Trip Blossom Pakistan : Apr. 2024
ปากีสถาน ดอกไม้บาน และธารน้ำแข็ง ตอน 2
ทริปปากีสถาน 7 วัน 7 คืน ในฤดูดอกไม้บาน แถมมีธารน้ำแข็ง ด้วยการนั่งรถเที่ยวปากีสถานตอนเหนือแถบแค้วนกิลกิต-บัลติสถาน | Gilgit-Baltistan ทริปตั้งต้นที่เมืองละฮอร์ | Lahore ทางทิศตะวันออกใกล้ชายแดนอินเดีย นั่งรถขึ้นไปเมืองหลวงอิสลามาบัด | Islamabad เพื่อต่อเครื่องในประเทศขึ้นไปที่สการ์ดู | Skardu แล้วนั่งรถเที่ยวต่ออีกยาวๆ จบวันที่ 3 ที่หุบเขาฮุนซ่า | Hunza Valley เมืองที่ว่าสวยนัก ผ่านมา 3 วัน เจอทั้งดอกไม้ เจอทั้งธารน้ำแข็ง ครบแล้ว > รีวิวตอนที่ 1 < ตอน 2 มาต่อ วันที่ 4-5-6-7 ครบจบกลับบ้านได้

Day-4 เช้านี้ที่ ฮุนซ่า | Hunza เมืองที่ว่ากันว่า ชาวเมืองมีอายุยืนที่สุดในโลก เฉลี่ยเกิน 100 ปีกันเลย ด้วยเหตุอันใดนั้น น่าจะประกอบด้วยหลายเหตุผลรวมๆกัน ที่เห็นอย่างแรกคือ อากาศดี เย็นสบายตลอดปี เพราะล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูง อย่างที่ 2 คืออาหาร ชาวฮุนซ่า ทานแต่พืชผลในท้องถิ่น ผักสด ผลไม้สด นมและชีสทำเอง ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดไม่ใส่สารเคมี ส่วนสุดท้ายคือ สภาพแวดล้อมทำให้ชาวฮุนซ่าเหมือนต้องกำลังกายตลอดเวลา เดินขึ้นเนินลงเนิน เพื่อปลูกข้าว ทำสวน

อรุณสวัสดิ์ฮุนซ่า



ที่พักของเรา Eagle Nest Hotel อยู่บนยอดเขาสูง +2800 ม. สูงกว่า Baltit Fort อีก จุดเด่นนอกจากวิวจากห้องพักที่สวยอยู่แล้ว ก็ยังมีจุดชมวิวที่ต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อย ดูแสงแรกยามเช้าได้ แต่จากการคาดคะเนแล้วว่า เช้าวันนี้ฟ้าไม่ปลอดโปร่งมาก ไม่คุ้มกับการตื่นแต่มืดไปปีนขึ้นยอดเขา (ผสมความขี้เกียจ) ก็เลยดูแสงเช้าจากห้องพัก ใช้เวลาในการทำกาแฟมาจิบไปชมวิวไป


แผนการเดินทาง+ท่องเที่ยววันที่ 4 จะนั่งรถไปบนถนนคาราโครัม Karakoram HW ถนนที่เป็นพระเอกของการเดินทางในครั้งนี้ ขึ้นเหนือไปจนสุดชายแดน ปากีสถาน-จีน ถนนจะตัดลัดเลาะเจาะอุโมงผ่านเทือกเขาคาราโครัมไปตลอดทาง ใครชอบถ่ายรูปถ่ายคลิป แนะนำให้ย้ายไปนั่งหน้าสุดเลย เพราะความสวยงามอยู่ที่ทิวทัศน์ตลอดทางบนคาราโครัมไฮเวย์นี่แหละ นั่งรถชมวิวไปจนเจอความหนาวเย็น หิมะปกคลุมบนความสูง +4,693 ม. ที่ Khunjerab Pass ด่านชายแดนปากีสถาน-จีน แล้วนั่งรถย้อนกลับยาวๆ ลงไปนอนที่เมืองกิลกิต สรุปแผนการที่ยววันนี้คือ Hunza Valley > on KKH > Khunjerab Pass > Lunch @Sost > Apricot field @Khyber > Hotel in Gilgit
HUNZA VALLEY
ฮุนซ่าพื้นที่กว้างใหญ่ในเขตปกครองพิเศษกิลกิต-บัลติสถาน (Gilgit-Bultistan) ทางตอนเหนือของปากีสถาน ล้อมรอบด้วยยอดเขาสูงมากมายของเทือกเขาคาราโครัม มีแม่น้ำฮุนซ่าเป็นแม่น้ำสายหลัก ขนานไปกับถนนมิตรภาพปากีสถาน-จีน หรือ คาราโครัมไฮเวย์ N35 อันโด่งดังนั่นเอง ชาวฮุนซ่าทำอาชีพเกษตรกรรม ปลูกผัก ปลูกผลไม้ เลี้ยงสัตว์ ช่วงฤดูดอกไม้ผลิ (Spring) ดอกแอปริคอต ดอกแอปเปิ้ล ดอกเชอรี่ ดอกพีช บานแข่งกันเต็มหุบเขา เป็นภาพที่ติดตราตรึงใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก พอเริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองสีส้มสีน้ำตาลสวยไปทั้งหุบเขา ถ้ามาฤดูหนาว (Winter) หุบเขาก็ขาวโพลนไปด้วยหิมะ ไม่ว่าฤดูไหนฮุนซ่าสวยงามในแบบของมันเสมอ

Blossom Hunza, Blossom Pakistan






Baltit Fort บนยอดเขา

Altit Fort บนยอดเขา



Karakoram Highway (KKH) ถนนมิตรภาพจีน-ปากีสถาน โดยมีจีนเป็นผู้ลงทุนหลักในการทำทางเชื่อมต่อจากมณฑลซินเจียงไปยังปากีสถาน รวมระยะทางยาว 1,300 กม. มีส่วนที่อยู่ในประเทศปากีสถานถึง 887 กม. ถนนเส้นนี้โด่งดังเรื่องความสวยงามตลอดเส้นทาง เพราะตัดผ่านหุบเขาคาราโครัมทางตอนเหนือของปากีสถาน จึงได้ชื่อว่า คาราโครัมไฮเวย์ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการฟื้นฟูเส้นทางสายไหมใหม่ (New Silk Road) ที่จีนวางแผนให้มีเส้นทางเชื่อมต่อจากจีนไปถึงยุโรปได้อย่างสะดวกสบาย เลียนแบบเส้นทางสายไหมโบราณ (Old Silk Road) ที่เคยรุ่งเรืองเมื่อหลายร้อยปีก่อน

คาราโครัมไฮเวย์ส่วนในประเทศปากีสถาน หมายเลขถนน N35 (National Highway 35) เริ่มต้นที่ Khunjearab Pass ด่านชายแดนจีน-ปากีสถาน ทางตอนเหนือ ตัดผ่านหุบเขาคาราโครัมในแคว้นกิลกิต-บัลติสถานลงมาถึงเมืองฮาซาลอับดาลในแคว้นปัญจาบ จุดที่สูงที่สุดบนถนนเส้นนี้อยู่บริเวณคุนจีราบ Khunjerab ที่ความสูง +4,714 ม. (น่าจะมีตั้งป้ายนะ รับรองคนจอดถ่ายรูปกันเพียบแน่ๆ)


ถ้าเลือกได้ แนะนำให้นั่งหน้าข้างคนขับเลย จะมองเห็น KKH ได้ชัดเจนสวยงาม


ถนนมิตรภาพและอุโมงมิตรภาพ / ทะเลสาบอัตตาบัตในวันฟ้าเปิดสีสวยกว่าวันที่เรามาล่องเรือ






SOST เมืองซอส หรือ ซูส คือเมืองใหญ่สุดแล้วบนเส้นทางไปคุนจีราบ ระยะทางประมาณกลางทางพอดี จึงเป็นจุดแวะทานอาหาร หรือจะพักค้างคืนก็มีที่พักให้เลือก และเป็นจุดพักรถบรรทุกด้วย เพราะ KKH เป็นเส้นทางหลักในการขนส่งของจีนและปากีสถาน และยังเป็นจุดที่หารถข้ามไปประเทศจีนได้ด้วย หรือจะนั่งรถโดยสารระหว่างประเทศ Hunza-Xinjiang ก็หาจองตั๋วได้ที่นี่ ระหว่างทางเห็นป้ายชี้ไป Dry Port SOST สงสัยว่าคืออะไร กลับมาหาข้อมูลเพิ่ม ได้ความรู้ว่า Dry Port หรือท่าเรือบก มันคือโกดังสินค้าจากจีนนั่นเอง น่าจะเรียกล้อกันไปกับท่าเรือขนส่งสินค้าทางน้ำ แต่ที่นี่ขนส่งของทางบก รถขนส่งจากจีนข้ามชายแดนจะเอามาของมาลงที่โกดังนี้ ก่อนจะกระจายสินค้าเข้าไปในปากีสถานและประเทศอื่นๆ










Khunjerab National Park เขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ที่เต็มไปด้วยเทือกเขาสูงใหญ่ ถนนตัดผ่านลัดเลาะเทือกเขาไปเรื่อยๆ ยิ่งเข้าใกล้ด่านชายแดน รอบข้างก็เต็มไปด้วยหิมะสีขาว ทั้งเทือกเขาทั้งลำน้ำ ตลอดข้างทางแทบไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีป้ายบอกว่าเป็นเขตที่อาจได้พบเจอ แพะภูเขา (Ibex) หรือเจ้าแกะมาโคโปโล (Marco polo Sheep) และ เจ้าเสือดาวหิมะ (Show Leopard) ที่ว่ากันว่าโดนล่าจนเกือบจะสูญพันธุ์แล้ว พวกเราโชคดีที่อย่างน้อยได้เจอเจ้า Ibex วิ่งอยู่ตามเชิงเขา ครั้งแรกเจอตัวผู้มีเขาโง้ง แต่อยู่ไกลมาก สงสัยมากว่าไกด์เห็นได้ไงฟะ ถ่ายรูปมาตัวจิ๋วยังกะมด แต่ขากลับโชคดีกว่า เจอ Ibex วิ่งลงจากเขามาที่แม่น้ำด้านล่างใกล้ๆเลย แต่เป็นตัวเมียเลยไม่มีเขา










Ibex ตัวผู้ที่มีเขา แต่อยู่ไกลมาก ถ่ายรูปมาได้ตัวจิ๋วๆ
ยิ่งใกล้ถึงด่านชายแดนจีน จากเทือกเขาหินก็กลายเป็นสีขาวด้วยหิมะปกคลุมไปทั่ว รถขับไต่ความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ มองดูข้างทางจะมีธารน้ำแข็งเล็กๆอยู่ทั่วไปหมดแม้แต่แม่น้ำก็เป็นน้ำแข็งสีขาวไปตลอดทาง





Khunjerab Pass คือด่านพรมแดนปากีสถาน-จีน สร้างประตูไว้ใหญ่โตตามแบบฉบับสิ่งก่อสร้างจีน ไกด์บอกว่า ปกติจะมีทหารจีน ยืนยามให้เห็น แต่วันนี้ไม่เห็นสักคนเลย แถมยังมีตั้งนั่งร้านเพื่อปรับปรุงอยู่ซะอีก ตรงนี้ความสูง มากกว่า +4,600 ม. ดังนั้นตอนลงมาเดินเล่นให้เดินช้าๆ สูดหายใจลึกๆเมื่อนึกได้ ลงมาสัมผัสอากาศหนาวกันให้สมกับความเมื่อยที่นั่งรถกันมา 4 ชม.กว่า ทุกคนลงมาเดินย่ำหิมะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน เพราะตรงนี้เป็นที่สุดในโลก คือ ด่านพรมแดนที่สูงที่สุดในโลก แถมมีตู้กดเงิน (ATM) ที่อยู่สูงที่สุดในโลกด้วยนะ

World Highest ATM in Pakistan



ด่านพรมแดนที่สูงที่สุดในโลก


Khyber เมืองที่เห็นตั้งแต่ตอนขาไปว่ามันเต็มไปด้วยต้นแอปริคอตเป็นทุ่ง ได้แวะตอนขากลับ ลงไปชมวิวทิวทัศน์กันอย่างมีความสุข บ้างก็เดินเข้าไปถ่ายรูปตามซอกซอย มีเด็กๆวิ่งออกมาทักทาย บ้างก็ไปเลือกซื้อผลไม้สด ผลไม้แห้งที่ชาวบ้านเอามาวางขาย โดยเฉพาะแอปริคอตแห้ง เราเอาขนมและดินสอสีไปแจกเด็กๆ ทำให้มีเด็กเดินตามเป็นพรวนตลอดเวลา เด็กๆพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก คุยกันได้รู้เรื่อง สอนเราพูดภาษาปากีสถานสนุกสนานสุดๆ เป็นจุดแวะที่ไม่อยู่ในแผน แต่ประทับใจมากมาย














วันนี้ฟ้าเปิดแม้จะมีเมฆเยอะ แต่ก็เห็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส มีแสงแดดส่องลงมาในหุบเขา นั่งรถผ่านทะเลสาบอัตตาบัตที่เรานอนคืนก่อน วันนี้ทะเลสาบสีฟ้าเขียวสวยจับใจ ผ่านหมู่บ้านพาสสุ ที่เราไปเดินขึ้นดูธารน้ำแข็ง วันนี้ก็มองเห็นธารน้ำแข็งกับฟ้าสีสวยด้วย แล้วยังมองเห็นยอดเขาพาสสุอันยิ่งใหญ่ได้ชัดเจน รวมทั้ง Lady Finger ยอดเขาดัชนีนางและ Hunza Peak ที่มองไม่เห็นมา 2 วัน วันนี้ก็มองเห็นได้ชัดเจนสวยงามด้วยเหมือนกัน


Passu Cone

Lady finger & Hunza Peak
Pakistan Trip Day-4 – on Karakoram Highway < https://youtu.be/xMX8AsxtCrE >
วันนี้จะกลับไปนอนที่เมืองกิลกิต จากฮุนซ่าไปถึงด่านคุนจีราบ | Khunjerab Pass ระยะทาง 195 กม. ขับแบบไม่แวะเลยก็ 4 ชม. ไปกลับก็ 8 ชม. รวมแวะเที่ยวแวะทานอาหารอีกรวมแล้วก็เกือบ 10 ชม. ยังต้องนั่งรถยาวๆไปอีก 100 กม. ถึงกิลกิตเอาสองทุ่มกว่า

กลางคืนในเมืองกิลกิตคึกคักมาก ทั้งรถทั้งคน เต็มถนนไปหมด
บทสรุปปากีสถานวันที่ 4
📷 Karakoram Highway (KKH)
📷 Khunjerab Pass
📷 Khyber
🍽 อาหารกลางวัน : Café Kavaan at Sky Bridge Inn, Sost อาหารปากีสถาน
🍽 อาหารเย็น + 🛏 ที่พัก : Avari Express Gilgit อาหารปากีสถาน+Fish&Ship มื้อนี้ไกด์จัดเค้กวันเกิดมาให้เราด้วย
🚌 นั่งรถรวมระยะทาง 500 กม. (ไปกลับฮุนซ่า-คุนจีราบ 200×2 กม. + ฮุนซ่า-กิลกิต 100 กม.)
Day-5 โรงแรม Avari Express ที่ Gilgit ใหญ่โตหรูหรานอนสบายมากๆ แต่สวนทางกับแผนการเดินทางมากๆ เพราะวันนี้เป็นวันที่ต้อออกเดินทางเช้าที่สุดใน 7 วันของทริป ไกด์ Sajid บอกว่าพวกเราต้องออกเดินทาง 7 โมงเช้านะ เพราะวันนี้ต้องนั่งรถยาวๆ (ก็ยาวทุกวันนะ วันนี้ยาวพิเศษหรือไง)

Good morning from Gilgit

ถ้าให้สรุปแผนเที่ยว ต้องถือว่าพวกเราจบการเที่ยวชมดอกไม้บานและธารน้ำแข็งกันแล้ว วันนี้พวกเราจะอยู่บนคาราโครัมไฮเวย์เป็นวันสุดท้าย โดยการนั่งรถลงใต้ จากเมืองกิลกิต | Gilgit ของแคว้นกิลกิต-บัลติสสถาน | Gilgit-Baltistan ไปเข้าแคว้นไคเบอร์ปัคตูนควา | Khyber Pakhtunkhwa ตามแผนแล้วพวกเราจะไปนอนกันที่เมืองแอบบอตตาบัต | Abbottabad ระยะทาง 470 กม. นั่งรถกันมากกว่า 10-11 ชม. ออก 7 โมงเช้า น่าจะถึง 7 โมงกลางคืนเป็นอย่างเร็ว
อย่างที่บอกว่ากรุ๊ปเรามีเจ้าของ Local tour มาด้วย ซึ่งลุงเจ้าของพยายามโน้มน้าวหัวหน้าทริปเราว่า ให้พักนอนที่เมือง Besham เถิด ระยะทาง 335 กม. ก็จะถึงได้ในช่วงเย็น เป็นระยะทางที่พอเหมาะ แต่หัวหน้าทริปบอกว่าที่ Besham เป็นเมืองเล็กที่พักไม่ค่อยดี อยากให้ไปนอนที่ Abbottabad ดีกว่า เมืองใหญ่กว่าที่พักดีกว่า และถ้าวันนี้เรายอมเมื่อยเพิ่มอีกสัก 2-3 ชม. วันรุ่งขึ้นเราก็ตื่นสายหน่อยได้ เพราะเหลือระยะทางเข้าไปถึงอิสลามาบัตไม่ไกลแล้ว ตกลงกันไม่ได้ เลยใช้วิธีถามพี่คนรถว่าขับถึง Abbottabad ไหวหรือไม่ ถ้าคนขับไม่โอเคก็นอน Besham พี่คนขับบอกว่า “โนพรอพเบลม ยูโก ไอโก” พวกเราก็เลยนั่งกันยาวจริงๆจังๆวันนี้

เส้นทางสีเขียว คือทางเลือก N15 ผ่านเมือง Naran ระยะทาง 375 กม. สั้นกว่าไปทาง Besham เกือบ 100 กม. แถมเส้นทางนี้เป็นทางที่สวยมากๆ เป็นเมืองท่องเที่ยวของชาวปากีสถาน แต่…เส้นทางนี้จะเปิดให้เดินทางได้เฉพาะช่วงฤดูร้อนคือปลายพฤษภาคมจนหมดฤดูร้อน เพราะทางตัดผ่านเขาสูงที่มีหิมะอยู่ตลอดเวลา ทำให้เดินทางลำบาก จึงปิดเส้นทางไปเลย เปิดให้เดินทางแค่บางช่วงเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ช่วงที่เรามา
แผนการเดินทางวันที่ 5 Gilgit > on KKH > Lunch box on the way > Dinner @Besham > Hotel in Abbottabad


เริ่มออกเดินทางแต่เช้าตามแผน ยังอาลัยอาวรณ์วิวเทือกเขาสวยๆอยู่เลย



นั่งรถมาถึงทางแยกถนน S-1 ที่เรามาจาก Skardu เมื่อ 2 วันก่อน
วันนี้เราจะอยู่บน KKH (N-35) ตรงไป Islamabad เห็นป้ายบอกระยะทางก็เมื่อยหลังแล้ว
Mountain Junction Point จุดบรรจบของ 3 เทือกเขา Karakoram – Hindukush – Himalayan ที่เมือง Jaglot ห่างจาก Gilgit มาประมาณ 35 กม. มีสิ่งก่อสร้าง 3 แฉกที่แต่ละแฉกชี้ไปทางเทือกเขาแต่ละอัน แถมด้วยเป็นจุดเชื่อมต่อกันของแม่น้ำ 2 สาย Gilgit river – Indus river ใครมาเที่ยวแถบนี้ไกด์ต้องพามาดู เพราะเทือกเขาทั้ง 3 นี้เป็นเทือกเขาที่ชาวปากีสถานภาคภูมิใจมาก และเป็นจุดขายในการท่องเที่ยวปากีสถานเหนือ

เทือกเขาหิมาลายัน | Himalayan Range ยาว 2,400 กม. พาดผ่าน อินเดีย ปากีสถาน จีน ภูฏาน และเนปาล เทือกเขาคาราโครัม | Karakoram Range ส่วนใหญ่อยู่ในเขตปากีสถาน เทือกเขาฮินดูคุช | Hindukush Range ยาว 966 กม. ทอดยาวระหว่าง ปากีสถานและอัฟกานิสถาน


Nanga Parbat View point จุดชมวิวยอดเขานังกาพาร์บัตอันยิ่งใหญ่ของเทือกเขาหิมาลายัน จุดสูงสุดของนังกาพาร์บัตคือ 8,126 m. สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก และสูงเป็นอันดับที่ 2 ในปากีสถาน รองจากยอดเขา K2 อ่านข้อมูลจากป้ายได้ความว่า Nanga Parbat มีชื่อเล่นว่า Killer mountain เพราะมี 12 นักปีนเขาและ 18 เชอร์ปา (ลูกหาบ) เสียชีวิตระหว่างการเดินขึ้นยอดเขาในปี 1938


ใครอยากเดินไต่เขาขึ้นไปที่ Nanga Parbat Base Camp ก็มีทริปให้เดินได้ โดยไปตั้งต้นที่ Fairy Meadow | ทุ่งหญ้าแห่งเทพนิยาย จุดท่องเที่ยวยอดนิยมอีกจุด ที่ต้องมีเวลาเพิ่มอีก 2-3 วัน เพราะต้องเปลี่ยนรถจี๊บพาขึ้นเขาไป แล้วเดินต่อหรือขึ้นม้าไปอีก 5 กม. ถึง Fairy Meadow ส่วนมากก็จะพักก่อน 1 คืน วันรุ่งขึ้นถึงเดินเดินต่ออีก 7-8 กม. ก็จะถึง Nanga Parbat Base Camp ที่ความสูง 3,300 ม.




เจอเด็กๆตรงจุดชมวิว เลยเอาขนมลงไปแจก หนุ่มน้อยรูปหล่อ สาวน้อยสวยตาโตกับน้องชายแก้มยุ้ย




จุดเปลี่ยนรถเป็นรถจี๊บเพื่อขึ้น Fairy Meadow / เปลี่ยนรถแล้วก็ขึ้นไปทางนี้ ทางขึ้นก็จะแคบๆเล็กๆโหดๆหน่อย



บางช่วงทางก็ไม่ค่อยดี แถมรถบรรทุกก็เยอะด้วย รถทำเวลาไม่ได้ดีเท่าไหร่







เต๊นท์ของพวกมาร่อนหาทองริมแม่น้ำ
Chilas Rock Carving ภาพสลักโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์บนก้อนหิน ตลอดเส้นทางสายไหม ที่เป็นเส้นทางการค้าขายสมัยโบราณ ภาพสลักส่วนมากเป็นภาพเกี่ยวกับศาสนาพุทธ เนื่องจากพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองในแถบชมพูทวีปมาก่อนที่จะเสื่อมลงไป แล้วศาสนาอิสลามเข้ามาแทนที่ ภาพสลักมีทั้ง ภาพเจดีย์ ภาพพระพุทธรูป หรือพระโพธิสัตว์ มีภาพสลักอยู่มากกว่า 30,000 ภาพ จุดที่เห็นมากสุดอยู่แถวเมืองชีลาส | Chilas



แต่ภาพสลักหินโบราณ 30,000 กว่าชิ้นนี้ กำลังเสี่ยงจะจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด เพราะการก่อสร้างเขื่อนเดียเมอร์-บาชาร์ | Diamer Basha Dam บนแม่น้ำสินธุภายใต้การดูแลของหน่วยงานพัฒนาน้ำและพลังงานของปากีสถาน (WAPDA) โครงการร่วมจีน-ปากีสถาน สร้างอ่างเก็บน้ำขนาด 8 ล้านเอเคอร์ สูง 272 เมตร จะผลิตพลังงานไฟฟ้าพลังน้ำได้ 4,500 เมกะวัตต์ และจัดสรรน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรมได้ 1.2 ล้านเอเคอร์ น่าเสียดายที่โครงการอนุรักษ์ได้ข้อสรุปออกมาว่า จะมีภาพสลักเพียง 5000 ชิ้นที่จะทำ 3D Scan เพื่อไปทำภาพสลักจำลองในพิพิธภัณฑ์ การตัดหินออกมาจะเป็นการทำลายภาพสลักหินโดยสิ้นเชิง เนื่องจากธรรมชาติที่เปราะบางของหิน ซึ่งเป็นหินอัคนีและผุกร่อนอย่างมากอยู่แล้ว เมื่อเขื่อนเสร็จจะทำให้หลักฐานของอารยธรรมในลุ่มแม่น้ำสินธุจำนวนมากหายไป


Diamer Bhasha Dam สร้างงานให้ชาวปากีสถานจำนวนมาก แต่ก็มีเรื่องแปลกที่ไกด์เล่าให้ฟัง มีการสร้างบ้านขึ้นตามริมแม่น้ำมากมาย แต่ทิ้งไว้ไม่มีใครอยู่ ไกด์บอกว่า มีนายทุนมาสร้างไว้ล่วงหน้า รอเวลาเขื่อนสร้างเสร็จพอน้ำท่วมแล้วก็จะไปเรียกรับเงินชดเชย


ทำแบบนี้ก็ได้นะ
Sumer Nala จุดแวะพักทานอาหารกลางวันของพวกเราวันนี้ แต่เป็นอาหารกล่องที่แวะรับมาจากร้านอาหารเมืองทางผ่าน เพราะร้านอาหารแถบนี้เป็นร้านแบบร้านพักรถระหว่างทาง ไกด์คิดว่าพวกเราไม่น่าจะกินกันได้ แต่ไกด์วิ่งลงไปเจรจากับร้านที่จะพอดูสะอาดๆ ให้พวกเรานั่งทานอาหารกล่องกัน พร้อมอุดหนุนชาร้อน กาแฟร้อน ของร้าน บรรยากาศก็คือจุดพักรถบรรทุก แต่มีแม่น้ำสินธุไหลผ่าน มีน้ำตกเล็กๆ เป็นชุมชนที่มีคนพอสมควร ซึ่งส่วนมากเป็นคนงานสร้างเขื่อนนั่นเอง










ถนนช่วงนี้มีน้ำตกเยอะ น้ำตกอยู่ริม KKH เลย ตกลงมาบนถนนแบบนี้ ตอนแรกคิดว่าน้ำหลากท่วมถนน แต่มันคือน้ำตก ดูจากแผนที่มันมีชื่อด้วย คนมาจอดรถเล่นน้ำตก มาล้างรถ มาพักรถ พวกเราบอกไกด์ว่า ถ้าให้เรามาหยุดกินข้าวริมน้ำตกแบบนี้จะดีมาก ให้เอาอาหารกล่องไปนั่งกินตามโขดหินยังได้ ไกด์ไม่เข้าใจฟิลแบบปิคนิคของคนไทย (แต่อาจเฉพาะกรุ๊ปเรา ไปทำกับกลุ๊ปอื่นอาจโดนด่า ฮา…)







ในที่สุดก็มาถึง Besham ในเวลา 6 โมงเย็น ถ้าพักที่นี่ตามที่ไกด์แนะนำก็ถือว่าพอเหมาะจริงๆ เจอนักท่องเที่ยวพักที่นี่ 2-3 กลุ่ม ส่วนมากเป็น private group เล็กๆ เข้าไปดูห้องพักแล้วก็ประมาณ 2 ดาว แต่ถ้าพวกเราพักที่นี่วันรุ่งขึ้น ต้องเผื่อเวลาเดินทางอีก 2-3 ชม. จึงเอาตามที่ตกลงคือ กินข้าวเย็นแล้วไปต่อเลยให้ถึง Abbottabad คืนนี้




ตลกมาก มื้อนี้ไม่มีใครนั่งกินข้าว ทุกคนยืนกินหลังจากนั่งรถมาแล้วมากกว่า 10 ชม.
ออกเดินทางต่อ จาก Besham ไป Abbottabad อีก 135 กม. ยังต้องนั่งรถอีก 2-3 ชม. นั่งรถมาอีกครึ่งชม. ก็ถึงจุดสิ้นสุดคาราโครัมไฮเวย์ที่สะพาน Youyi Bridge น่าเสียดายที่มาถึงเอามืดแล้ว ไม่ได้ลงไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ตรงนี้มีจุดตรวจ ที่คนรถต้องลงไปคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่ค่อนข้างนาน (ปกติมีด่านแบบนี้ตลอดทาง หลายด่านมาก ไกด์หรือคนรถต้องเอาเอกสารลงไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจ เอกสารมีอะไรบ้างไม่แน่ใจ เท่าที่รู้คือรายละเอียดการเดินทาง และรายชื่อนักท่องเที่ยว ประมาณนี้) แต่ด่านนี้คุยนานกว่าที่ผ่านมา ถามไกด์ว่าเกิดอะไร ได้คำตอบว่า เจ้าหน้าที่ต้องการให้มีตำรวจนั่งรถไปกับพวกเราด้วย แต่ไกด์บอกว่าไม่ต้องการ เถียงกันไปมา (เออ ปฏิเสธเจ้าหน้าที่ก็ได้เหรอ) แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้


สิ้นสุดคาราโครัมไฮเวย์ตรงนี้แล้ว
นั่งรถต่อมาอีกประมาณ 1 ชม. คราวนี้พวกเราโดนตำรวจเรียกอีกรอบ คนรถกับไกด์ลงไปเจรจาอยู่พักใหญ่ สุดท้ายรถเราต้องขับตามรถตำรวจไป บรรยากาศเหมือนโดนจับ ขับตามไปไม่นานก็ถึงจุดตรวจ จากนั้นก็มีตำรวจพร้อมอาวุธขึ้นมานั่งบนรถกับพวกเราจนถึงโรงแรม เงียบกันทั้งคันรถ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงโรงแรมแล้วมีตำรวจมารอรับอีก 3 คน แต่ตำรวจก็ยิ้มแย้มแจ่มใสนะ เรายังขอถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึกด้วยเลย วันรุ่งขึ้นสอบถามไกด์ได้ความว่า เป็นระเบียบปฏิบัติของเขตไคเบอร์ปัคตูนควา | Khyber Pakhtunkhwa (พวกเราข้ามเขตกิลกิต-บัลติสสถาน | Gilgit-Baltistan มาแล้ว) ที่การเดินทางกลางคืนของนักท่องเที่ยวต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปด้วย เพื่อความปลอดภัย


อยากจะถ่ายรูปพี่ตำรวจตอนนั่งในรถมากับเรา แต่ไม่กล้าถ่ายเพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่แอบถ่ายรูปตอนลงรถ

มาถึง Abbottabad เอาเกือบห้าทุ่ม ขอขอบคุณพี่ตำรวจที่มาส่งถึงหน้าโรงแรมคับ 🙂
บทสรุปปากีสถานวันที่ 5
📷 Karakoram Highway (KKH)
📷 Mountain Junction Point
📷 Nanga Parbat View Point
📷 Chilas Rock Carving
🍽 อาหารกลางวัน : Picnic box @Sumer Nala อาหารกล่องที่แวะรับมาระหว่างทาง
🍽 อาหารเย็น : Besham Inn, Besham อาหารปากีสถาน + อาหารจีน
🛏 ที่พัก : Hotel One, Abbottabad
🚌 นั่งรถรวมระยะทาง 470 กม. (นั่งรถกันไป 13 ชม. เมื่อยหลัง เมื่อยขา เมื่อยตูด)
Day-6 ตื่นสายได้อีกนิดตามสัญญาของหัวหน้าทัวร์ เพราะเมื่อวานยอมนั่งรถยาวมาถึง Abbottabad ที่พักดีนอนสบายจริง เมื่อเทียบกับโรงแรมที่ Besham แล้ว มันก็ต่างกันมากจริงๆ ยามเช้าในแอบบอตตาบัต เปิดม่านห้องพักไปยังพอมองเห็นเทือกเขา แต่อยู่ไกลและไม่ยิ่งใหญ่เหมือนอยู่ทางเหนือ อากาศพอๆกับเมืองไทยตอนหน้าหนาว คือไม่ร้อนแต่ไม่หนาว โรงแรมไม่ได้อยู่กลางเมืองหน้าโรงแรมเลยไม่คึกคักเท่าไหร่ พอนั่งรถผ่านเข้าย่านกลางเมือง ก็เห็นว่าแอบบอตตาบัดเป็นเมืองใหญ่พอสมควร ย้อนเรื่องราวไปในช่วงเหตุการณ์ 911 แอบบอตตาบัตมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ตรงที่เมืองแอบบอตตาบัดคือที่กบดานของบินลาเดน ซึ่งอเมริกันก็ตามล่าจนเจอและส่งโดรนมาถล่มจัดการบินลาเดนได้สำเร็จ บ้านของบินลาเดนโดนรื้อทำลายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นน่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแน่ๆ

อรุณสวัสดิ์แอบบอตตาบัด ภูเขาเริ่มไม่ยิ่งใหญ่ มีบ้านเยอะๆมาแทนที่


เมืองแอบบอตตาบัดยามเช้าหน้าโรงแรม
พวกเราเดินทางลงมาจากแคว้นกิลกิต-บัลติสถาน เข้ามาในเขตแคว้นไคเบอร์ปัคตูนควา แนวเขาที่เห็นเปลี่ยนเป็นหิมาลัย แต่มองเห็นไกลๆ ดูไม่ยิ่งใหญ่เหมือนตอนที่เราอยู่ใกล้ชิดติดเทือกเขาคาราโครัมหรือฮินดูกุชทางเหนือ เริ่มเข้าสู่เขตเมืองใหญ่ ถนนเป็นทางด่วน 4 เลน พาพวกเราข้ามเขตแคว้นไคเบอร์ปัคตูนควาเข้าแคว้นปัญจาบ | Punjab เพื่อเข้าไปเมืองตักศิลา | Taxila แล้วช่วงเย็นจะข้ามเข้าเขตเมืองหลวงอิสลามาบัต | Islamabad




แผนการเดินทางวันที่ 6 Abbottabad – Taxila > Dharmarajika > Sirkap remains > Taxila Museum > Islamabad > Faisal Mosque > Hotel in Islamabad

Taxila
ตักสิลา เมืองเก่าแก่ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เป็นศูนย์กลางการศึกษาศิลปะวิทยาการแขนงต่างๆอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชมพูทวีป ผู้มีชื่อเสียงมากมาย ได้มาศึกษาเล่าเรียนที่ตักศิลา เช่น เจ้าชายสิทธัตถะ, หมอชีวกโกมารภัจจ์ (แพทย์ประจำตัวพระพุทธเจ้า) แม้แต่องคุลีมาลก็มีบันทึกว่ามาศึกษาเล่าเรียนที่เมืองตักศิลานี้ด้วย ในยุคสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ตักสิลาเป็นเมืองที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง มีผู้จาริกแสวงบุญเดินทางเข้ามาไม่ขาดสาย มีการก่อสร้างศาสนสถานยิ่งใหญ่มากมาย แต่ในบันทึกของหลวงจีนเซียวจ้าน หรือที่พวกเรารู้จักกันในชื่อ พระถังซำจั๋ง ได้บันทึกไว้ว่า เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณตักสิลา พบว่าเมืองตักสิลาไม่หลงเหลือภาพความเจริญรุ่งเรืองอีกแล้ว นั่นคือช่วงที่พุทธศาสนาได้เสื่อมลงและถูกแทนที่ด้วยศาสนาอิสลาม
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเคยยกทัพผ่านเมืองตักศิลา ไปตีชมพูทวีปเมื่อปีที่ 326 ก่อนคริสตกาล จึงเกิดการถ่ายทอดศิลปะกรีกเข้ามา เกิดเป็นศิลปะแบบคันธาระ (Ganghara Art) เป็นพุทธศิลป์ที่มีเอกลักษณ์ คือพระพุทธรูปต่างๆ มีรูปร่างหน้าตา ลีลาท่าทาง เครื่องนุ่งห่ม เหมือนคน โดยเฉพาะคนกรีก เริ่มมีการสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นรูปเคารพในพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกตามแบบอย่างชาวกรีกที่ชอบสร้างหรือแกะสลักรูปเทพเจ้า

ปัจจุบัน ตักสิลา เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อ พ.ศ. 2523 โดยเหตุผลว่า เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือที่สาบสูญไปแล้ว และมีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์




ตักสิกามีรถตุ๊กๆเยอะมาก นักท่องเที่ยวที่ไม่มาทัวร์นิยมเหมาตุ๊กๆพาเที่ยว


Dharmarajika Stupa And Monastery เจดีย์ธรรมยาสิกา เจดีย์ทรงระฆังคว่ำขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยเจดีย์เล็กๆอีกมากมาย สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช ตอนนี้เหลือแค่ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างต่างๆ เพราะถูกนักรบมองโกลบุกเข้าทำลายจนหมด องค์เจดีย์ธรรมยาสิกาเองคงเหลือแค่ซากอิฐพอให้เห็นเป็นรูปทรงระฆังคว่ำได้ เสียค่าเข้าชม 500 PKR จะมีเจ้าหน้าที่พาเดินชม พร้อมอธิบายเรื่องราวให้ฟังด้วย








ลวดลายปูนปั้นรอบฐานแท่นเผาศพ มีทั้งรูปคน รูปสัตว์




ศิลปะแบบคันธาระ คือพระพุทธรูปต่างๆ มีรูปร่างหน้าตา ลีลาท่าทาง เครื่องนุ่งห่ม เหมือนคนจริงๆ
Sirkap Remains ซากเมืองหลวงเก่าซีร์กัป เป็นเมืองหลวงในยุคถัดมา ในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช มีการวางผังเมืองแบบกรีก คือมีถนนสายหลักทอดยาว 5 กม. แล้วมีบ้านเรือน อาคาร ร้านค้า ศาสนสถาน อยู่ 2 ข้างทาง ลักษณะผังเมืองเป็นบล็อคสี่เหลี่ยมเท่าๆกัน ปัจจุบันเหลือแต่ซากของฐานรากอาคารต่างๆ แต่ยังเห็นแบบแผนเมืองชัดเจน หลังการขุดค้นและสำรวจ พบว่าตัวเมืองมีการสร้างต่อเติมทับซ้อนกันถึง 3 ยุคสมัย



ตัวเมืองมีการสร้างต่อเติมทับซ้อนกันถึง 3 ยุคสมัย









Taxila Museum พิพิธภัณฑ์ตักศิลา เป็นที่จัดเก็บและแสดงวัตถุโบราณที่ขุดพบในเมืองโบราณตักศิลา ทั้งเศษข้าวของเครื่องใช้ เศียรพระพุทธรูป เหรียญเงิน วัตถุโบราณ รูปสลักและรูปปูนปั้นศิลปะคันธาระ ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์มีชั้นเดียว แต่บริเวณพื้นที่รอบนอกเป็นสวนร่มรื่นสวยงามงาม มาถึงตักสิลา ควรมาแวะชมสักหน่อย (ด้านในขออนุญาตเจ้าหน้าที่ถ่ายภาพแล้วนะ)






ในตักสิลายังมีที่น่าสนใจที่พวกเราไม่ได้ไปอีก เช่น วัดจูเลี่ยน (Jaulian Monastery) บนเนินเขา เป็นวัดที่รอดพ้นจากการถูกทำลาย หรือ Mohra Moradu
จากตักสิลาเดินทางต่ออีกแค่ 40 กม. ก็ถึงเมืองหลวงอิสลามาบัด | Islamabad แวะเข้าไปเยี่ยมชมมัสยิดประจำเมือง ก่อนเข้าที่พักคืนนี้

ISLAMABAD
อิสลามาบัด เมืองหลวงใหม่ของประเทศปากีสถานแทนเมืองการาจี ในปีค.ศ. 1967 อยู่ตอนกลางของประเทศในเขตปกครองพิเศษเมืองหลวงอิสลามาบัด เป็นเมืองที่มีประชากรอยู่อาศัย 6 แสนคน มากเป็นอันดับที่ 14 ของประเทศ (Population of Cities in Pakistan 2024) และไม่ใช่เมืองที่ใหญ่ที่สุดในปากีสถาน เมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรอยู่มากที่สุดคือเมืองการาจี ทางตอนใต้ของประเทศ ที่เป็นเมืองการค้า เป็นเมืองท่าของประเทศ ส่วนอิสลามาบัดเป็นที่ตั้งขององค์กรทางการเมืองของประเทศ




ถนนกลางเมืองมีรูปแบบเหมือนถนนในยุโรป มีต้นไม้สูงตลอดแนว บ้านหลังใหญ่เรียงรายทั้ง 2 ฝั่ง


Faisal Mosque มัสยิดไฟซาล มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในปากีสถาน และเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียใต้และใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก ภายในจุคนได้ 10,000 คน สร้างโดย King Faisal กษัตริย์ซาอุดิอารเบีย ออกแบบโดยสถาปนิกชาวตุรกี ออกมาเป็นแนวศิลปะร่วมสมัย มีรูปแบบไม่เป็นโดมหัวหอมแบบมัสยิดทั่วไป แต่ออกแบบตามลักษณะกระโจมของชาวเบดูอินในทะเลทราย การเข้าในพื้นที่มัสยิดผู้หญิงต้องมีผ้าคลุมผมด้วย






มัสยิดรูปทรงกระโจมชาวเบดูอินในทะเลทราย



โชคดีมากที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปชมด้านใน ก่อนที่จะเปิดให้คนเข้ามาปฏิบัติศาสนกิจในช่วงเย็น

วันนี้ได้เข้าโรงแรมเร็ว มีเวลาได้ไปเดินเล่นแถวๆโรงแรม ช่วงเย็นมีฝนลงก็เลยเลือกเข้าไปเดินชมห้างสรรพสินค้าหน่อย ห้างปากีสถานใหญ่โตไม่น้อย ขนาดว่าห้างที่เราเดินไม่ใช่ห้างใหญ่ยังมี 4-5 ชั้น มีคนเดินซื้อของพอสมควร ส่วนซุปเปอร์มาเก็ตขนาดไม่ใหญ่ และที่น่าแปลกคือไม่ติดราคาของเลย




ห้าง Safa Gold Mall อยู่ตรงข้ามโรงแรม / ปากีสถานก็มี Miniso นะ
ตอนเย็นเดินมาทานอาหารจีนที่ร้านใกล้ๆโรงแรม มื้อนี้อาหารจีนล้วน รสชาติใช้ได้ อิ่มกันแล้ว ต่างแยกย้ายกันไปตามชอบ เราไปเดินเล่นในย่านนั้น มีร้านขายของ ขายอาหาร เยอะมาก ผู้คนเดินกันคึกคัก ขนาดว่ามีฝนตกเฉอะแฉะไปบ้าง เจอร้านหนังสือที่ใหญ่มาก คือใหญ่จนน่าตกใจ เพราะร้านหนังสือบ้านเราไม่มีใหญ่ๆแบบนี้เหลืออีกแล้ว เข้าไปเดินเลือกซื้อหนังสือ แล้วมานั่งจิบกาแฟชมวิวบน Roof Top bar (ก็ไม่ขายเหล้าก็ต้องจิบกาแฟแทน)







คนออกมาใช้ชีวิตกลางคืนกันคึกคักแม้มีฝนลงพรำๆ / ร้านหนังสือ SAEED BOOK SHOP ใหญ่โตมาก (มองครั้งแรกคิดวา SE-ED)
บทสรุปปากีสถานวันที่ 6
📷 Dharmarajika
📷 Sirkap พำทฟรืห
📷 Taxila Museum
📷 Faisal Mosque
🍽 อาหารกลางวัน : Dream Land Restaurant @Taxila อาหารปากีสถาน
🍽 อาหารเย็น : Delicious Xinjieng Chinese Restaurant, Islamabad
🛏 ที่พัก : Hotel Hillview, Islamabad
🚌 นั่งรถรวมระยะทาง 140 กม.
Day-7 วันสุดท้ายของทริปปากีสถานแล้ว พวกเราอยู่กันที่เมืองหลวงอิสลามาบัด แต่พวกเราไม่ได้บินกลับไทยจากสนามบินอิสลามาบัด (Islamabad International Airport) แต่พวกเราบินไป-กลับจากละฮอร์ | Lahore (เล่าไปตั้งแต่วันแรกว่า เพราะหนีตั๋วราคาแพง) วันนี้พวกเราจึงต้องนั่งรถยาว 350 กม. กลับไปละฮอร์


แผนการเดินทางวันที่ 7 Islamabad – Lahore > Badshahi Mosque > Wagah Border > Allama Iqbal International Airport
LAHORE
ละฮอร์ เมืองหลวงของแคว้นปัญจาบ | Panjab เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของปากีสถาน อยู่ทางทิศตะวันออกมีเขตพื้นที่ชิดติดชายแดนประเทศอินเดีย ละฮอร์เคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิ์โมกุลอันยิ่งใหญ่ ที่ศาสนาอิสลามเจริญรุ่งเรืองมากๆ
เมื่อคราวที่อังกฤษคืนเอกราชให้กับอินเดีย พื้นที่ทางตอนเหนือมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่มากกว่าคนนับถือฮินดู อังกฤษจึงให้เป็นประเทศเอกราชแยกต่างหากจากอินเดีย เกิดเป็นประเทศปากีสถาน และประเทศบังคลาเทศ เมืองละฮอร์เป็นเมืองที่อยู่ในเขตแบ่งดินแดนระหว่างปากีสถานและอินเดีย มีคนหลากหลายศาสนาอยู่รวมกัน เมื่อต้องแบ่งเขตแดน จึงมีการอพยพย้ายถิ่นมากมายเป็นล้านๆคน (ในเวลาจำกัดตามที่อังกฤษกำหนด) ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมของการได้รับเอกราชครั้งนั้น





Minar-e Pakistan อนุสรณ์สถานแห่งชาติปากีสถาน


Badshahi Mosque มัสยิดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของปากีสถาน มองเห็นได้ชัดเจนจากจากบนทางยกระดับ
ศูนย์รวมชาวเมืองละฮอร์และนักท่องเที่ยวอยู่ที่บริเวณ ป้อมปราการเมืองละฮอร์ | Lahore Fort ป้อมปราการและพระราชวังโบราณจากยุคราชวงศ์โมกุล ยังมองเห็นแนวกำแพงเมืองโบราณ จอดรถที่ลานจอดแล้วเดินเลาะแนวกำแพงไป ถ้าเข้าชมป้อมปราการจะมีทางแยกด้านซ้าย ถ้าจะไปมัสยิดบัดชาฮีก็เดินตรงไปเข้าทางสวน Hazuri Badg




เดินเลาะเลียบกำแพงเมือง ผ่าน Samadhi of Ranjit Singh ด้านขวามือ
Lahore Fort ป้อมปราการแห่งเมืองละฮอร์ สร้างเมื่อศตวรรษที่ 11 ในยุคสมัยของราชวงศ์โมกุล การออกแบบก่อสร้างจึงเป็นสถาปัตยกรรมแบบโมกุล ที่มีการปรับเปลี่ยนและต่อเติมมาหลายยุคสมัย หนึ่งในนั้นคือ ชาร์จาฮาน ผู้สร้างทัชมาฮาลด้วย ความยิ่งใหญ่ของป้อมละฮอร์ในยุคดั้งเดิมจะมีส่วนพระราชวัง ส่วนบริหารบ้านเมือง ส่วนมัสยิด และมีการปลูกสร้างอาคาร บ้านเรือน ร้านค้า เต็มแน่นพื้นที่หลังกำแพง มีบันทึกโดยชาวอังกฤษผู้เข้ามาปกครองว่า เมืองละฮอร์ในยุคสมัยนั้น มีสิ่งปลูกสร้างแน่นขนัด มีเพียงถนนเส้นเล็กที่ตัดผ่านชุมชน ละฮอร์จึงได้ชื่อว่าเป็น Walled City คือเมืองหลังกำแพง ปัจจุบันคงเหลือแค่แนวกำแพงเมืองและอาคารบางหลัง มัสยิด และสวน แต่อย่างไรก็ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของปากีสถาน


เดินเข้ามาด้านในของ Hazuni Badg จะเป็น Main Gate ของ Lahore Fort แต่นักท่องเที่ยวจะไม่ได้ให้เข้าทางนี้

Main gate ของ Lahore Fort เมื่อมองจาก Badshahi Mosque ผ่านสวน Hazuri Badg
Hazuri Badg ลานกว้างระหว่างมัสยิดบาชาฮีกับป้อมปราการละฮอร์ เป็นสวนแบบโมกุลที่มีศาลาชมสวนอยู่ตรงกลาง มี Lahore Fort อยู่ทางทิศตะวันออก, Badshahi Mosque ทิศตะวันตก, Samadhi of Ranjit Singh ที่ฝังพระศพมหาราชาราจิต ซิงห์ อยู่ทางทิศเหนือ และมี Roshnai Gate ทางทิศใต้

Hazuri Badg มี Lahore Fort อยู่ทางทิศตะวันออก, Badshahi Mosque ทิศตะวันตก

ศาลาชมสวนกลาง Hazuri Badg กับ Main gate ของ Lahore Fort


สุสาน Allama Iqbal กวีนักปราชญ์คนสำคัญของปากีสถาน



The Roshnai Gate ทางทิศใต้ของของสวน เดินเข้าออกไปที่ตลาดนัดได้
ย้อนไปวันแรกที่พวกเราบินมาถึงปากีสถานที่เมืองละฮอร์ตอนประมาณ 3 ทุ่ม ต้องนั่งรถ (นอนในรถ) ไปที่เมืองอิสลามาบัด เพื่อต่อเครื่องบินภายในประเทศตอนเช้า นั่งรถใช้เวลาประมาณ 4 ชม. มีเวลาเหลือเยอะ ไกด์เลยพาแวะเดินเล่นที่ตลาดนัดข้างมัสยิดบาดจาฮี (ที่เดินเข้าออกจาก Rashnai Gate ของ Lahore Fort นั่นไง) ตอนแรกคิดว่าดึกขนาดนี้ร้านรวงน่าจะปิดหมดแล้ว แต่พอไปถึงเจอคนเยอะมาก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็ก เดินเที่ยวเล่นกันเต็มไปหมด ร้านอาหารคนยังนั่งกันเต็ม ร้านขายของก็ยังเปิด ไกด์บอกว่าเพราะกลางวันอากาศร้อน ตลาดนัดจะเปิดเย็นๆ คนเลยมาเที่ยวกันตอนกลางคืน ร้านจะปิดประมาณตี 2! ร้านดังของที่นี่คือ Haveli Roof Top Bar พวกเราเดินเล่นกันแล้วก็เลยขึ้นไปนั่งจิบชาชมวิวมัสยิดและป้อมปราการละฮอร์ยามค่ำคืนกันด้วยร่างกายที่แทบจะไร้วิญญานเพราะง่วงกันมากแล้ว



มาถึงตอนหลังเที่ยงคืนแล้ว ผู้คนยังเยอะประมาณนี้เลย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ / ยังนั่งม้าเล่นกันอยู่เลย


ร้านขายของยังเปิดขายกันเหมือนยังหัวค่ำ












Haveli Restaurant ร้านบน Roof top ยอดนิยมของทั้งคนปากีและนักท่องเที่ยว มองเห็น Badshahi Mosque และแนวกำแพงเมือง


Badshahi Mosque มัสยิดบัดชาฮีแห่งเมืองละฮอร์ เป็นมัสยิดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของปากีสถาน ด้านในโถงมัสยิดจุคนได้ 2,000 คน แต่ลานด้านนอกจุคนได้เป็นแสนคน มีชาวมุสลิมเข้ามาทำศาสนกิจกันเนืองแน่นทุกวัน สร้างโดยกษัตริย์ออรังเซป Aurangzep กษัตริย์องค์ที่ 6 และองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโมกุล ลักษณะของมัสยิดเป็นสถาปัตยกรรมแบบอินโด อิสลาม และโมกุล สวยงามคล้ายกับมัสยิดของทัชมาฮาลในเมืองอัครา ประเทศอินเดีย













นั่งรถต่อไปที่ชายแดนอีก 30 กม. รถเยอะคนเยอะไปตลอดทาง ทำให้เห็นว่าละฮอร์เป็นเมืองใหญ่ เป็นเมืองการค้า มองเห็นร้านค้าและรถขนส่งของตามข้างทางเยอะมาก


Wagah Border Ceremony ด่านชายแดนวากาห์ เป็นชายแดนปากีสถาน-อินเดีย ทางทิศตะวันออก ฝั่งปากีสถานจะอยู่ในเขตละฮอร์ ฝั่งอินเดียจะอยู่ในเขตอมริสสา | Amritsa ผู้คนพากันไปที่ด่านเพื่อรอดูพิธีเชิญธงลงจากยอดเสาในเวลา 18:00 ของทุกวัน ที่ไม่ใช่การเชิญธงลงธรรมดา แต่จะมีการเดินสวนสนามโดยทหารด้วยท่าทีขึงขัง ดุดัน และพิธีนี้มีทั้ง 2 ฝ่าย คือทั้งฝั่งปากีสถานและฝั่งอินเดีย แต่ละฝั่งประเทศจะจัดทำอัฒจรรย์ให้คนมานั่งชมกันเลย ไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด โดยก่อนถึงเวลาพิธีการ ก็จะเปิดเพลงดังสนั่น มีการพูดปลุกใจ ผู้คนเฮรับกันตลอดเวลา การเดินสวนสนามก็มีท่าทางขึงขังจริงจัง ดุดัน ข่มขวัญใส่ผ่ายตรงข้ามเท่าที่จะทำได้ แต่ดูๆไปก็เหมือนการแสดงเพราะจังหวะการเดินดูเหมือนซักซ้อมกันมา ตอนเดินมาถึงริมรั้วก็มาพร้อมกัน ตอนเตะขาใส่กัน จ้องหน้ากัน ทำได้จังหวะเหมาะเจาะกันมาก พอใกล้ถึงเวลาเชิญธงลง ประตูรั้วกั้นพรมแดนก็เปิดออกด้วย แทบจะเดินไปควงแขนกันเต้นได้เลย พอเชิญธงลงเรียบร้อย ต่างฝ่ายต่างเปลี่ยนผลัดเวรยามแล้ว ประตูก็ปิด เป็นอัญเสร็จพิธีการ







นี่ไง รั้วของชาติ




ช่วงรอเวลาก็มีทีมงานคอยปลุกเร้าอารมณ์ร่วมของคนดู ร้อง เต้น ตะโกน เปิดเพลงกระหึ่ม




จ้องหน้าผ่านประตูรั้วกันไปก่อน





เตะขาสูงประหนึ่งนักกีฬายิมนาสติค



พอเปิดรั้ว นึกว่าจะมีการประดาบโชว์ ปรากฏว่าจับมือทักทายกันซะงั้น


อัญเชิญธงชาติลงเรียบร้อย แล้วนำไปเก็บ รอเอามาชักธงขึ้นเสาใหม่เช้าวันรุ่งขึ้น
Pakistan Trip Day-7 [Wagah Borde Ceremony] < https://youtu.be/LeJhkL5vBCo >
มื้อเย็นสุดท้าย หัวหน้าทัวร์บอกว่าต้องหาอะไรแปลกๆทานเป็นการสั่งลา มื้อนี้เลยได้ลองอาหารญี่ปุ่นในปากีสถาน ชื่อร้าน Saku Hana แปลว่าดอกไม้บาน เป็นการจบทริปดูดอกไม้บานที่ปากีสถานที่สมบูรณ์มาก ร้านอยู่ในย่านเมืองใหม่ DHA Phase 6 ที่มีอาคารที่พักอาศัย มีตึกสูงๆหลายตึก ผู้คนที่มาเดินเที่ยวเล่นยามค่ำคืนแถบนี้ ดูแปลกตามาก เพราะสาวๆวัยรุ่นใส่เสื้อเอวลาย ผู้ชายแต่งตัวเหมือนวัยรุ่นบ้านเรา มีร้านค้า ร้านอาหารหรูหรา หลากหลายให้เลือก อิ่มข้าวแล้ว เลยลองเข้าร้านกาแฟคุ้นเคย Costa coffee ตกใจกับราคามาก ลาเต้ร้อนแก้วละเกือบ 150 บาท





Allama Iqbal International Airport สนามบินนานาชาติอัลลามา อิกบาล สนามบินเดิมกับที่มา เหมือนกับสนามบินหลายๆแห่งในแถบเอเชียกลางที่ไม่ให้คนเข้าไปด้านในสนามบินเลยนอกจากคนเดินทาง ไกด์จึงมาส่งพวกเราได้แค่ประตูทางเข้า ซึ่งคนเนืองแน่น ไม่มีพื้นที่ให้ร่ำลากัน เข้าด้านในแล้วรีบไป Check in เสียเวลาไม่นาน แต่มาเสียเวลาตอน Immigration check คือนานมาก คนค้างรอกันเต็มพื้นที่ กว่าจะผ่านตรวจพาสปอร์ตได้ใช้เวลาเป็นชั่วโมง คนรอ Security Check ก็เยอะ ดีที่มีเจ้าหน้าที่มาเรียกคนต่างชาติให้ไปตรวจแถวต่างหากเลยผ่านจุดนี้มาเร็ว เข้ามานั่งรอไม่นานก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องพอดี



สนามบินไม่ใหญ่มาก แต่เข้าด้านในได้เฉพาะผู้โดยสารก็เลยไม่แออัด

Immigration มีแค่ 4 ช่อง และตรวจนานมาก รอตรงนี้เกือบชั่วโมง


บทสรุปปากีสถานวันที่ 7
📷 Bashahi Mosque
📷 Wagah Border Ceremony
🍽 อาหารกลางวัน : Rest Area ระหว่างทาง – ไก่ทอด & Pizza
🍽 อาหารเย็น : Saku Hana Japanese Restaurant, Lahore
🚌 นั่งรถรวมระยะทาง 430 กม.

TG346 พาบินกลับกรุงเทพถึงตอนเช้ามืด กลับมารับรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตแผดเผากันต่อไป หนีร้อนไปพึ่งเย็น 7-8 วัน เป็นทริปที่ดีเลย 7 วันพันกว่าเหตุการณ์ จบทริปอย่างดี มีความสุข คิดว่าต้องไปดูปากีสถานในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีอีกสักรอบ

Leave a comment