Trip : Myanmar 2004 [Yangon, Bago, Kyaikhto]
ทริปเที่ยวพม่าแบบปุบปับฉับพลัน น้องสาวที่รู้จักกันอยากพาคุณพ่อไปเที่ยวพม่า เลยมาชวนไปด้วยกัน เป็นช่วงหยุดสงกรานต์พอดี ไม่ต้องลางาน ก็เลยใจง่าย ตกลงปลงใจไปด้วย ซื้อทัวร์กันไป 4 วัน 3 คืน ราคาหมื่นนิดๆ

ทริปสั้นๆง่ายๆ ย่างกุ้ง หงสา แถมด้วยพระธาตุอินทร์แขวน ไปพม่าครั้งแรก แถมงานยุ่งสุดๆก่อนไป ไม่มีข้อมูลในสมองไปเลย ชื่อวัดก็คล้ายกันไปหมด ชเวๆๆ กลับมาต้องมาหาความรู้เพิ่มเติมถึงพอเข้าใจ
เริ่มจากสถานที่ท่องเที่ยวคือวัดต่างๆ ขึ้นต้นด้วยคำว่า ชเว… เช่น ชเวดากอง, ชเวมอดอ คำว่า “ชเว” (Shew | ရွှေ) หมายถึง ทอง สังเกตได้ว่าถ้าขึ้นต้นว่าชเว วัดนั้นหรือเจดีย์นั้นจะทาสีทองอร่าม ส่วนคำว่า พญา (Paya | ဘုရာ) ที่ต่อท้ายชื่อแปลว่าเจดีย์ (Pagoda)
ส่วนคำทักทายก็คุ้นหูกันดีกับคำว่า “มิงกะลาบา (မင်္ဂလာပါ)” ที่แปลว่าสวัสดี พูดทักทายได้ตลอดวัน ถ้าขอบคุณก็บอกว่า “เจซูติน บาแด (ကျေးဇူးတင်ပါတယ်)” ภาษาพม่า ยากเกินกว่าจะจดจำตัวอักษร แต่ชอบในเรื่องความสวยงาม เป็นตัวกลมๆ เวลาเขียนคงจะยากน่าดู

รายการท่องเที่ยวเป็นรายการมาตรฐานทั่วไป ลองหาข้อมูลดูทุกๆทัวร์เที่ยวเหมือนๆกัน
Day-1:
• Taukkyan War Cemetery at Yangon
• Shwe Maw Daw Pagoda at Bago
• Kyaiktiyo Pagoda at Kyaikhto
Day-2:
• Shwe Tha Lyaung Buddha at Bago
• Kyaik Pun Pagoda at Bago
Day-3:
• Kyaik-Khauk Pagoda at Than lyin
• Kyauktan Yele Pagoda at Than Lyin
• Chauk Htat Gyi Buddha at Yangon
• Shwedagon Pagoda at Yangon
Day:4
• Sule Pagoda at Yangon
• Botataung Pagoda at Yangon
• Kaba aye Pagoda at Yangon
• Kyauk Taw Gyi Buddha at Yangon

วันที่ 1 : ย่างกุ้ง (Yangon) > หงสาวดี (Bago) > ไจก์โถ่ (Kyaikhto)

บินตรงกรุงเทพฯ-ย่างกุ้ง ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ จากสนามบินดอนเมือง ก็มาลงจอดที่สนามบินนานาชาติย่างกุ้ง (Yangon International Airport) เสียเวลาที่ตม.ไม่นานมาก เพราะมาเป็นกรุ๊ปทัวร์ มีช่องพิเศษให้ ออกมารับกระเป๋าพร้อมแลกเงินไว้ใช้จ่ายนิดหน่อย
คณะทัวร์ไม่เล็กไม่ใหญ่ ราว 20 คน ขึ้นรถบัสเล็ก ที่มีพี่ไกด์พม่าสุดหล่อพูดไทยชัดมากนามว่า มานิตย์ มารับ ชื่อนี้พี่แกบอกลูกทัวร์คนก่อนๆตั้งให้ แกก็ใช้มาตลอดเพราะคนไทยจำง่ายดี มานิตย์เรียนภาษาไทย อ่านเขียนได้อย่างดี เลยถนัดนำทัวร์ไทย
ระหว่างทางเห็นชาวพม่าเล่นน้ำสงกรานต์กันจริงจัง แบบว่าจริงจังมาก มีการตั้งเวทีริมถนนกันหลายเวทีมาก มีต่อท่อน้ำมาให้เล่นกันแบบสะดวกสบาย ฉีดกันเข้าไป ทั้งฉีดทั้งสาด ความสนุกของนักท่องเที่ยวคือนั่งรถบัสหน้าต่างบานใหญ่มองเห็นชัด รถติดเคลื่อนได้ช้าๆ โดนสาดไปตลอดทางประหนึ่งได้เล่นด้วย แต่ตัวไม่ปียก
สุสานสงครามโลก
The Taukkyan War Cemetery | ထောက်ကြံ့ စစ်သင်္ချိုင်း
วันนี้เราจะออกนอกเมืองย่างกุ้งขึ้นเหนือไปหงสาวดี ที่แวะจุดแรกเป็นทางผ่าน คือ สุสานสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เมืองเทาเคียน เป็นสุสานทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เป็นทหารฝ่ายสัมพันธมิตร ทั้งอังกฤษ อินเดีย และทหารอัฟริกัน ส่วนมากเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้านในก็มีรายชื่อทหารที่เสียชีวิตสลักไว้บนแผ่นหิน เหมือนสุสานทหารผ่านศึกที่จังหวัดกาญจนบุรี มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่ตลอดเพราะเป็นทางผ่านขึ้นเหนือ ญาติพี่น้องเพื่อนพ้องของผู้เสียชีวิตก็ยังมีมาเคารพหลุมศพกันตลอด

หงสาวดี (พะโค)
Bago | ပဲခူးမြို့
นั่งรถต่อไปถึงเมือง แบ่กู (Bago) หรือ พะโค หรือในชื่อคุ้นหูว่า หงสาวดี เมืองที่คนไทยรู้จักกันดี เมืองที่มีความเกี่ยวข้องกับชาวไทยในหลายมิติ มานิตย์เล่าเรื่องราวสมัยอยุธยากับหงสาวดียกทัพกันไปมาได้เหมือนเจอตำราพงศาวดารไทย-พม่าพูดได้ แม้รายละเอียดปลีกย่อยจะต่างจากที่เราๆได้เรียนได้อ่านมาบ้าง แต่ก็ถือว่าดีที่ได้ฟังเรื่องราวจากด้านอื่นบ้าง หงสาวดีเป็นพื้นที่ของชาวมอญมาแต่โบราณ จะเจอสาวมอญตาคมผมยาว สวยมีเสน่ห์เต็มไปหมด

หงสาวดีรุ่งเรืองสุดขีดในยุคของบุเรงนอง กษัตริย์นักรบที่คนไทยรู้จักดี เมื่อสิ้นบุเรงนองแล้ว พระโอรส คือ นันทบุเรงขึ้นปกครองแทน แต่ไม่มีอำนาจบารมีเทียบเท่า หัวเมืองต่างๆ อย่าง อังวะ ตองอู ก็แข็งข้อ แถมทำศึกสงครามกับอยุธยาก็พ่ายแพ้ สุดท้ายหงสาวดีโดนกองทัพยะไข่และตองอูตีแตกในที่สุด ตลอดยุคสมัยของพระเจ้านันทบุเรง หงสาวดีตกอยู่ในภาวะสงครามตลอดเวลา ทำให้ชาวหงสาอยู่ในสภาพที่ยากแค้นขัดสน ไม่มีเวลาได้พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง หลังจากโดนตีแตก บ้านเมืองถูกทำลาย วัดวาอารามและปราสาทราชวังเหลือแต่ซาก ไม่หลงเหลือความรุ่งเรืองให้ได้เห็น (นอกจากจะไปดูหนังพระนเรศวร ฮ่าๆๆ)
เจดีย์ชเวมอดอ (พระธาตุมุเตา)
Shwe Mawdaw Pagoda | ရွှေမောဓော ဘုရာ
สลดใจกับชะตากรรมเมืองหงสาแล้ว ก็ไปกันต่อที่ เจดีย์ชเวมอดอ หรือที่คนไทยเรียกว่า พระธาตุมุเตา เป็นเจดีย์เก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองหงสาวดี สร้างโดยชาวมอญมากว่า 2000 ปี ก่อนที่พระเจ้าตะเบงชเวตี้จะเข้ามายึดครอง เชื่อกันว่าภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ความศรัทธาในองค์พระธาตุมีมาตั้งแต่ยุคพระเจ้าบุเรงนอง ว่ากันว่าทุกครั้งก่อนออกศึกพระเจ้าบุเรงนองจะต้องมาสักการะองค์พระธาตุเพื่อขอให้ชนะศึกสงคราม
องค์เจดีย์ได้รับการบูรณะต่อเติมมาทุกสมัย จากขนาดไม่ใหญ่จนกลายเป็นเจดีย์สูง 144 ม. ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่า (สูงกว่าชเวดากอง) มีลักษณะสวยงามแบบศิลปะผสมผสานระหว่างพม่าและมอญ แต่ในปี พ.ศ. 2473 เกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงทำให้ยอดเจดีย์หักพังลงมา แต่กลับแค่หักลงมาไม่พังทลาย ยังคงสภาพเป็นยอดเจดีย์อยู่ ยิ่งเพิ่มความเชื่อความศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นไปอีก

ชาวพม่าและชาวมอญเลื่อมใสศรัทธาเจดีย์ชเวมอดอมาก มักไปกราบไหว้องค์พระธาตุและเอาไม้ไปค้ำไว้กับยอดเจดีย์ที่หักลงมาพร้อมเอาหน้าผากไปแตะ เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง

ไจก์โถ่
Kyaikhto | ကျိုက်ထိုမြို့
จากหงสาวดีนั่งรถต่อไปจนถึงเมืองไจก์โถ เมืองปลายทางสำหรับคนที่จะขึ้นไป พระธาตุอินทร์แขวน คืนนี้พวกเราจะไปนอนที่โรงแรมบนเขาใกล้ๆวัดเลย การเดินทางขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อนมัสการพระธาตุอินทร์แขวน ต้องไปเปลี่ยนรถที่หมู่บ้านคินปุ๊น Kin Pun เป็นรถหกล้อเล็กที่วางไม้กระดานพาดไว้ให้นั่ง บางคนเรียกรถขนหมู ก็เหมือนจริงๆแหละ นั่งรถขึ้นเขาคดเคี้ยวไปสักพัก จากนั้นต้องลงเดินขึ้นเขาเป็นระยะทาง 1-2 กม. เดินเรื่อยๆประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง หรือใครเดินไม่ไหว จะมีเสลี่ยงให้เรานั่งขึ้นไป
ไจก์ทิโย (พระธาตุอินทร์แขวน)
Kyaiktiyo Pagoda (Golden Rock Pagoda) | ကျိုက်ထီးရိုးဘုရား
พระธาตุอินทร์แขวน คนพม่าและมอญเรียกเจดีย์องค์นี้ว่า “ไจก์ทิโย” (ภาษามอญ หมายถึง เจดีย์เหมือนหัวฤๅษี หรือ “เจดีย์หัวฤๅษี”) แต่คนไทยเรียกว่า “พระธาตุอินทร์แขวน” ตามตำนานที่เล่าว่า ฤาษีผู้ได้รับพระเกศาของพระพุทธเจ้ามาบูชา เมื่อใกล้จะละสังขารจึงต้องการเก็บรักษาพระเกศาไว้ในหินที่มีลักษณะเหมือนศรีษะ พระอินทร์ทราบเรื่องจึงช่วยหาก้อนหินมาให้ บรรจุพระเกศาพระพุทธเจ้า แล้วเอาไปแขวนไว้ที่หน้าผา องค์พระธาตุอินทร์แขวน ลักษณะเป็นเจดีย์องค์เล็กๆ สร้างไว้บนก้อนหินที่ทาสีทองทั้งองค์เจดีย์และก้อนหิน มองดูเหมือนลอยติดอยู่กับขอบหน้าผาได้อย่างเหลือเชื่อ
พวกเราเปลี่ยนรถเป็นหกล้อเล็ก นั่งวนขึ้นเขามาถึงจุดจอด จุดที่เริ่มเดินต่อขึ้นไปที่ยอดเขา ซึ่งทัวร์มีจัดเสลี่ยงให้เรานั่งขึ้นไป (เหมือนขึ้นภูกระดึงบ้านเราเลย) ความจริงเดินก็พอไหวไม่ได้ไกลมาก แถมทุกคนบอกว่าเดินขึ้นได้บุญนัก แต่เมื่อทัวร์จัดเสลี่ยงให้ เราก็เลยขอลองนั่งหน่อย เสลี่ยงนั่งแบบมีคนแบกหาม 4 คน ประหนึ่งองค์หญิง เพียงแต่ที่นั่งเป็นแค่เก้าอี้มัดติดกับลำไม่ไผ่ ไม่ได้เป็นเกี้ยวแบบองค์หญิงในหนังจีน พลหาบจะเดินแบกเราก้าวฉับๆขึ้นขึ้นเขาวนไปวนมา บางช่วงเป็นบันได ขอบอกว่าเสียวไม่น้อย แถมด้วยกลิ่นเหงื่อสาบกายชายพม่าตลบอบอวลสุดๆ เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งจริงๆ (ต่อมา พม่าพัฒนาการเดินทางขึ้นถึงองค์พระธาตุ โดยทำถนนให้รถ 4WD ขึ้นไปได้สะดวก จนปัจจุบันมีเคเบิ้ลคาร์แล้ว ขึ้นลงได้ง่ายขึ้นไปอีก แต่สงสัยว่าแล้วจะเหลือบุญเท่าไหร่กัน ฮา…)

[ปรับปรุงข้อมูล ปี 2561]
การเดินทางขึ้นไปยัง Golden Rock Pagoda จาก Kin Pun Sakhan มี 2 วิธีคือ
1. นั่งรถบรรทุกขึ้นเขาไปถึง Kyaiktiyo เลย ราคา 2,500 kyat
2. นั่งรถบรรทุกขึ้นไปที่ Kyaiktiyo Cable Car Station ราคา 1,500 kyat แล้วขึ้น Cable Car ไป 10 นาที ขึ้นไปที่ Kyaiktiyo ค่าโดยสาร 7,000 kyat
3. ใครยังอยากเดินแสวงบุญก็ยังเดินได้เช่นเดิม
กว่าจะแบกกันขึ้นมาถึงด้านบนก็บ่ายแก่ เข้าที่พักซึ่งมีให้เลือกอยู่แค่ 2-3 ที่ อยู่ติดกับวัดเลย โรงแรมที่ทัวร์จองมาถือว่าดีที่สุดแล้ว แต่คุณภาพไม่ต่างกับโรงแรมจิ้งหรีด ที่นอนหมอนผ้าห่ม เห็นแล้วขนลุก แต่ก็นอนแค่คืนเดียว ทนๆเอา เก็บของแล้วก็เดินเข้าไปนมัสการพระธาตุกันตามอัธยาศรัย อย่าลืมว่าการเข้าพื้นวัดในประเทศพม่าต้องถอดรองเท้าเดินเสมอ เตรียมถุงไปหิ้วด้วยก็ดี หรือใครใคร่ถอดวางไว้หน้าประตูไม่กลัวหายก็ได้ ถุงเท้าก็ต้องถอด ต้องเดินเท้าเปล่าเท่านั้น
ขึ้นมาตอนเย็นๆแบบนี้เดินสบายเท้าหน่อย และแสงสวยงามมาก เดินเล่นนั่งเล่น และเข้าไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนกันจนมืดค่ำ ในบริเวณก้อนหิน จะล้อมรั้วไว้ เข้าไปถึงก้อนหินได้เฉพาะผู้ชาย ผู้หญิงก็ไหว้อยู่ด้านนอก ต้องฝากธูปฝากเทียนฝากทองผู้ชายเข้าไปปักเข้าไปแปะ
ผู้ชายเข้าไปถึงด้านในแตะก้อนหินได้ ผู้หญิงได้แค่นั่งไหว้นอกรั้วตรงนี้


กลับมาที่พัก มีระเบียงออกไปยืนชมพระธาตุได้ เปิดไฟสว่างไสวมาก (ไม่ได้ใช้ขาตั้ง รูปเบลอไปหมดเลย)

วันที่สอง : หงสาวดี (Bago) > ย่างกุ้ง (Yangon)
ตื่นเช้าออกมารับอากาศหนาวบนยอดเขา เดินเข้าวัดกันอีกรอบ ไปดูทะเลหมอกกันหน่อย ก็พอมีทะเลหมอกให้เห็น แต่หุบไม่กว้างมาก สายๆหมอกฟุ้งขาวไปทั้งวัด



เข้าไปในอาคารดูรูปปั้นของ“พระนางชเวนันจิน”ในท่านอนหงาย มีตำนานเล่าว่านางเป็นลูกครึ่งของคนกับพญานาค โตมาเป็นสาวสวยได้แต่งงานกับเจ้าเมือง ต่อมาป่วยหนักโหรบอกว่าก่อนแต่งงานนางไม่ได้เคารพบรรพบุรุษ จึงให้เดินทางไปกราบพระธาตุอินทร์แขวน แต่โดนเสือกัดตายเสียก่อน เลยกลายเป็นนัตอยู่ที่บนเขานี้ (คนพม่าเรียกผีแบบนี้ว่า นัต แต่นัตไม่ใช่วิญญานทั่วไป นัตเป็นกึ่งผีกึ่งเทพ คือศักดิ์สูงกว่าผีแต่ยังไม่ใช่เทวดา คนตายที่วิญญานจะกลายเป็นนัตต้องเป็นคนที่มีคนเคารพนับถือ เมื่อตายไปโดยเหตุภัยอันน่าสะเทือนใจ ผู้คนรู้สึกสงสารเห็นใจเลยกลายไปเป็นนัต ชาวพม่าบูชานัตเพื่อให้ช่วยปกป้องดูแล คุ้มครองป้องกันภัย)

เดินชมบรรยากาศเช้าจนได้เวลา ก็อาบน้ำแต่งตัว กินข้าวเช้าแล้วเตรียมเดินทางลง ตอนลงก็เหมือนเดิมใครใคร่เดินก็เดิน ใครใคร่นั่งเสลี่ยงก็นั่ง ถึงด้านล่างนั่งรถกลับไปเมืองหงสา
พระนอนชเวตาเลียว
Shwe tha lyaung Buddha | ရွှေသာလျှောင်းဘုရာ
มาถึงหงสาวดี ใครๆก็ต้องมากราบพระนอนชเวตาเลียว พระพุทธรูปนอนองค์ยาว 55 เมตร สูง 16 เมตร ลักษณะพิเศษคือเท้าจะวางไขว้กัน ไม่เหมือนกับพระนอนบ้านเรา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นลักษณะของพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ได้เสด็จสู่ปรินิพพาน เป็นการนอนก่อนที่จะเสด็จปรินิพพานในวันต่อมา เป็นศิลปะแบบมอญสร้างมาตั้งแต่สมัยมอญยังรุ่งเรือง จนหงสาวดีโดนตีแตก พระทพุทธรูปก็ถูกทิ้งร้างไป มาค้นพบอีกครั้งตอนอังกฤษเข้ามาสำรวจพื้นที่เพื่อทำทางรถไฟ จึงได้เริ่มทำการบูรณะ และสร้างอาคารครอบไว้

พระพุทธรูปองค์นี้นอนยิ้มหวาน บางคนก็เลยเรียกพระยิ้มหวาน มีที่หนุนหัวเหมือนหมอนขิตบ้านเราเลย จีวรก็ทำได้ดูพริ้วไหวเหมือนจริง เดินวนไปดูฝ่าเท้ามีการประดับตกแต่งด้วยกระจกสวยงาม สังเกตดูนิ้วเท้าพระพุทธรูปพม่าจะยาวไม่เท่ากันเหมือนเท้าคนจริงๆ แต่พระพุทธรูปไทยนิ้วจะเท่ากันหมด ไปหาสังเกตุดูได้
เจดีย์ไจ๊ปุ่น
Kyaik pun Pagoda| ကျိုက်ပွန်ဘုရာ
นั่งรถต่อไปอีกไม่นานก็แวะอีกวัด คือ วัดเจดีย์ไจ๊ปุ่น จุดเด่นของวัดนี้คือมองเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สูงเกินขอบรั้วตั้งแต่ทางเข้าเลย จริงๆแล้วนั่นคือเจดีย์ มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนเจดีย์ทั่วไป เพราะสร้างเป็นพระพุทธรูปปางประทับนั่ง 4 รูปล้อมรอบเจดีย์ทรงเหลี่ยมสูง 30 ม. พระพุทธรูปหันหน้าไปตามทิศทั้ง 4 คือ สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางทิศเหนือ / พระ พุทธเจ้าโกนาคมโน ทางทิศใต้ / พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ทางทิศตะวันออก / พระ พุทธเจ้ามหากัสสปะ ในทิศตะวันตก


“ไจ๊” คือ พระ หรือ เจดีย์ “ปุ่น” คือ 4

จากนั้นก็นั่งรถกลับเมืองเข้าย่างกุ้ง รถก็ติดมากมาย เพราะคนพม่ายังคงเล่นสงกรานต์กันเอาจริงเอาจัง กว่าจะไปถึงที่พักในย่างกุ้งได้ก็เย็นพอดี
วันที่ 3 : ย่างกุ้ง (Yangon)
เช้าสดใสในเมืองย่างกุ้ง วันนี้พวกเราจะเที่ยววนๆกันอยู่ในเมืองย่างกุ้งและพื้นที่รอบๆ หลังอาหารเช้าที่โรงแรมก็ออกเดินทางด้วยรถมินิบัส ข้ามแม่น้ำไปเขตเมืองทันยิ่น (Thanlyin) หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อเมืองสิเรียม (Syriem) อยู่ห่างจากย่างกุ้ง 25 กม. ชาวเมืองสิเรียมส่วนมากเป็นพม่าเชื้อสายอินเดีย ที่ตั้งรกรากมาตั้งแต่สมัยอังกฤษเอาชาวอินเดียมาทำงานตอนมาปกครองพม่า สาวลูกครึ่งพม่าอินเดียผิวเข้มคมขำตาโต สวยทุกคน

เจดีย์ไจ๊เค้า
Kyaik-Khauk Pagoda | ကျိုက်ခေါက်စေတီတော်
รูปทรงเจดีย์คล้ายเจดีย์ชเวดากองแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก ทางเข้าต้องเดินขึ้นบันไดไปหน่อย ที่นี่มีเทพทันใจด้วย เป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองทันยิ่นหรือเมืองสิเรียม รอบๆเจดีย์มีพระประจำวันเกิดให้สรงน้ำด้วย (วิธีสรงน้ำคือ อายุ+1 เป็นจำนวนขันที่ใช้ตักมาสรงน้ำ เหมือนที่ชเวดากอง)
นอกจากองค์เจดีย์สีทองอร่ามแล้ว ที่นี่ก็มีเทพทันใจด้วย ใครที่เชื่อถือศรัทธาก็ไปขอพรกันได้ ว่ากันว่าเทพทันใจที่นี่เป็นองค์แรก องค์สำคัญที่สุด (ในพม่ามีเทพทันใจหลายที่)


เจดีย์เยเลพญา
Kyauktan Yele Pagoda (Mid river Pagoda) | ကျောက်တန်းရေလယ်ဘုရာ
เดินทางต่อไปอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ไปถึงริมแม่น้ำ มองเห็นวัดสีทองอยู่บนเกาะกลางน้ำ คือ วัดเจดีย์เยเล วัดเก่าแก่พันกว่าปี สร้างโดยคหบดีชาวมอญ ต้องนั่งเรือข้ามไปที่เกาะ พื้นที่บนเกาะไม่กว้างมาก ภายในเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า มีพระพุทธรูปหินอ่อนให้กราบไหว้ คนที่ทำธุรกิจ ทำการค้า นิยมมาไหว้ขอพรให้กิจการรุ่งเรืองทำมาค้าขึ้น

อีกส่วนที่ผู้คนนิยมเข้าไปสักการะ คือศาลาพระอุปคุต ที่สร้างยื่นไปในน้ำให้เหมือนว่าลอยน้ำอยู่ เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้ไปกราบไหว้มีโชคลาภ

พระนอนวัดเจ๊าทัตยี
Chauk htat gyi Buddha | ခြောက်ထပ်ကြီးဘုရားကြီ
จากนั้นก็นั่งรถข้ามแม่น้ำย้อนกลับมาย่างกุ้ง มาแวะนมัสการพระนอนที่วัดเจ๊าทัตยี เป็นพระนอนองค์ใหญ่ลำดับ 3 ของพม่ามีความยาว 65 ม. หลายคนเรียกพระนอนตาหวาน เพราะพระพุทธรูปพม่าองค์นี้มีขนตายาวงอนเช้ง ทำให้ดูตาหวานกันเลย (อันนี้แปลกมาก) ดวงตาที่ดูสดใสนั้นผลิตจากแก้วที่สั่งทำพิเศษจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ดวงตามีลักษณะเหมือนกับดวงตามนุษย์จริงๆ ส่วนปลายเท้าก็วางไขว้กันเหมือนพระนอนชเวตาเลียว ที่เมืองหงสาวดี ที่ฝ่าเท้ามีลวดลายเป็นมงคล 108 ประการ ที่ฐานรอบๆองค์พระมีรูปปั้นรูปวาดเกี่ยวกับพุทธศาสนา ที่วัดนี้เนืองแน่นไปด้วยคนพม่าที่มากราบไหว้ขอพรกัน


พระมหาเจดีย์ชเวดากอง
Shwedagon Pagoda| ရွှေတိဂုံစေတီတေ
ออกจากวัดเจ๊าทัตยี แล้วใกล้ๆกันก็เป็นทางขึ้นลิฟต์ สำหรับขึ้นไปด้านบนของวัดพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง (สำหรับคนจะเดินขึ้น ให้ไปอีกด้านของเขา จะมีบันไดเดินขึ้นได้) ไปแวะจัดแจงแต่งตัวให้สุภาพเรียบร้อยอีกครั้ง ระหว่างรอมานิตย์ไปซื้อตั๋วลิฟต์และค่าเข้าวัด รวมทั้งต้องเสียเงินค่ากล้องถ่ายภาพและขาตั้งกล้องด้วย ก่อนขึ้นมีการสแกนกระเป๋าทั้งหมด คือตรวจละเอียดกันเลยทีเดียว เพราะพระมหาเจดีย์ชเวดากองนี่ถือเป็นจิตวิญญานของคนพม่าก็ว่าได้



คนพม่ามักใช้บันไดเดินขึ้นพระเจดีย์ชเวดากอง
ขึ้นลิฟต์ไปถึงด้านบน จะเดินผ่านต้นศรีมหาโพธิ์ที่มีคนมานั่งสมาธิกันใต้ต้นและบริเวณรอบๆ ว่ากันว่าใครมาอธิษฐานสิ่งใดแล้วมีใบโพธิ์ร่วงลงมาและรับไว้ได้สิ่งที่ขอจะสมหวัง ก็ยืนไหว้อธิษฐานกันอยู่พักใหญ่ ใบไม้ก็ไม่ยักร่วง

เดินเข้าด้านใน รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นทุกที ในที่สุดก็ได้เห็นองค์พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากองใกล้ๆ องค์พระมหาธาตุสีทองสุกใส มันสวยงามจริงๆ ผู้ศรัทธามากมายเดินกันเต็มลาน แต่กลับดูไม่วุ่นวาย กลับดูสงบสวยงาม ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็สวยประทับใจ



ในบริเวณรอบเจดีย์ จะมีพระประจำวันเกิดตั้งอยู่ โดยแต่ละวันจะมีรูปปั้นเป็นสัญลักษณ์ ดังนี้
วันอาทิตย์(ตะนิ้นกะหนู่เอเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นครุฑ
วันจันทร์ (ตะนิ้นลาเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นเสือ
วันอังคาร (เอ็งก่าเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นสิงห์
วันพุธกลางวัน (บูดาหู้) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นช้างมีงา
วันพุธกลางคืน (ราหูเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นช้างไม่มีงา
วันพฤหัสบดี (จ่าฏ่าบเดเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นหนูใหญ่หางสั้น (คล้ายอ้น)
วันศุกร์ (เฏ้าจ่าเนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นหนูหางยาว
วันเสาร์ (เสน่ห์เนะ) – มีสัญลักษณ์เป็นรูปปั้นพญานาค
วิธีไหว้พระพม่า แบบฉบับของพม่า จะต้องไหว้และรดน้ำพระและสัตว์ประจำวันเกิดของตัวเอง
วิธีการรดน้ำพระประจำวัน จะมีก๊อกน้ำอยู่บริเวณนั้น ให้เปิดน้ำจากก๊อกใส่ลงในขันใบใหญ่ แต่ก่อนที่จะรดน้ำให้ไหว้พระและอธิษฐาน จากนั้นจึงตักน้ำรดพระพุทธรูปหินอ่อน รวมถึงเทพเทวดาที่ยืนอยู่หลังพระหินอ่อนด้วย
วิธีรดน้ำให้สัตว์ประจำวันเกิด จำนวนน้ำที่รดนั้นจะต้องเท่ากับอายุของเราและบวกเพิ่มอีก 1 ขัน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
มานิตย์ชวนให้เข้าไปเดินดูในส่วนพิพิธภัณฑ์ก่อนที่มันจะปิด ก็เข้าไปเดินดูกัน มีภาพอธิบายความเป็นมาเป็นไป และการปรับปรุง ปฏิสังขรณ์องค์เจดีย์ในหลายๆคราว รวมทั้งรูปเพชรพลอยประดับยอดเจดีย์ โอ้โห…มีแต่เม็ดโตๆ ทั้งเพชร พลอย อัญมณี ทอง เงิน ทอง ที่นำมาประดับหรือหลอมรวมกันมาสร้างพระมหาธาตุนี้มาจากศรัทธาของชาวพม่าทั้งสิ้น ดูจากรูปแล้วมากมายมหาศาลจริงๆ ในขณะที่ชาวบ้านยังอยู่ในสภาพยากจนแร้นแค้น แต่กลับยอมบริจาคของมีค่ามาด้วยจิตศรัทธา!
ออกมาเดินด้านนอกตอนแสงอาทิตย์เริ่มเร่งแสงสีแรงจัดช่วงสุดท้ายก่อนจะค่อยๆราแสงลงไป องค์พระธาตุสะท้อนแสงอุ่นๆสวยงามจับใจ เมื่อหมดแสงอาทิตย์องค์พระธาตุก็ยังสว่างสดใสด้วยแสงจากโคมไฟ มานิตย์บอกว่าพระเจดีย์ชเวดากองไม่มีมืด คุณจะมองเห็นองค์เจดีย์ได้ทุกที่ทุกเวลา

อยู่กันด้านบนจนค่ำมืด อิ่มอกอิ่มใจกันเต็มที่ก็กลับลงมา ทานอาหารเย็นก่อนเข้าที่พัก มาเที่ยวทัวร์ก็สบายไปอย่าง ไม่ต้องคิดอะไรมาก กินอิ่ม นอนหลับ มีคนขับพาเที่ยว

วันที่ 4 : ย่างกุ้ง (Yangon)
ย่างกุ้ง
Yangon | ရန်ကုန်မြို့
เช้าสุดท้ายในย่างกุ้ง และในประเทศพม่า เราออกจากโรงแรมมาเดินเล่นตามถนน อยากหาตลาดไปเดินเที่ยวเล่นแต่ไม่มีในระยะใกล้ เลยได้แต่เดินวนไปมารอบๆโรงแรม คนพม่าใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส หลายคนพูดภาษาไทยได้ ก็ทักทายสวัสดีกัน

สายๆเก็บของมาฝากไว้ที่ชั้นล่างแล้วออกเที่ยวกัน วันนี้ไปบริเวณกลางเมือง ตรงวงเวียนซูเหล่ (Sule Square) แถบนี้ ล้อมรอบด้วยสถานที่สำคัญ อย่างศาลาว่าการ ธนาคาร ไปรษณีย์กลาง และยังเป็นศูนย์รวมของระบบขนส่งหลายๆอย่าง ทั้งรถไฟ รถบัส รถเมล์
เจดีย์ซูเหล่
Sule Paya (Sule Pagoda) | ဆူးလေဘုရာ
ตรงกลางของแยก เป็นวงเวียนที่เป็นวัดขนาดใหญ่ คือ วัดเจดีย์ซูเหล่ เวลาจะไปวัดก็ต้องเดินข้ามถนนไป รถในวงเวียนก็เยอะ ข้ามก็ยาก ที่ทำถนนล้อมจนเป็นวงเวียนแบบนี้ เพราะสมัยอังกฤษปกครองพม่า ได้วางผังเมืองให้มีถนนตัดกันเป็นกริด อย่างมีระเบียบ มี Sule Square เป็นศูนย์กลาง ถนนทุกสายมุ่งสู่ Sule Square
เจดีย์ซูเหล่ เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยม อยู่ใจกลางเมืองย่างกุ้ง เป็นแหล่งรวมจิตใจของชาวพม่ามีอายุเป็นพันปีทีเดียว นานกว่าเจดีย์ชเวดากองด้วยซ้ำ ชาวพม่าจึงเคารพศรัทธากันไม่น้อยกว่าชเวดากอง รอบๆวัดมีร้านขายดอกไม้ และร้านขายของที่ระลึกรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่เต็มไปหมด ทั้งคนท้องถิ่นทั้งนักท่องเที่ยวข้ามถนนมาที่วัดกันตลอดเวลา ยิ่งขึ้นไปด้านบนวัดยิ่งแน่นจนต้องเดินเบียดกัน


เจดีย์โบตาตาว
Botataung Pagoda|ဗိုလ်တထောင်ဘုရာ
ออกจากย่านซูเหล่แล้วไปต่อที่เจดีย์โบตาตาว ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำ อารมณ์เหมือนไปวัดโสธร เพราะคนเยอะมาก รถก็จอดกันแน่น ที่วัดนี้เคยเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุที่พระสงฆ์อินเดียนำมา ตอนที่เจดีย์ชเวดากองยังสร้างไม่เสร็จ ภายหลังองค์เจดีย์โดนทำลายไปในช่วงสงครามโลก แล้วพบโถบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอื่นๆ จึงเจดีย์สร้างใหม่ขึ้นมาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้นไว้
ผนังด้านในขององค์เจดีย์ประดับกระเบื้องสีเขียว สวยงามวิบวับ มีมุมสำหรับฝึกสมาธิหลายจุด แม้คนจะเยอะ เดินกันขวักไขว่ แต่ก็มีพระ มีผู้ศรัทธามานั่งสมาธิอยู่ทุกซอกทุกมุม
ที่วัดนี้มีเทพทันใจที่มีแต่คนไทยชอบมาไหว้กันด้วย แต่เราไม่ได้ไปดู
เจดีย์กาบะเอ
KaBa Aye Pagoda (world peace Pagoda) |ကမ္ဘာအေးစေတီ
นั่งรถไปอีกครึ่งชั่วโมงไปที่เจดีย์กาบะเอ เป็นเจดีย์ใหม่ เพิ่งสร้างเมื่อปี 1952 เพื่อเป็นที่ระลึกในการประชุมประภาสสงฆ์ระดับโลก ครั้งที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ระหว่างปี 1954-1956 โดยนายอูนุ นายกคนแรกของพม่า เป็นผู้สร้างขึ้น และใช้เป็นสถานที่ชำระพระไตรปิฎกด้วย พระพุทธรูปองค์ประธานที่อยู่ข้างในหล่อด้วยเงินบริสุทธิ์มีน้ำหนัก กว่า 500 กิโลกรัม สวยงามมาก

ในบริเวณวัดมีการสร้างถ้ำ The Maha Pasana Guha (great cave) โดยจำลองมาจากถ้ำ The Satta Panni cave ในอินเดีย
วัดเจ๊าต่อจี
Kyauk taw gyi Temple| ကျောက်တော်ကြီးဘုရာ
ก่อนถึงสนามบินไม่ไกล พวกเราแวะวัดสุดท้ายที่ วัดเจ๊าต่อจี บางคนเรียกวัดพระหยกขาว หรือพระหินขาว (Loka Chantha Abhaya Labha Muni | လောကချမ်းသာအဘယလဘ မုနိရုပ်ပွားတော်မြတ်ကြီ) พระพุทธรูปสูง 11 เมตรโดยแกะสลักจากหินก้อนเดียว ตอนที่พวกเราไป วัดเพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน ยังเพิ่งยกพระหยกขาวมาประดิษฐาน มีภาพข่าวให้เห็นอยู่


ออกจากวัดไปไม่ไกลก็ถึงสนามบินย่างกุ้งแล้ว สนามบินยังดูไม่ได้ปรับปรุงต้อนรับการเปิดประเทศเท่าไหร่ เกาอี้นั่งยังเป็นพลาสติคล้ายสถานีรถบัสบ้านเราเลย นั่งรอเวลากลับบ้านกันไป แล้วจะมาเที่ยวใหม่นะเมียนมาร์

Leave a Reply