ทริป : ชวา – บาหลี : อินโดนีเซีย [เมษายน 2006]

เป็นการซื้อทัวร์จากเวปท่องเที่ยวครั้งแรก ชื่อเสียงของเว็ปนี้คือเที่ยวถูกเที่ยวคุ้ม จึงเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวหลายๆคน ไปแล้วก็ตรงตามนั้น คือ เทียบจำนวนวัน สถานที่เที่ยว กับราคาแล้วคุ้มจริงๆ แต่ต้องแลกมาด้วยความเหนื่อย เหนื่อยมาก ออกเช้ากลับมืด เดินทางเยอะ นั่งรถกันยาวๆ ทั้งไปและกลับต้องต่อเครื่อง 2 ครั้ง ที่พักอยู่ในระดับใช้ได้ไม่เลวร้าย ได้เที่ยวเยอะจริงๆแหละ แต่ต้องบริหารเวลาถ่ายรูปหน่อยจะมามัววัดแสงเลือกมุมนานเหมือนเคยจะเดือดร้อนส่วนรวม ข้อดีอีกข้อของทริปนี้คือพวกเราได้ไกด์ท้องถิ่นดีมาก ดูแลดี พากินของง่ายๆคือร้านตามข้างทางเป็นส่วนใหญ่ (สมฐานะ 55) แต่อร่อยนะ ชอบมากกว่าทัวร์ใหญ่ๆพาไปโต๊ะจีนอีก




พูดถึงอินโดนีเซียแล้ว ส่วนมากคงคิดถึงแต่บาหลี เราก็เหมือนกัน ภาพบาหลีในความคิดคือ ทะเล ทะเล และทะเล มีชาวเกาะใส่ชุดประจำชาติเดินกันทั่วไป มาถึงบาหลีจริงๆแล้ว ก็ไม่ได้ต่างจากภาพที่คิดไว้เท่าไหร่นัก เพราะซ้ายก็ทะเลขวาก็ทะเล ด้วยว่าบาหลีคือเกาะ มีขนาดใหญ่กว่าภูเก็ต แต่เอาจริงแล้วทะเลและชายหาดภูเก็ตสวยกว่ามาก ส่วนบาหลีได้ความดิบ ความเป็นธรรมชาติยังมากกว่า ภูเก็ตเจริญมากเกินไปว่างั้นก็ได้

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบาหลีไม่เชิงเป็นชาวเกาะ แต่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆที่ยังคงศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ดั้งเดิม ไว้ได้อย่างเข้มแข็ง เรายังคงเห็นชาวบ้านออกมาทำบุญกันทุกเช้า ยังใส่ชุดพื้นเมืองเข้าวัด ยังคงมีความสงบ มีความสวยงามตามแบบอินโดนีเซีย มันมีเสน่ห์เหลือเกิน สามารถใช้คำว่า หลงรักบาหลีได้เลย



ที่เลือกทริปนี้เพราะนอกจากพาเที่ยวบาหลีแล้วยังพาไปเที่ยวเกาะชวาด้วยนิดหน่อย เกาะชวานี่เป็นเกาะที่ตั้งของกรุงจากาตาร์ เมืองหลวงของอินโดนีเซีย แต่เราไปไม่ถึงเมืองหลวงที่อยู่ทางชวาตะวันตกหรอก ไปแค่ชวาตอนกลาง ยอกยากาตาร์ (Yogyakarta) เมืองแห่งวัฒนธรรมชวาโบราณ ได้ไปบูโรพุทโธ (borobodur) ไปพรัมบานัน (Prambanan) แถมด้วยดูภูเขาไฟโบรโม่อันโด่งดังที่ชวาตะวันออกด้วย โอ้ววววว คิดดูซิ 8 วันเที่ยวหมดนี่เลย ไม่เหนื่อยให้มันรู้ไป แต่ใจสู้!



ทริปเริ่มต้นแต่เช้ามืด บินอ้อมไปต่อเครื่องที่ดูไบ แล้ววกกลับมาลงที่ ท่าอากาศยานนานาชาติงูระฮ์ไร (Ngurah Rai International Airport) หรือบางคนเรียกว่า ท่าอากาศยานนานาชาติเดนปาซาร์ เพราะอยู่่ที่เมืองเดนปาซาร์ (Denpasar)เกาะบาหลี ก็เป็นช่วงบ่ายแก่ๆ บินนานแต่ได้ราคาถูก ถ้าเลือกสายการบินที่บินตรงกรุงเทพ-เดนปาซาร์ ก็แค่ 4 ชม.กว่าๆเท่านั้น
ออกจากสนามบินก็ตรงดิ่งไป Pura Uluwatu 1 ในวัดศักดิ์สิทธิ์และสำคัญของบาหลี วัดนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพแห่งท้องทะเล ตัววัดอยู่ริมทะเลทางตอนใต้ของเกาะ

การเข้าพื้นที่วัดในอินโดนีเซียต้องมีผ้าคาเอว 1 เส้น บางวัดต้องใ่ส่ผ้าถุงด้วย ทั้งหญิงชายเหมือนกัน แต่บางวัดก็อนุโลมนักท่องเที่ยวใส่กางเกงได้ แต่ต้องไม่นุ่งสั้น ผ้าคาดเอวและผ้าถุงบางวัดก็มีให้ยืมใส่
การเข้าพื้นที่วัดในอินโนนีเซียต้องแต่งตัวตามธรรมเนียมปฏิบัติ คือ แต่งกายสุภาพไม่นุ่งสั้น บางที่ต้องนุ่งผ้าถุงเท่านั้น บางที่ก็อนุโลม แต่ที่ขาดไม่ได้คือต้องมีผ้าคาดเอว ที่อูลูวาตูนี้เข้าในตัววัดไม่ได้เพราะไม่อนุญาตให้คนที่ไม่ได้นับถือฮินดูเข้าไป ได้แต่เดินชมบรรยากาศรอบนอกวัด เพราะอยู่ริมทะเล เดินลัดเลาะตามริมผาถ่ายรูปได้แต่อย่าเพลินจนโดนลิงมาฉกของ เพราะแถวนี้ลิงคุม






เย็นย่ำก็มานั่งชมการแสดง Kecak Dance ในลานแสดงกลางแจ้ง ลมแรงจนหนาว พร้อมฉากหลังเป็นพระอาทิตย์ตกในทะเล บรรยากาศดีมาก เดินทางมาทั้งวันเริ่มหมดแรง แต่การแสดงเร้าใจดี การร้องการเต้นดุดัน มีเสียงร้องคะชัก คะชัก ดังกระหึ่ม แถมด้วยระบำไฟ ตื่นตาตื่นใจ ก็เลยช่วยให้ไม่หลับ การแสดงเป็นเรื่องเกี่ยวกับรามายณะ (รามเกียรติ์) เล่าเรื่องราวของพระรามกับพลวานร ที่ไปช่วยนางสีดา บางคนก็เลยเรียกว่าระบำลิง เข้ากับบรรยากาศโดยรอบที่มีลิงเต็มไปหมดดีนะ








คืนนี้นอนแถว Kuta Beach ชายหาดขึ้นชื่อของบาหลี

ตื่นเช้ามา มีเวลาไปเดินเล่นชายหาด เพราะที่พักอยู่ติด Kuta Beach หาดทรายแถบนี้จะเป็นทรายสีดำ เพราะมาจากเถ้าภูเขาไฟ ก็สวยแปลกตาไปอีกแบบ เดินไปแล้วไม่นุ่มเท้าเท่าไหร่ ทะเลแถบนี้คลื่นแรง มีคนมาเล่นเสิร์ฟกันแต่เช้าเลย

จัดการอาหารเช้าเสร็จ ก็ออกเดินทางต่อไปเมือง อูบุด (Ubud) ตอนกลางของเกาะบาหลี เมืองน่ารักมากๆ ชาวบ้านชาวเมืองดูมีเอกลักษณ์ มาถึงอูบุด ที่แรกที่ไปคือไปชม Barong Dance เป็นระบำท้องถิ่น มีหลายชุด ทั้งระบำรำฟ้อน ทั้งรำกริชแบบดุดัน เป็นการแสดงการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรม ระบำบาหลีของแท้ต้องหน้าดุตาดุ แต่งตาซะโตจนน่ากลัวทั้งหญิงทั้งชายเลย





จบการแสดงก็ไปดูผ้าบาติคกัน กรรมวิธีการทำผ้าบาติคก็เหมือนกับทางใต้บ้านเรา แต่ลวดลายบนผ้ามีเอกลักษณ์แบบบาหลี เดินชมเพลินๆไป นอกจากผ้าบาติค ก็มีพวกแกะสลักไม้ มีร้านขายของที่ระลึก มากับทัวร์ก็ต้องมีบ้างนะ แล้วก็ไปแวะหาข้าวเที่ยงกิน โดยพี่ไกด์หนวดงามพาไปหาไก่ย่างกับข้าวสวยกิน ซึ่งง่ายๆดีและถูกปากมาก



ที่ต่อไปที่แวะคือ Tempaksirink หรือ Pura Tirta Empul ที่เรียกกันว่าวัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ก่อนเข้าวัดก็อย่าลืมคาดผ้าตามธรรมเนียม เข้าไปด้านในจะเห็นบ่อน้ำที่มีผู้ศรัทธามาอาบน้ำกันเต็มไปหมด เพราะถือกันว่าน้ำที่นี่เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ผู้นับถือฮินดูมาอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นการชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์จากสิ่งร้ายและโรคภัยไข้เจ็บ น้ำในบ่อเป็นน้ำพุจากธรรมชาติที่ผุดขึ้นจากตาน้ำใต้ดินมาเป็นเวลายาวนานนับพันปี จนป่านนี้ก็ยังมีอยู่ แต่นักท่องเที่ยวอย่างเราสนใจสถาปัตยกรรมของบาหลีเป็นหลัก เพราะสวยงามเป็นเอกลักษณ์มากๆ เคยเห็นแต่การตกแต่งตามสวนบ้านเรา มาเห็นของจริงก็จะอึ้งๆหน่อย เพราะมันเยอะไปหมด แถมหลายอันก็เป็นของศักดิ์สิทธิ์ด้วยไม่ใช่แค่รูปปั้นตกแต่งสวน





ที่ต่อไปออกนอกเมืองอูบุดไปอีกไม่ไกลนัก คือ วัดถ้ำกัวกะจะห์ Pura Goa gajah (Elephant Cave) หรือที่เรียกกันว่า “ถ้ำช้าง” เพราะมีรูปสลักบนผนังหินตรงทางเข้าถ้ำเป็นรูปอสูรกาย ดูแล้วก็ไม่เหมือนช้างทำไมเรียกช้างก็ไม่รู้ ทั้งรูปสลักผนังปากทางเข้าถ้ำและรูปหินสลักซ้ายขวาคอยทำหน้าที่ปัดป้องวิญญาณร้าย ดูขรึมขลังดี เดินเข้าในถ้ำได้ มีรูปสลักและรูปเคารพตามความเชื่อฮินดู นอกจากถ้ำก็มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย เดินต่อไปด้านในวัดมีพื้นที่ให้คนที่มานั่งสมาธิด้วย








ตกเย็นมาดูการแสดงอีกล่ะ คราวนี้เป็น Legong dance อันนี้เหมือนดูละครรำ เป็นเรื่องเป็นราว ต้องพอเข้าใจเนื้อเรื่องมาบ้างถึงพอสนุก อารมณ์เหมือนดูงิ้วหรือดูลิเก แต่การแต่งกายและฉากไม่ได้อลังการเท่า เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ เจ้าหญิง เจ้าชาย กษัตริย์ สู้รบกันบ้างเกี้ยวพาราสีกันบ้าง ธรรมเนียมดั้งเดิมว่ากันว่าผู้แสดงตัวหลักต้องเป็นเด็กหญิง 3 คน ที่ยังไม่มีประจำเดือนเท่านั้น ถามว่าสนุกหรือไม่ก็ต้องบอกว่าถ้าไม่เหนื่อยมากก็ดูได้เพลินๆ ดูรำสวยๆ ถ้าเที่ยวมาเหนื่อยๆก็มีบางคนดูได้ไม่กี่ฉากก็ขอตัวกลับห้องนอนล่ะ








วันที่ 3 เริ่มปรับสภาพร่างกายได้มากขึ้น ตื่นมาสดชื่นดี วันนี้จะไป Pura Gunung Kawi ต้องลงรถแล้วเดินลัดเลาะเข้าไปเล็กน้อย ผ่านสวนสละ และนาข้าวบันไดที่ตอนนี้กำลังตั้งท้องสวยงามดี


เดินข้ามสะพานหินโบราณ เข้าถึงเขต วัดกูนุงกาวี (Pura Gunung Kawi) เดินผ่านส่วนอาศรมไปจะเจอหน้าผาสูงที่สลักหินเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงราชวงศ์บาหลี เดินต่อเข้าไปชั้นในจะเจอ ห้องจำนวนหนึ่งสำหรับนั่งสมาธิ ต่อจากนั้นไปอีกจะเป็นอาราม ซึ่งเชื่อกันว่าอดีตเคยเป็นพื้นที่สำหรับให้ผู้จาริกแสวงบุญ พระ และบุคคลในราชวงศ์มาพบปะกันเพื่อพักผ่อนและนั่งสมาธิภาวนา






จากนั้นนั่งรถไปต่อที่ วัดอูลันดานูบาตูร์ (Pura Ulun Danu Batur) วัดนี้ให้เราเข้าถึงด้านในของตัววัดได้ ที่นี่ต้องนุ่งผ้าถุงและมีผ้าคาดเอวแบบเต็มยศเหมือนชาวบาหลี แต่งตัวเรียบร้อยแล้วได้เดินเข้าไปพร้อมๆชาวบาหลี ที่พากันเอาของมาวัด สาวๆเอาของเทินบนหัวมาทำบุญ ย่าๆยายๆลุงๆก็แต่งตัวสวยงามมาวัด เด็กน้อยก็มี หนุ่มๆก็เยอะ วันนี้มีพิธีด้านในด้วย สามารถยืนดูรอบนอกได้ พยายามไม่ไปรบกวนพิธี วัดอูลันดานูบาตูร์ เป็นวัดสำคัญรองจาก Pura Besakih (ที่เราจะไปต่อตอนบ่าย) ที่ตั้งของวัดอยู่บน ภูเขาบาตูร์ (Mt. Batur) ใกล้ชิดติดปากปล่องภูเขาไฟ และมี ทะเลสาบบาตูร์ (Lake Batur) อยู่ด้วย ทางขึ้นเขาไปวัด ก็เลยมีจุดชมวิวสวยๆได้หลายจุด แล้วแต่ทัวร์จะกรุณาจอดให้ลงไปชมกัน ด้านในวัดเองก็เดินอ้อมไปด้านหลังชมวิวได้เหมือนกัน แต่เรามัวแต่หลงใหลถ่ายรูปชาวบาหลีที่เข้ามาทำบุญกันในวัดเลยไม่ได้อ้อมไปด้านหลัง






ออกจากวัด ระหว่างนั่งรถลงเขา มีวิวภูเขาไฟบสตูร์ ให้ดูตลอดทาง แวะทานข้าวกลางวันที่ร้านอาหารย่าน คินตามณี (Kintamani) มีวิวภูเขาไฟตรงข้ามร้านเลย วิวดีแต่อาหารแบบทัวร์ไม่ได้อร่อย เน้นวิวเป็นหลัก ถ้าจะเข้าไปเที่ยวในตัวหมู่บ้านต้องเสียค่าเข้าด้วย แต่มันก็วิวเดียวกันกับที่เราเห็นตามจุดชมวิวนั่นแหละ


อิ่มแล้วไปต่อที่ วัดเบซากีห์ (Pura Besakih) เป็นวัดสำคัญที่สุดของบาหลี มีขนาดใหญ่มากๆ ประกอบด้วยวัดเล็กวัดน้อย 22 วัด แต่โชคไม่ดีที่ฝนดันตกซะงั้น ตามจริงแล้ววัดนี้อยู่ในทำเลที่สวยมาก มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดในบาหลีคือ ภูเขากูนุงอาุง (Gunung Agung) ที่เคยประทุครั้งใหญ่มาแล้วเมื่อปี 1963 และก็ยังเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ วันนี้ฝนถล่มซะจนมองไม่เห็นฉากหลังใดๆทั้งสิ้น แต่มาแล้วก็ต้องลุย กางร่มกันเดินเข้าไปพร้อมชาวบาหลีที่ยังคงเข้าไปทำบุญกัน จนสุดท้ายฝนซาแต่ฟ้าไม่เปิด โชคยังพอมีบ้างที่วันนี้ในวัดมีพิธีอะไรสักอย่าง ถึงมีผู้คนเข้าวัดกันแม้ฝนจะตก มีพิธีแห่ใหญ่โต คนมาร่วมพิธีก็เลยแน่นไปหมด แต่ถือว่าโชคดี ได้ใกล้ชิดกับพิธีจริงๆ ได้เห็นการแห่ การสวด ได้ยืนดูข้างๆชาวบาหลีแท้ๆ






ออกจาก Pura Besakih ขากลับไปอูบุด พี่ไกด์พาไปแวะ Pura Goa Lawah หรือวัดค้างคาว ได้ชื่อนี้ก็แน่นอนว่าเพราะมีค้างคาวเยอะ แต่ไม่ได้บินว่อนทั่วไปนะ ต้องเดินเข้าไปในพื้นที่วัด เข้าไปได้ถึงตรงบริเวณปากถ้ำที่มีแท่นบูชา จะเห็นค้างคาวห้อยหัวกันอยู่เหนือเพดานถ้ำแน่นไปหมด นักท่องเที่ยวยืนดูได้แค่ปากถ้านี้ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าด้านใน วัดนี้เป็นวัดสำคัญในการทำพิธีศพของชาวบาหลี




ก่อนกลับอูบุดแวะเที่ยว เมืองกลุงกุง (Klungkung) เมืองหลวงในอดีตที่มีพระราชวัง (Puri Agung Klungkung : The Klungkung Palace) อยู่ที่นี่ สร้างในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 แต่โดนทำลายไปในช่วงสงครามกับดัชต์ ที่พอเหลือคือ Kertha Gosa Pavilion ศาลากลางน้ำที่สมัยโบราณใช้เป็นสถานที่ชำระคดีความ และใช้ประกอบพิธีกรรมของกษัตริย์เม็งวีในอดีต






เช้านี้ตื่นแต่เช้าหน่อย เลยได้ไปเดินเล่นในอูบุด (Ubud) เข้าไปในตลาด มีของสดพวกผักผลไม้เป็นส่วนมาก เนื้อสัตว์มีน้อยมาก ที่มีมากอีกอย่างคือร้านขายดอกไม้ ที่ทำเป็นกระทง วางดอกไม้และเครื่องบูชาสำหรับไปวางบูชาศาล






วัดแรกที่ไปวันนี้คือ Pura Taman Ayun เป็นวัดของกษัตริย์ Mengwi วัดนี้สวยเด่นที่มีเจดีย์ทรงสูงมีหลังคาเป็นชั้นลดหลั่นกันขึ้นไป ตั้งเรียงแถวกันนับสิบองค์ มีบ่อน้ำล้อมรอบด้านนอก แล้วยังมีซุ้มประตูแบบบาหลีสวยมากๆ แต่ไม่อนุญาตให้เข้าด้านใน เดินชมรอบๆได้ มีแค่รั้วเตี้ยๆกั้น มองเห็นได้สะดวก ไม่ต้องเข้าด้านในก็ได้





วันนี้ฟ้าเปิดสดใส ถ่ายรูปสวย ไปถึง ทะเลสาป Danau Beratan กรี๊ดมาก เพราะแสงดี มีเงาสะท้อนของวัด Pura Ulun Danu Beratan ทีอยู่ริมทะเลสาป Beratan ทางเดินเข้าวัดผ่านสวนสวย ที่ต้นไม้ดอกไม้จัดไว้สวยงาม มีคนมาเดินเล่นถ่ายรูปพอสมควร





จากนั้นพี่ไกด์พาไปดูน้ำตก ไม่มีในโปรแกรมแต่แกพาไป Git Git Waterfall ชื่อประหลาดแท้ ต้องเดินลงบันไดผ่านดงขายของที่ระลึกนานาชนิดเหมือนทางไปน้ำตกบ้านเรา ตัวน้ำตกไม่ใหญ่โต แต่พอมีน้ำตกมาเป็นสาย ถ่ายรูปกันนิดหน่อยก็กลับ



นั่งรถไปต่อสักพัก พี่ไกด์ก็พาเข้าไปวัดพุทธ Brahmavihara – Arama เป็นวัดพุทธวัดเดียวที่เจอในทริปนี้ ด้านในก็จะงงๆหน่อย เพราะมีทั้งโบสถ์ทั้งศาลา แถมด้วยรูปปั้นสไตล์บาหลีประดับ ด้านหลังมีบูโรพุทโธจำลองอีกต่างหาก





คืนนี้ไปนอนเมือง Lovina ที่มีหาดทรายสีดำ ตามโปรแกรมบอกว่า ให้เล่นน้ำ พักผ่อน หลังผ่านการเที่ยวมาหลายวัน แต่ตามจริงกว่าจะไปถึงก็มืดพอดี ได้แค่พักเหนื่อยนั่งดูแสงสวยๆริมหาดเท่านั้น กินข้าวแล้วก็นอนกันหมด มีแค่บางคนที่ลงไปว่ายน้ำเล่นในสระ เห็นแล้วก็เสียดาย ถ้ามาถึงเร็วก็อยากไปว่ายน้ำเหมือนกัน ที่พักสไตล์รีสอร์ทสวยดี



ตัดสินใจนอนเร็วเพราะเช้านี้ต้องตื่นเช้าอีก วันนี้มีรายการไปนั่งเรือดูโลมา เดินไปขึ้นเรือที่หน้าหาดที่พักนี่แหละ เรือที่พาพวกเราไปคือเรือโบราณจังโกลาน (Janggolan Boat) นั่ง 4 คน มีเอกลักษณ์ที่มีโครงเหล็กยื่นออกไปเหมือนขา 2 ข้าง เรามองว่าเหมือนจิงโจ้น้ำ นั่งออกทะเลไปก็จะเสียวๆหน่อย เพราะอารมณ์ว่าตูดเรี่ยๆทะเลเลย



เรืออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ก็ได้เห็นน้องโลมาแล้ว โลมาที่นี่เป็น โลมาปากขวด น้องมากระโดดไปมาใกล้ๆเลย ถ่ายรูปได้บ้างไม่ได้บ้าง มัวแต่ตื่นเต้น เรือบางลำก็ไปไล่ตามน้อง จริงๆแล้วก็รณรงค์กันอยู่ว่าไม่ต้องไปไล่ ลอยลำไปเฉยๆน้องก็มาเอง




สายๆก็กลับมาทานข้าวเช้า วันนี้ต้องเอารถขึ้นเฟอร์รี่ข้ามช่องแคบ ไปฝั่งเกาะชวาแล้วนั่งรถต่อไปอีกเกือบ 6 ชม. แล้วต้องไปต่อรถจี๊บขึ้นเขาอีก ไปพักกันที่หมู่บ้าน probolinggo กว่าจะถึงที่พักก็มืดอีกวัน แถมอากาศก็หนาวด้วยนะบนนี้ ที่พักโลโซสุดๆในทริป แต่อย่าคิดมากเพราะนอนแป๊บเดียว ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปรอขึ้นภูเขาไฟโบรโมกัน






หลับยังไม่เต็มตื่นก็ต้องตื่นมาแต่มืด มืดนี้คือตี 4 อากาศหนาวมาก เพราะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2000 ม. ใครจะขึ้นมาเที่ยวที่นี่ต้องเตรียมเสื้อหนาวมาด้วย ทั้งๆที่ตลอดทริปอากาศค่อนข้างร้อน แถมมีฝนตกด้วยต่างหาก การจัดชุดก็เลยต้องมีชุดครบทุกฤดู

ออกมาขึ้นรถจี๊บแบบสลึมสลือ นั่งรถห้อตะบึงทางราบไปพักใหญ่ก็ตัดขึ้นทางเขา เลี้ยวไปเลี้ยวมาพอมึนก็ถึง ต้องลงรถแล้วเดินต่อไปอีก ไม่ไกลมาก นักท่องเที่ยวแน่นไปหมด จับจองทำเลกันตามสะดวก พอแสงที่ค่อยๆเหลืองทองออกมาฉาบลงทะเลหมอก ต่างคนต่างก็ถ่ายรูปกันไม่ยั้ง จุดชมวิวมาตรฐานจะเห็นยอด gunung bromo ,Batok,และ gunung semeru



ภาพเหมือนฝันจริงๆ รูปที่ได้ไม่สวยเท่าตาเห็น ยอดภูเขาไฟที่ยังมีควันลอยบางๆ พร้อมทะเลหมอกรอบๆมันชวนฝันมากๆ



ถ่ายภาพกันจนพอใจพี่ไกด์ก็เรียกกลับ เดินออกมาสักพักระหว่างทาง มีร้านกาแฟให้แวะจิบอะไรอุ่นๆพร้อมผิงไฟแก้หนาวกันก่อน เพราะอากาศบนเขาตอนเช้าหนาวใช้ได้เลย ได้จิบชา กาแฟ ร้อนๆช่วยได้เยอะ แถมด้วยจุดชมวิวอีกมุม




จากนั้นนั่งจิ๊บกลับลงมา เพราะสว่างแล้วเลยได้เห็นว่าเรานั่งรถขึ้นเขามา ทางแคบและเสียวพอสมควร พอลงมาถึงด้านล่าง รถจิ๊บวิ่งห้อตะบึงผ่านกลางทุ่งราบเป็นแถวสวยดีเหมือนในหนังสารคดี รถวิ่งมาจอดให้ตรงบริเวณวัด Pura Agung จากตรงนี้ เลือกเดินหรือขี่ม้าไปที่ภูเขาไฟก็ได้ ซึ่งเราเลือกม้าแน่นอน ขี้เกียจเดิน นั่งม้าไปไม่ไกลก็ลงและต้องเดินขึ้นบันไดไปปากปล่อง จากตรงนี้จะมีกลิ่นกำมะถันฉุนและแสบจมูกมาก ทางที่ดีควรเตรียมผ้าปิดจมูกไปด้วย








ไปถึงปากปล่องสามารถไปยืนเพ่งลงไปมองดูลาวาอยู่เพราะภูเขาไฟลูกนี้ยังไม่ดับ เป็นประสบการณ์เร้าใจเล็กๆสำหรับคนที่ไม่เคยเจอภูเขาไฟที่ยังไม่ตาย ยืนมองปากปล่องลงไปพยายามมองหาลาวา แต่ก็ไม่ค่อยเห็น เพราะควันขาวกลบปากปล่องตลอด มีช่วงลมพัดออกให้พอมองเห็นแว๊บๆ ยืนอยู่นานจนแสบตาแสบจมูก ไม่ไหวกลับดีกว่า




นั่งรถกลับที่พัก อยากสลบอีกสักหน่อยแต่ไม่มีเวลา ต้องอาบน้ำไปกินข้าว แล้วนั่งรถลงเขาเลย เพราะบ่ายนี้จะต้องนั่งรถยาวไป ยอกยากาตาร์ (Yogyakatar) ทางเกาะชวาตอนกลาง เป็นเมืองศูนย์กลางของวัฒนธรรมชวาโบราณ


วันนี้จะไป Highlight ของชวาคือ Borobudur มีแผนให้เลือก สำหรับคนที่ยังมีแรงจะตื่นแต่เช้ามืดไปรอแสงเช้าที่บูโรพุทธโธ หรือคนที่ไม่ไหวแล้วจะตื่นปกติไปบูโรพุทโธตอนเช้าปกติก็ได้ ซึ่งเราบอกเลยว่าเดี้ยง เลยไม่ไปกรุ๊ปเช้ามืด เพราะไปแล้วก็ต้องรออยู่เลย จนกลุ่มเวลาปกติไปถึงก็น่าจะเป็น 8-9 โมงเช้า จากที่พักในยอกยากาตาร์ก็ต้องนั่งรถไปร่วมชั่วโมง ไปถึงตอนสายแล้วก็สวยอยู่ดี (ปลอบใจตัวเอง)



Borobudur เป็นสถาปัตยกรรมที่สำคัญของศาสนาพุทธลัทธิมหายาน สร้างจากหินภูเขาไฟ สร้างเป็นรูปทรงคล้ายปิรามิดที่มีฐานสีเหลี่ยมจัตุรัสด้านละ 118 ม. เป็นชั้นลดหลั่นกันขึ้นไป 6 ชั้น อีก 4 ชั้นเป็นฐานวงกลมขึ้นไปมีเจดีย์ทรงระฆังคว่ำที่ยอดบนสุด ผนังระเบียงแต่ละชั้นมีภาพสลักสวยงาม








ชั้นบน 3 ชั้นก่อนถึงองค์เจดีย์ มีพระพุทธรูป 72 องค์บรรจุอยู่ในเจดีย์ทรงระฆังคว่ำที่สร้างเป็นช่องเหมือนโครงตาข่าย มองเข้าไปเห็นองค์พระพุทธรูปได้ สวยงามมหัศจรรย์มาก ทึ่งในความสามารถของช่างในยุคนั้นจริงๆ เพราะบูโรพุทโธนี่ว่ากันว่าสร้างมาแล้ว 1000 กว่าปี ก่อนนครวัดเสียอีก ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ.1991





เดินวนซ้ายวนขวาถ่ายรูปเพลินมาก นึกเสียดายที่แรงไม่มี ไม่ได้มาเก็บภาพแสงเช้า แค่ตอนสายแสงแรงขนาดนี้ก็สวยมาก ถ้าได้แสงเช้าสีทองจะสวยขนาดไหน

ออกจาก Borobudur ก็กลับเข้าในเมือง ไปต่อที่ Kraton Ngayogyakarta หรือ Yogyakatar Sultan Palace สร้างขึ้นปี ค.ศ.1756-1790 โดยสุลต่านฮาเมงกูบูโวโน ที่ 1 ตามคติแบบฮินดู ซึ่งสมมติว่าพระราชวังเป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาล พระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมแบบชวาผสมกับดัชต์ ใช้เป็นสถานที่ประทับของสุลต่านยอกยาการ์ตาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีบางส่วนที่จัดห้องแสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมาของผู้ปกครองเมืองยอกยาการ์ตา และมีสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ต่างๆ รวมถึงของมีค่าให้ได้เดินดูกัน





วันนี้ได้กินข้าวในวัง แต่ไม่ได้หรูหราแบบปราสาทยุโรปหรอกนะ เป็นอาหารบุฟเฟต์ที่ทัวร์มาลงกันนั่นแหละ มีดนตรีขับกล่อมด้วย


ช่วงบ่ายไปเที่ยวมรดกโลกอีกแห่ง แต่เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูบ้าง ออกจากเมืองไป ½ ชม.ก็ถึง แต่ฝนตกอีกล่ะ ต้องรอสักพักให้ฝนซา ถึงลงเดินกันเข้าไป Prambanan วัดในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย คนอินโดนีเซียเรียก Prambanan ว่า Loro Jongrang Temple มีความยิ่งใหญ่ด้วยพระปรางค์หลัก 3 องค์ สร้างเพื่อบูชา พระศิวะ (Shiva Temple), พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ (Visnu Temple) และ พระพรหม (Brahma Temple) แล้วก็ปรางค์ประกอบอีกรอบๆ ปรางค์แต่ละองค์เป็นทรงกลีบมะเฟืองสร้างด้วยหิน มีลวดลายแกะสลักสวยๆ สันนิษฐานว่าสร้างมาแล้วพันกว่าปีเหมือนกัน ดูแล้วมันน่าทึ่งเหมือนตอนเห็นนครวัดนครธมว่าคนสมัยนั้น สามารถแกะสลักหินแต่ละก้อนแล้วยกขึ้นประกอบได้อย่างสมดุลย์ และแข็งแรงมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างไี








เย็นนี้พวกเราบินกลับไปบาหลี เพื่อจะบินกลับเมืองไทยพรุ่งนี้

เช้าสุดท้ายในบาหลี ตื่นมากินอาหารเช้าแล้วเดินออกไปเที่ยวได้เลย เพราะที่พักอยู่ใกล้กับ Tanahlot ที่เป็นที่ตั้งของวัดดังอีกแห่งของบาหลี Pura Tanahlot

วัดทานาล็อต (Pura Tanahlot) สร้างเพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าและปีศาจแห่งท้องทะเล ตัววัดตั้งอยู่บนผาหินที่อยู่ห่างจากแผ่นดินออกไปในทะเล คำว่า Tahnalot เป็นภาษาอินโดนีเซียแปลว่า Land in the Sea แปลตรงตัวว่าแผ่นดินที่อยู่ในทะเล คลื่นลมแถวนี้แรงมากๆจนกัดเซาะผาหินคอดกิ่วไปเหมือนเป็นเกาะ ช่วงน้ำขึ้นวัดจะถูกโอบล้อมไปด้วยน้ำเหมือนเกาะลอย พอน้ำลดเดินไปยังวัดได้อย่างสบายๆ จริงๆแล้วตรงนี้เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก แต่พวกเรามาถึงก็มืดแล้ว ได้เดินมาเที่ยวชมตอนเช้าแทน





เดินเลาะริมผาไปไม่ไกลจะมีพื้นที่เรียกว่า Enjung Galuh Area เป็นสวนที่เดินไปตรงนี้แล้วถ่ายรูปไปที่ Pura Tanahlot ได้มุมสวย หันไปอีกทางจะเห็นแนวหินยื่นไปในทะเล แต่มีรูลอดไปเหมือนเป็นสะพานหิน จะมีวัดอีกวัดอยู่ตรงนั้น Pura Batu Bolong สวยงามเป็นจุดถ่ายรูปอีกจุดได้



ถ้ามีเวลาเยอะ บริเวณ Tanahlot Area นี้มีวัดเยอะมาก วัดเล็กวัดน้อย อยู่ริมทะเลบ้าง อยู่ในฝั่งบ้าง ลองดูรายละเอียดในนี้ http://www.tanahlot.id/index.php/temples ถ้ามีเวลาก็เก็บให้หมดเลย
เดินเล่นถ่ายรูปจนพอใจเดินกลับมาช็อปปิ้งนิดหน่อย ร้านค้าเริ่มเปิดกันแล้ว สายๆก็ต้องออกเดินทางไปสนามบินชื่อเรียกยาก Ngurah Rai International Airport (DPS) ที่เมือง Denpasar เพื่อขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยล่ะ

8 วันในบาหลีและชวา เที่ยวไปเยอะแยะมาก ได้เที่ยวมรดกโลก 2 ที่ในเกาะชวา แถมด้วยขึ้นปากปล่องภูเขาไฟ เก็บวัดเด่นๆในบาหลีไปเกือบหมด คุ้มมาก แต่ก็เหนื่อยมาก ถ้าเลือกได้ไม่ไปแบบนี้อีกแล้ว 5555

Leave a Reply