูปกันได้ จากจุดนี้มองลงไปจะเห็นแม่น้ำ Shigar กับผืนทะเลทราย เสียดายว่าวันนี้ฟ้าปิด เมฆเยอะ บรรยากาศอึมครึมไปหน่อย




ออกจากจุดชมวิว นั่งรถต่อไปจนเข้าเขตเมือง Shigar ผ่านสนามกีฬาที่กำลังมีการแข่งโปโล หนึ่งในกีฬายอดนิยมของชาวปากีสถาน เมืองดูขนาดไม่ใหญ่มาก แต่สนามกีฬามีคนมาดูแข่งโปโลกันเยอะมาก






Khilingrong Mosque
Shigar Fort ป้อมปราการชิการ์ เป็นป้อมปราการของผู้ปกครองเมืองเมื่อกว่า 400 ปีก่อน ในยุค Amacha Dynasty ตัวป้อมปราการไม่ได้ใหญ่โต เดินดูด้านใน 3 ชั้นแป๊บเดียวก็ทั่ว แต่ด้านนอกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีสวนที่ตอนนี้มีดอกไม้บานเต็มต้น ก็เหมือนที่ร้านอาหาร คือต้นที่ดอกขาวๆคือ เชอรี่ ต้นสีชมพูก็คือ พีช พอมันอยู่รวมกันเยอะๆก็สวยดี ยังคงเสียดายที่วันนี้ไม่มีแดด ปัจจุบันป้อมปราการชิการ์เปิดบางส่วนเป็นห้องพักโดยเป็นที่พักในเครือ Serena Hotel Group เครือโรงแรมชั้นนำของปากีสถาน










เที่ยว Skardu ครึ่งวันได้เท่านี้ ถ้ามีเวลามากกว่านี้ยังมีที่เที่ยวสวยๆให้ไปอีกหลายที่ เช่น Satpana Lake, Kaplu Valley, หรือใครเป็นสาย Trekking ก็มีเส้นทางเดินเขาสวยๆหลายที่ตั้งต้นจาก Shigar หรือ Kaplu
Pakistan Trip Day 1 – Skardu and Shigar – < https://youtu.be/VZ8fLeTP7hk?si=K7_GxUX-SJEqyKQE >
บทสรุปปากีสถานวันที่ 1
Katpana Lake & Katpana Desert (Cold Desert)
Sarfaranga Cold Desert
Shigar Valley View Point
Shigar Fort
อาหารกลางวัน : Himalayan Hotel อาหารปากีสถาน
อาหารเย็น : Hispar Hotel อาหารปากี+หมี่ผัดแบบจีน+ไข่เจียวที่ไกด์ทอดมาให้ ![]()
ที่พัก : Hispar Hotel
🚌 รวมระยะทางนั่งรถ 80 กม.
Day-2 ยามเช้าที่ สการ์ดู | Skardu ฟ้าอึมครึมนิดหน่อย แต่พอมองเห็นยอดเขามีหิมะขาวๆอยู่ วันนี้พวกเราจะเดินทางทางรถข้ามเขาไปทางทิศตะวันตก เข้าสู่คาราโครัมไฮเวย์กันแล้ว ตามแผนดั้งเดิมเริ่มแรก จะนั่งรถจาก Skadu >> Hunza Valley ได้เที่ยวชม Baltit Fort & Altit Fort แต่…. ที่พักฮุนซ่าที่ต้องการพักดันเต็ม จะว่างวันรุ่งขึ้น Land Agent ก็เลยทำการปรับเปลี่ยนโดยให้เรานั่งรถยาวไปนอนที่ Attabad Lake เลย ทำให้เพิ่มระยะทางไปอีก 6-70 กม. เพิ่มเวลาไปอีก 2 ชม.! แล้วค่อยกลับมานอนฮุนซ่าในคืนถัดไป ซึ่งเป็นแผนที่ไม่ดี อย่าหาทำ เพราะต้องนั่งรถย้อนไปย้อนมา เสียเวลามาก และทำให้วันที่ 2 ของทริปพวกเรานั่งรถยาวๆจาก Skardu >>>> Attabad Lake 10 ชม. ไปถึงที่พักก็มืดพอดี
สรุปแผน(ที่แทบไม่ได้)เที่ยววันที่ 2 Skardu > View point on Gilgit-Skardu Rd. (S-1) > Lunch @Gilgit > Shopping in Gilgit market > Rakaposhi View Point > Hotel at Attabad Lake

Good morning, Skardu

ในความไม่ดีก็มีความดีอยู่บ้าง เพราะเป็นวันที่มีฝนลงพรำๆ ถ้าแผนเดิมพวกเราก็คงต้องเดินเที่ยวป้อมปราการแบบแฉะๆ และฟ้าเน่าๆ แต่แผนใหม่พวกเราก็นั่งรถยาวๆ แวะจุดชมวิว 3-4 ที่ ลงไปถ่ายรูปกันนิดๆหน่อยๆ เพราะฟ้าปิด



ลา Skardu ที่จุดชมวิวทางออกเมือง กับป้าย I 💗 Skardu ที่เหมือนมีไอติมวอลล์เป็นสปอนเซอร์จัดสร้าง กับรูปปั้นเจ้า Ibex เขาโง้ง


นั่งรถมาอีกเกือบชม.ก็จอดรถให้ลงไปดูอะไรไม่ได้ฟังเลย ได้ยินแค่ว่าเรานั่งรถเลียบเลาะแม่น้ำสินธุ (Indus river)


ฝนตกพรำๆ นั่งดูวิวไปเรื่อย เจอร่องรอยเหมือนธารน้ำแข็งแต่สีน้ำตาล อารมณ์เหมือนน้ำหลากลงมาแล้วแข็งเป็นธารน้ำแข็งแฮะ
แต่จริงๆแล้วมันคือหญ้าแห้ง

ถ้าฝนไม่ตก น้ำสวยๆใสๆ วิวข้างทางของถนนสายนี้ก็น่าจะสวยอยู่นะ

จอดรถให้ดูอะไร ที่นี่ที่ไหน อีกจุดบนถนนสาย Skardu – Gilgit


เริ่มได้เห็นสีเขียวๆบ้างแล้ว หลังจากผ่านภูเขาหินมาตลอด ถ้าช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แถบนี้ต้องสวยมากแน่ๆ


ถนน 2 เลนชิดติดไหล่เขา มีร่องรอยหินร่วงหินถล่มให้เห็นตลอดทาง ตอนฝนตกยิ่งน่ากลัวว่า ทั้งลมทั้งฝนจะพาหินพาดินลงมา

จอดแวะที่ Astek Valley ลงไปเอา Trekking pole เตรียมให้พวกเราใช้วันพรุ่งนี้ ว่าแต่ทำไมแวะเอาที่ตรงนี้ก็ไม่รู้


นั่งรถมาเจอภูเขาที่มีริ้วขาวๆทั่วไปหมด พี่ไกด์บอกว่า นั่นคือแนวขุดหาอัญมณีพวก เพชร พลอย ไม่แน่ใจว่าถูกกม.หรือเปล่า
(Gemstone and mineral mining in Pakistan’s mountains)


Here Stood Zulfiqar Ali Bhutto Monument อนุสาวรีย์เพื่อแสดงความเคารพต่อทหารช่างผู้เสียชีวิตในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการสร้างถนนสายสำคัญ Skardu – Gilgit นี้

นั่งรถมาจาก Skardu 4 ชม. พวกเราก็มาถึงสามแยกเข้าสู่คาราโครัมไฮเวย์กันแล้ว แต่รถไม่ได้จอดให้เราเก็บภาพที่ระลึกกันเลย เสียใจ

เข้าสู่คาราโครัมไฮเวย์แล้ว ข้างทางเขียวขจีแบบนี้เลย
GILGIT
ในที่สุดพวกเรากมาถึง Gilgit เมืองหลวงของเขตกิลกิต-บัลติสถาน ในเวลาบ่ายสองโมง รวมเวลาจาก Skardu มาถึง Gilgit 5 ชม. กับระยะทาง 250 กม. แวะทานกลางวันที่โรงแรม Avari อาหารดี วิวสุดยอด




กิลกิต เป็นเมืองใหญ่ระดับถนน 4 เลน แบบมีเกาะกลาง เป็นเมืองสำคัญเชื่อมต่อขึ้นไปถึงประเทศจีนด้วยคาราโครัมไฮเวย์ (Karakoram Highway, KKH) และเป็นเมืองสำคัญของนักปีนเขาที่จะไปเทือกเขา Karakoram


Shopping Time พี่ไกด์บอกว่าวันนี้ให้ช้อปปิ้งกันได้สักครึ่งชม.ก่อนจะออกจากเมืองกิลกิต ก็เลยได้ไปเดินเล่นกันในตลาดขายเสื้อผ้าอารมณ์เหมือนเดินแพลตตินั่ม ราคาชุดปากีสถานที่นี่ถูกมาก คุณภาพก็ตามราคา เสื้อผู้หญิงตัวยาวราคา 2-3,000 รูปี (ประมาณ 3-400 บาท) ถ้าชุดเสื้อพร้อมกางเกงและผ้ายาวก็มีตั้งแต่ 6,000 รูปี ไปจนถึงหลักหมืนรูปี แล้วแต่ผ้าและลวดลาย พวกเราเดินแต่ตึกขายเสื้อผ้าผู้หญิง มองออกไปยังมีตึกอื่นที่ขายของผู้ชายก็มี ขายรองเท้าก็มี





Old Silk Route/Road ออกเดินทางต่อไปบนเส้นทางคาราโครัม มีจุดที่นักท่องเที่ยวส่วนมากมักจอดรถลงไปถ่ายรูปแต่รถเราไม่ได้จอด โชคดีว่ายกมือถือถ่ายคลิปอยู่พอดี ไกด์ที่นั่งข้างๆชี้บอกว่านั่นคือ Old Silk Route/Road ที่มองเห็นเป็นเส้นเล็กๆที่ไหล่เขา ถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางการค้าจากจีนไปสู่ยุโรปเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว โดยมีไหมเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมของราชสำนักยุโรป ถนนเส้นนี้จึงได้ชื่อว่า เส้นทางสายไหม นอกจากเป็นเส้นทางการค้าแล้ว เส้นทางสายไหมยังเป็นเส้นทางเผยแพร่ศาสนาและวัฒนธรรมด้วย หลังการเสื่อมถอยของเส้นทางการค้าเก่าแก่นี้ จีนกลับมาเป็นหัวหอกในการฟื้นฟูและพัฒนาเส้นทางการค้าใหม่อีกครั้ง คาราโครัมไฮเวย์เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมยุคใหม่นั่นเอง




อดลงไปยืนเท่ๆกับป้าย Old Silk Road เลย ได้แต่ถ่ายรูปตอนรถวิ่ง แถมฟ้าปิด ได้รูปมาแบบเบลอๆหน่อย
Rakaposhi View Point จุดที่มาชมยอดเขาราคาโพชิ | Rakaposhi Peak ยอดเขาบนเทือกเขาคาราโครัม สูงเป็นอันดับที่ 27 ของโลก ที่ 7,788 เมตร แต่พวกเรามาถึงตอนเย็นย่ำ ฝนตกพรำๆ ไม่ต้องหวังจะเห็นยอดเขาเลย ตีนเขาก็แทบจะไม่เห็น ก็เลยถือโอกาสเดินช็อปปิ้งกันแทน แถบนี้เป็นแหล่งหินสี และอัญญมณี ของที่ระลึกยอดนิยมแถบนี้ก็เลยเป็นหินก้อน ที่สวยงามไปตามแต่คนจะมอง มีสีต่างๆกันไปตามแต่แร่หิน คนที่ชอบก็น่าจะเลือกซื้อกันสนุก เพราะราคาค่อนข้างถูก


นั่งรถมาร่วม 10 ชม. ในที่สุดก็มาถึงที่พักริม Attabad Lake ตอน 2 ทุ่มกับอุณหภูมิ -4°C ทั้งหนาวทั้งหิว จัดการอาหารเย็นแล้วต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องพักที่ฮีทเตอร์ติดๆดับๆ แต่มีผ้าห่มไฟฟ้าก็เลยเอาตัวซุกผ้าห่มหลับสบาย

บทสรุปปากีสถานวันที่ 2
View Point on Gilgit-Skardu Road
Shopping at shopping complex, Gilgit
Rakaposhi View Point
อาหารกลางวัน : Avari Express Hotel, Gilgit อาหารปากีสถาน
อาหารเย็น : Horizon Resort Attabad Lake อาหารปากี+หมี่ผัดแบบจีน+ไข่เจียวที่ไกด์ทอดมาให้ ![]()
ที่พัก : Horizon Resort Attabad Lake
🚌 รวมระยะทางนั่งรถ 325 กม. (Gilgit-Skardu + KKH)
Day-3 อรุณสวัสดิ์ ทะเลสาบอัตตาบัต | Attabad Lake ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า 0 เสื้อผ้าที่เตรียมมาเผชิญความหนาวจัดกันเต็มที่ แผนเที่ยววันนี้เริ่มต้นทีการไปท่องเรือใน Attabad Lake แล้วเที่ยวขึ้นทางเหนือไปอีก แล้ววนกลับทางเดิมไปนอนที่ Hunza Valley

Good morning Attabad Lake ตื่นมาชงกาแฟร้อนๆจิบไปชมวิวหน้าห้องพักไป มุดยอดจริงๆ


Horizon resort Attabad Lake ที่พักที่สวยงามทุกมุมมอง
แผนเที่ยววันที่ 3 Attabad Lake (Lake Cruise) > Hussaini Suspension Bridge > Passu Glacier (Trekking) > Lunch @Bortih Lake > Baltit Fort > Altit Fort > Hotel in Hunza Valley
การเดินทางของพวกเราตอนนี้จะอยู่บนคาราโครัมไฮเวย์กันตลอด ตั้งตารอชมว่ามันจะสวยงามสมความร่ำลือกันมั๊ย แม้ว่าเช้าวันนี้ฟ้าจะยังลังเล ว่าจะสดใสหรือซึมเศร้าต่อดี เริ่มต้นด้วยการไปล่องเรือในทะเลสาบหน้าโรงแรมกัน
Attabd Lake ทะเลสาบอัตตาบัต เป็นทะเลสาบที่เกิดขึ้นเพราะ Land slide จากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อปี 2010 ดินและหินจากภูเขาถล่มลงไปที่หมู่บ้านและขวางทางน้ำของแม่น้ำฮุนซ่า ทำให้กลายเป็นพื้นที่ปิด เกิดเป็นทะเลสาบธรรมชาติที่มีน้ำสีเขียวใสสวยงามล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูง คิดแล้วเศร้าว่าความสวยนี้แลกมาด้วยชีวิตของชาวบ้าน







ล่องเรือในอากาศติดลบ มันหนาวจับใจจริงๆ เสื้อหนาว หมวก ผ้าพันคอ ต้องพร้อม น่าเสียดายที่เมฆเยอะ ฟ้าและน้ำเลยไม่สดใสเท่าไหร่
Hussaini Suspension Bridge สะพานแขวนฮุสไซนี่ สะพานแขวนข้ามแม่น้ำฮุนซ่า ที่ว่ากันว่าเป็นสะพานแขวนที่อันตรายเพราะหากเดินไม่ระวังก็พร้อมจะร่วงลงระหว่างแผ่นไม้ของสะพานได้ทันที แต่ดูแล้วคนน่าจะร่วงแค่ขาถ้าไม่ตัวเล็กจริงคงจะติดคาแผ่นไม้แหละ แต่กล้องหรือมือถือถ้าถ่ายรูปแบบไม่ระวังก็พร้อมร่วงแน่นอน การจะเดินออกไปที่กลางสะพานหรือจะเดินไปจนสุดสะพาน เพื่อความปลอดภัยเขาจะมีเสื้อชูชีพสีส้มแบบลงเรือให้ใส่ แต่ตอนที่พวกเราไปมันดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะน้ำในแม่น้ำค่อนข้างแห้ง ตกลงไปคงไม่จมน้ำแต่คงขาหักหรือคอหัก

มุมมองแรกจากจุดจอดรถคือ Passu Peak อันสวยงาม


จากจุดจอดรถต้องเดินลงไปประมาณ 500 ม. เพื่อไปที่สะพานแขวน เดินเรื่อยๆข้างทางมีชาวบ้านเอาของมาวางขายด้วย


Hussaini Suspension Bridge กับฉากหลังของ Passu Peak

ใช้ไม้แผ่นเล็กแล้วยังวางแผ่นไม้ห่างกันขนาดนี้ ก็เคยมีนักท่องเที่ยวตกร่องลงไปจริงๆ


ตัวสะพานก็ดูดี แต่บรรยากาศรอบๆดีกว่ามาก ทั้งภูเขา ทั้งดอกไม้ ต้นไม้ สวยไปหมด โดยเฉพาะช่วงก่อนถึงสะพาน มีสวนที่สวยด้วยดอกเชอรี่สีขาวฟูเต็มต้น




จุดต่อไป คือ Highlight ของวันนี้ พวกเรานั่งรถต่อไปแถบหมู่บ้านพาสสุ | Passu Village เพื่อไปดูธารน้ำแข็งกัน ซึ่งบางทัวร์ก็พาดูไกลลิบๆจากริมถนน บางทัวร์ก็ขับไปใกล้ๆให้พอมองเห็นแต่ก็ยังไกลอยู่ แต่พวกเราจะเดินลัดเลาะริมเขาเข้าไปให้ใกล้ธารน้ำแข็งเลย
Passu Glacier เป็นธารน้ำแข็งที่ไหลลงมาจาก Passu Peak หรือยอดเขาพาสสุนั่นแหละ แต่กลายเป็นธารน้ำแข็งสีขาวสวย ทางเดินมีขึ้นเขาช่วงแรกแต่ไม่ได้สูงชันมากนัก ใครมีไม้เทรคคิ้งด้วยก็ดี ไม่มีก็ไหวแหละ ขึ้นเขามาแล้วจากนั้นส่วนมากจะเป็นทางเดินเลาะเลียบเขาไป รวมเวลาเดินประมาณ 20-30 นาทีก็ไปได้ใกล้ธารน้ำแข็งแล้ว ยังมีทางเดินขึ้นเขาไปได้อีกเรื่อยๆ แต่พวกเราเอาแค่ตรงที่มาถึงข้างๆธารน้ำแข็งส่วนล่างก็พอ ไกด์เล่าว่าตอนเขาเด็กๆธารน้ำแข็งยาวลงไปถึงด้านล่าง คือแทบไม่ต้องไต่เขาขึ้นมาก็ได้ใกล้ชิดธารน้ำแข็งแล้ว โลกร้อนทำให้ธารน้ำแข็งละลายไปเยอะมาก ต่อไปใครจะเดินมาที่ธารน้ำแข็งนี่ก็คงต้องเดินไกลขึ้นทุกปี


ทางขึ้นเขามีแค่ช่วงแรก นอกนั้นก็ไม่ต้องออกแรงไต่เขาเท่าไหร่แล้ว





ไกด์บอกว่าหลายปีมานี้ธารน้ำแข็งละลายไปเยอะมากเลย

ชมธารน้ำแข็งแล้ว ขากลับพวกเราร้องบอกรถให้หยุดที่หมู่บ้านกลางทาง ที่มีทุ่งแอปปริคอทออกดอกเต็มไปหมด ที่เห็นตั้งแต่ตอนขานั่งรถเข้าไปแล้ว แต่ผ่านไปเดิน Trekking กันก่อน ความสวยงามของมันคือมีฉากหลังเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ มีบ้านที่สร้างด้วยหินเป็นองค์ประกอบ มองไปทางไหนก็ชอบ ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่าตาเห็นจริงๆ






Borith Laker ทะเลสาบเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆทุ่งแอปปริคอทที่พวกเราแวะถ่ายรูป เป็นจุดแวะทานข้าวมื้อเที่ยงของเราวันนี้ เป็นทะเลสาบที่บรรยากาศดีมาก มีที่พักที่นักท่องเที่ยวสาย Trekking น่าจะชอบ เพราะรอบทะเลสาบมีเส้นทางเดินเที่ยวได้หลายเส้นทาง มีธรรมชาติสวย มีนกให้ดู บางคนก็เดินตั้งแต่ตรงทะเลสาบเข้าไปที่ธารน้ำแข็งเลยด้วยซ้ำ





นั่งรถกลับทางเดิม มุ่งหน้าไป Hunza Valley วิวสวยตลอดทาง
นั่งรถเที่ยวในปากีสถานมีโอกาสเจอ road blocked ได้บ่อยๆ พวกเราก็เจอหินร่วงมาปิดทางจนได้ เป็นช่วงตอนก่อนจะถึง Hunza จากที่เคยอ่านรีวิวก็ได้มาเห็นเหตุการณ์จริงๆ พอเจอทางปิดแต่ละคันจะลงมาช่วยกันพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ชะแลง คงเจอบ่อยจนรถแต่ละคันมีเครื่องมือใช้งานได้เลย คือถ้าเป็นหินก้อนไม่ใหญ่มากก็จะช่วยกันงัดๆดันๆพอให้รถเล็กผ่านได้ ไม่นั่งรอให้รถใหญ่มาช่วย แต่ถ้าเป็นก้อนใหญ่มาก ขยับเองไม่ไหว ก็ต้องนั่งรอเพื่อให้รถใหญ่ เช่นรถแบ็คโฮ มาช้วยจัดการเลื่อนหินและเปิดทาง ซึ่งอาจต้องรอนานหลายชั่วโมง





แต่ในระหว่างที่หนุ่มปากีสาละวนงัดหิน นักท่องเที่ยวอย่างเราก็ปีนขึ้นไปชมวิวแม่น้ำฮุนซ่า โอ้โห…. วิวสวยมากกกก
พวกเราถือว่าโชคดีมาก เพราะหินที่ลงมาก้อนไม่ใหญ่ก็จริง ช่วยกันขยับจนรถเล็กผ่านไปได้หลายคัน แต่รถมินิบัสของเรายังผ่านไม่ได้ แต่ด้วยว่าห่างจากตัวเมืองฮุนซ่านิดเดียว รถช่วยเหลือเลยออกมาถึงเร็ว มาถึงก็เอาแขนยื่นมาจัดการเลื่อนหินออกนิดเดียว พวกเราก็ผ่านได้ ก็เลยไปเที่ยวต่อได้ตามแผน




งัดกันจนรถเล็กผ่านได้ แต่รถเราผ่านไม่ได้ แต่เพราะอยู่ใกล้เมืองรถช่วยเหลือมาถึงเร็วมาก กวาดหินได้หมดเลย

ในที่สุดก็ผ่านมาได้

ความโชคดีที่เจอหินถล่มใกล้เมืองรถช่วยเหลือมาเร็ว ได้มาดูรูปทีหลังถึงเห็นว่าใกล้เมืองมากชนิดว่า Altit Fort อยู่ข้างๆนี่เลย
Baltit Fort ป้อมปราการบัลทิต เป็นป้อมปราการและวังหลวงของเจ้าครองนคร อายุมากกว่า 700 ปี มีการปรับปรุงต่อเติมหลายครั้ง แต่ยังเห็นได้ถึงสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างแคชเมียร์และธิเบต ที่ได้รับอิทธิพลผ่านมาทางเส้นทางสายไหม ป้อมปราการบัลทิตได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก เมื่อปีค.ศ. 2004 ปัจจุบันยังคงมีเชื้อสายเจ้าครองนครอยู่ในฮุนซ่า แต่ย้ายไปอาศัยที่อื่นแล้ว แล้วเปิดป้อมปราการให้คนเข้าเที่ยวชม ป้อมปราการที่นี่ไม่ใหญ่โตมาก มีเจ้าหน้าที่หนวดงามพาเดินเล่าประวัติตามห้องต่างๆให้ฟัง ประตูหน้าต่างแต่ละบานเล็กกระทัดรัด ไม่รู้ว่าคนยุคนั้นเขาตัวเล็ก หรือแค่สร้างเล็กๆให้อากาศไม่ไหลเข้าไหลออก เพราะอากาศหนาวตลอดปี




ต้องเดินขึ้นไปราวๆ 10 นาที ก็จะเหนื่อยกว่าปกติหน่อย เพราะความสูงอยู่ที่ +2460 (เกือบเท่าดอยอินทนนท์เลย)







ดาดฟ้าของ Baltit Fort ชมวิวเมืองฮุนซ่าได้รอบทิศ และมองไปเห็น Altit Fort ป้อมปราการอีกอันที่อยู่ไม่ไกลกัน ที่เราจะไปหลังจากนี้


คุณลุงหนวดงาม ผู้ยืนยามอยู่หน้าวัง กลายเป็นสัญญลักษณ์ของ Baltit Fort ที่ใครมาเที่ยวก็จะมาถ่ายรูปกับแกเป็นที่ระลึก
พวกเราจบวันนี้ที่สวนในโรงแรมเซเรน่า (Serena) ที่อยู่ติดกับ Altit Fort ให้ได้นั่งจิบชา จิบกาแฟ ชมวิว หุบเขา เห็นแม่น้ำฮุนซ่าสีฟ้าใส กับสวนร่มรื่น ใครอยากไปดู Altit Fort ก็ไปได้




ใครจะไป Altit fort ก็ไปทางโน้น ใครไม่ไปก็เดินมานั่งจิบเครื่องดื่มพร้อมชมวิวใน Kha Basi Cafe ทางนี้




Altit Fort ป้อมปราการอัลทิต เป็นป้อมปราการดั้งเดิมมีอายุมากกว่า 1000 ปี เก่าแก่ที่สุดของแคว้นกิลกิตบอลติสถาน Gilgit-Baltistan สร้างอยู่บนยอดเขาในจุดที่มองเห็นได้รอบทิศ ทำให้ตอนนี้กลายเป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆ Altit Fort เป็นที่อยู่ของผู้ครองนครฮุนซ่าอยู่ 3 ศตวรรษ แล้วย้ายไปสร้างใหม่ใหญ่กว่าเดิมที่ Baltit Fort ซึ่งอยู่บนเขาที่สูงกว่า (แอบเม้าท์กันว่า ถ้ามีสร้างอันที่ 3 น่าจะเป็น Caltit Fort มั๊ย)



Atit Fort มองเห็นวิวได้ทั้ง 2 ฝั่งคือ หุบเขาฮุบซ่า และ ฝั่งแม่น้ำฮุนซ่ากับคาราโครัมไฮเวย์



วิวของ Altit Fort สวยตรงที่มองเห็นแม่น้ำฮุนซ่าสีสวยด้านล่าง และคาราโครัมไฮเวย์ เห็นจุดหินถล่มที่เราติดอยู่ได้เลย


วันนี้เที่ยวกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น คืนนี้ขึ้นไปนอนยอดยอดเขาในฮุนซ่าที่ Eagle Nest Hotel โรงแรมที่อยู่ในมุมสวยของฮุนซ่า (ที่ความจริงพวกเราต้องนอนเมื่อคืนนี้แต่ต้องเปลี่ยนมานอนคืนนี้ทำให้แผนเที่ยวเปลี่ยนแปลงวุ่นวายไปนิดหน่อย)
Pakistan Trip Day 3 – Hunza and Around – < https://youtu.be/zjIxhRLy39c >
บทสรุปปากีสถานวันที่ 3
📷 Attabad Lake (Lake Cruise)
📷 Hussaini Suspension Bridge
📷 Passu Glacier (Trekking)
📷 Bortih Lake
📷 Baltit Fort
📷 Altit Fort
อาหารกลางวัน : Bortih Lake Hotel & Resort อาหารปากีสถาน+จีน+ไก่ทอด 👍
อาหารเย็น : Eagle Nest Hotel, Hunza อาหารปากีสถาน+หมีผัดแบบจีน+ต้มยำไก่+กุ้งผัดพริก 😋
ที่พัก : Eagle Nest Hotel, Hunza
🚌 รวมระยะทางนั่งรถ 90 กม. (ประมาณ) นั่งวนไปวนมา (เสียดายเวลา ควรปรับแผนเที่ยวใหม่)

Trip Blossom Pakistan ผ่านมา 3 วัน ถึงฮุนซ่าแล้ว ยังเหลืออีก 4 วัน ไปต่อที่ ปากีสถาน ดอกไม้บาน และธารน้ำแข็ง ตอน 2

Leave a comment