ทริป เที่ยวหลวงพระบาง กันยายน ๒๕๔๙
Trip : Luangprabang < Sep. 2006 >
ມ່ວນຊື່ນ ຫຼວງພຣະບາງ
ม่วนซื่น หลวงพระบาง
ทริปนี้ตั้งใจพาพ่อแม่เที่ยว ก็ต้องเป็นทริปสะดวกสบาย พักดีกินอร่อย ก็เลยเลือกซื้อแพคเกจของบางกอกแอร์เวย์ มีตั๋วเครื่อง มีที่พัก แล้วไปหาซื้อทัวร์เพิ่มเติมเอา เลือกไปหลวงพระบางเพราะไปง่าย บางกอกแอร์เวย์มีเครื่องบินตรงไปลงหลวงพระบางเลย เราเองเคยไปเที่ยวกับเพื่อนมารอบหนึ่งแล้ว ก็จะนำเที่ยวได้สบาย
จองแพคเกจเลือกวัน และลางานเรียบร้อย มารู้ทีหลังว่า เป็นทริปพิเศษมากๆไปอีก เพราะวันที่เราบินออกจากดอนเมืองจะเป็นวันสุดท้ายที่สนามบินดอนเมืองจะเปิดใช้ และอีก 2 วันให้หลังเราบินกลับมาจะบินไปลงสนามบินสุวรรณภูมิ ว้าวววววว สุดยอดไปเลยจ้า
27 กันยายน
ใช้บริการสนามบินนานาชาติดอนเมืองเป็นครั้งสุดท้าย ก็ออกจะเหงาๆหน่อยๆ ด้วยว่าเที่ยวบินก็น้อยลง มีคนเดินทางอยู่บ้าง ไม่เนืองแน่นเหมือนที่เคย ก็ถ่ายรูปเพื่อเก็บเป็นที่ระลึกกัน

เที่ยงๆเครื่องก็ลงจอดที่สนามบินหลวงพระบาง ผ่านพิธีการตม.ไม่นาน คนไทยไม่ต้องมีวีซ่า ออกมาก็มีรถโรงแรมมาถือป้ายรอรับ พาพวกเราไปเช็คอินก่อนเลย โรงแรมแกรนด์หลวงพระบาง ออกไปไกลจากกลางเมืองหน่อย แต่สวย สงบ จะเข้าไปเที่ยวในเมืองก็มีรถรับ-ส่งตามรอบเวลาวันละหลายรอบ



บ่ายแก่ๆก็นั่งรถโรงแรมเข้ามาในเมือง รถไปส่งตรงสี่แยก หน้าไปรษณีย์ พวกเราก็ลงเดินเล่นไปตาม ถนนศรีสว่างวงศ์ (Sisavangvong Rd., ຖະໜົນສີສະຫວ່າງວົງ ) เป็นถนนสายหลักของเมืองหล;งพระบางนั่นแหละ




แวะเข้าไปไหว้พระที่ วัดใหม่สุวรรณภูมาราม (Wat Mai Suwannaphumaham, ວັດໃໝ່ສຸວັນນະພູມາຣາມ) เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง อุโบสถ หรือที่ชาวลาวเรียกว่า สิม ของวัดใหม่สวยตรงที่ผนังด้านหน้าสีทองอร่าม เป็นภาพเรื่องราวพระเวสสันดรชาดก ที่วัดใหม่นี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระพุทธรูปคู่เมืองหลวงพระบางในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินฤทธิ์ จนกระทั่งถึงปีพ.ศ. 2437 จึงได้อัญเชิญพระบางไปประดิษฐานในหอพระบางภายในพระมหาราชวัง


เดินจากวัดใหม่เลยไปถึง พระราชวังหลวงพระบาง (Royal Palace) ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว ยืนถ่ายรูปกันนิดหน่อยหน้าอาคารแบบฝรั่งแต่มีหลังคาแบบทรงลาว ค่อยมาเข้าชมด้านในพรุ่งนี้

เลยไปอีกหน่อยเข้าไปที่ วัดป่าไผ่ (Wat Pa Phai, ວັດປ່າໄຜ່) เพราะเห็นพระ-เณร กำลังดัดโครงไม้ ไม่รู้เตรียมไว้ทำอะไร ก็เลยเข้าไปดู


แล้วเดินย้อนกลับมาที่ วัดธาตุหลวง (Wat Thatluang, ວັດທາດຫລວງ) เป็นวัดที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของกษัตริย์และราชวงศ์ สิมของวัดธาตุหลวงเป็นแบบฉบับศิลปกรรมไทลื้อ ด้านในโบสถ์มีพระประธานปางประทานพรให้กราบไหว้ เสาโบสถ์และประตู หน้าต่างไม้ประดับมุขสวยงาม หลังคาที่วัดนี้แปลกดี มีโครงสร้างสองชั้น ชั้นบนเป็นหลังคาจั่ว แล้วมีผนังรับก่อนจะมีปีกหลังคาอีกชั้น ว่ากันว่าวัดที่เห็นสร้างทับบนวัดเก่า (ไอ้ที่ว่าสร้างใหม่ก็สร้างมาตั้งแต่ปี ๒๔๗๘ ประมาณนั้น)

ด้านหน้าเป็นที่ตั้งของพระธาตุสร้างทับพระธาตุองค์เก่า บรรจุอัฐิของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ สร้างขึ้นเมื่อปี 2508.
เย็นนี้ทานอาหารเย็นที่ร้านนอกโรงแรม จำชื่อร้านไม่ได้แฮะ หนึ่งในร้านดังของหลวงพระบาง ร้านต้อนรับนักท่องเที่ยวก็ออกจะหรูหราหน่อยๆ อาหารอร่อยใช้ได้ มากับพ่อแม่ก็ต้องทานอาหารเย็นเร็วหน่อย อิ่มก็เพิ่งจะเริ่มมืดพอดี หาเรียกรถสองแถวพากลับไปส่งโรงแรม เพราะไม่ตรงรอบรถของที่พักแล้ว
28 กันยายน
ตามธรรมเนียมของการมาเที่ยวหลวงพระบางก็ต้องไปตักบาตรข้าวเหนียว ติดต่อโรงแรมไว้เรียบร้อยให้จัดชุดตักบาตรไว้ให้ ถึงเวลาก็มาขึ้นรถพาเข้าเมือง มีแขกของโรงแรมร่วมรถกันไปหลายคน โดยเขาจะมีปูเสื่อไว้ให้เป็นทางยาว ก็ไปเลือกนั่งตรงที่ว่างๆ แต่งตัวให้เรียบร้อย หลายๆคนก็เตรียมชุดผ้าซิ่นสวยงามกันมาเพื่อการนี้กันเลย นานๆทีจะได้ใส่ชุดแบบนี้ แล้วไม่ดูแปลก เพราะชาวลาวนุ่งซิ่นกันเป็นชุดปกติอยู่แล้ว


ປະເພນີຕັສະບາຍດີກບາດ ประเพณีตักรบาตร
ธรรมเนียมการตักบาตรข้าวเหนียวของหลวงพระบางมีแต่ดั้งเดิม เมื่อถึงเวลาจะมีการเคาะเกราะไม้ไผ่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ บรรดาญาติโยมก็จะเตรียมนำเสื่อนำกระติ๊บข้าวเหนียวมาปูนั่ง รอพระเดินผ่านมา ได้เวลาจะมีพระสงฆ์เดินเรียงแถวกันมารับบาตรจากชาวบ้านเป็นทิวแถว โดยชาวลาวจะใส่แต่ข้าวเหนียวลงไปในบาตร เมื่อพระสงฆ์กลับไปวัดแล้ว พอถึงเวลาฉัน ก็จะเคาะเกราะไม้ไผ่เป็นสัญญาณให้ชาวบ้านรับรู้ ชาวบ้านก็จะเอากับข้าวที่เตรียมไว้ไปถวายพระที่วัด ซึ่งเรียกว่าการ “ถวายจังหัน”
ตักบาตรเรียบร้อย ยังพอมีเวลาก่อนรอบรถกลับโรงแรม ก็เลยไปเดินเล่นตลาดเช้า ปลาแม่น้ำโขงตัวโตจริงๆ มีพืชผักหลายอย่างที่ไม่รู้จัก แต่ส่วนมากแล้วก็เหมืองผักไทยๆ เดินเล่นเพลินๆไปเพราะเป็นตลาดสดจะให้ซื้ออะไรได้ล่ะ ผ่านตลาดไปถึงถนนเลียบแม่น้ำโขง แวะจิบกาแฟร้านประชานิยมตามธรรมเนียม




กลับถึงโรงแรม ไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารได้ทัน ห้องอาหารเช้าบรรยากาศดีจริงๆ เปิดโล่งรับลมเย็นๆเห็นวิวแม่น้ำและภูเขา อิ่มดีก็ให้พ่อกับแม่ไปพักผ่อนกันสักพัก ส่วนเราก็ไปเดินสำรวจโรงแรม เพราะแกรนด์หลวงพระบางเป็นคุ้มเก่า ของเจ้าเพชรราช รัตนวงศา ผู้ปลดแอกลาวจากการปกครองของฝรั่งเศส และรวมแผ่นดินลาวทั้งหมดให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังเคยเป็นนายกรัฐมนตรีของลาวในช่วง พ.ศ. 2485 – 2488 ทั้งหมดนี้อ่านเอาได้จากข้อมูลที่โรงแรมมีติดไว้ตามผนัง
ในบริเวณโรงแรมมีอาคารเก่าแก่หลายหลัง มีหลังที่เปิดให้เข้าชมด้านในยังรักษาสภาพเดิมๆไว้



วันนี้เลือกเช่าเหมารถจากโรงแรมพาเที่ยว เริ่มออกเดินทางช่วงสายๆ เริ่มต้นที่ พระราชวังหลวงพระบาง (Royal Palace) หรือ หอคำ (Haw Kham, ຫໍຄຳ) ที่ไปถ่ายรูปกันเมื่อวาน ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น พิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง (National Museum of Luang Prabang)

เดินผ่านลานด้านหน้าที่มีรูปปั้นของเจ้าศรีมหาวงศ์ เข้าไปด้านในที่เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับจัดแสดงประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงพระบาง ตัวอาคารยังคงรูปแบบเดิม มีทั้งความเป็นฝรั่งเศสแซมด้วยศิลปะแบบลาว นอกจากตัวอาคารพิพิธภัณฑ์แล้วยังมี ‘หอพระบาง’ หอพระที่ประดิษฐาน ‘พระบาง’ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวหลวงพระบางด้วย

ออกจากหอคำก็ข้ามถนนไปที่ทางขึ้น เขาพูสี (Mount Phou Si) เพื่อขึ้นไป พระธาตุพูสี (Phou si, ພະທາດພູສີ) ต้องเดินขึ้นบันไดไปยอดเขาซึ่งก็ไม่ได้สูงมากหรอก แค่ 328 ขั้นเอง แต่แม่บอกว่า ฉันไม่ขึ้นนะจ๊ะ คนขับรถเลยพาไปรอตรงทางลงฝั่งตรงข้าม พวกเราเดินขึ้นไปด้านบนกับพ่อ แวะหยุดพักเป็นระยะตามแต่พ่อจะเหนื่อย ไม่นานก็ขึ้นมาถึงยอดเขาที่ วัดจอมสี (Wat Chom Si, ວັດຈອມສີ) ที่มีพระเจดีย์สีทองเป็นจุดเด่น เข้าไปกราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลกันก่อน แล้วก็ออกมาเดินชมวิวเมืองหลวงพระบาง


บนยอดเขาพูสีนี่เหมาะแก่การมาชมพระอาทิตย์ตก เคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 4-5 ปีก่อน บรรยากาศดีใช้ได้ แต่ยอดเขาคับแคบไม่กว้างมาก วันไหนนักท่องเที่ยวเยอะก็จะแออัดไปหน่อย วันนี้มาเกือบเที่ยงก็จะร้อนๆ แนะนำให้มาตอนบ่ายแก่ๆ

ลงจากยอดพูสีเจอแม่นั่งรออยู่ด้านล่างอย่างสบายใจ ก็นั่งรถต่อไปที่ วัดวิชุลราช หรือวัดวิชุน (wat wishun, ວັດວິຊຸນນະຣາຊ) เป็นวัดเก่าแก่ที่สุดของเมืองหลวงพระบาง สร้างในสมัย พระเจ้าวิชุนราช แห่งอาณาจักรล้านช้าง เมื่อ พ.ศ.๒๐๔๖ เมื่อสร้างเสร็จแล้วได้อัญเชิญ “พระบาง” จากวัดมโนรมย์มาประดิษฐานที่วัดนี้ ก่อนจะอัญเชิญไปประดิษฐานที่ หอพระบาง ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง

ในวัดวิชุนมีเจดีย์เป็นรูปทรงกลมคว่ำมองเหมือนแตงโมจึงเรียกว่า พระธาตุหมากโม (ທາດໝາກໂມ) สร้างขึ้นโดยพระนางพันตีนเชียงพระมเหสีของพระเจ้าวิชุนราช เปรียบได้กับพลังของสตรีชาวลาว

เที่ยงพอดี แวะเข้าร้าน ตำหนักลาว เพื่อจัดอาหารกลางวันก่อน สั่งมาเป็นชุด 2 ชุด ของพ่อกับแม่เป็นส้มตำไทยไม่เผ็ด ของเราได้กินส้มตำหลวงพระบาง เครื่องเคียงมาครบเหมือนขันโตกไทยๆ อร่อยถูกใจมาก
บ่ายออกเที่ยวต่อ เริ่มที่ วัดเชียงทอง (Wat Xieng Thong, ວັດຊຽງທອງ) วัดดังที่ใครมาหลวงพระบางไม่มีทางพลาด วัดสวยริมแม่น้ำโขง มากี่ครั้งก็ยังสงบสวยงามไม่มีเปลี่ยน
วัดเชียงทอง เป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ล้านช้าง ที่ไม่โดนเผาทำลายจากสงคราม เป็นโชคดีของคนรุ่นหลัง ภาพคุ้นตาจากนักท่องเที่ยวที่มาหลวงพระบางทุกคนคือภาพสิมวัดเชียงทอง ที่มีหลังคาซ้อน 3 ชั้น แบบล้านช้าง มีผนังด้านข้างเป็นลายรดน้ำปิดทองบนพื้นสีดำ ส่วนผนังด้านหลังเป็นรูปต้นทองประดับกระจกสีสวยงาม สิมวัดเชียงทองนี่มีต้นแบบมาจากวิหารวัดโลกโมฬีเชียงใหม่ นึกแล้วก็จริง เหมือนกันมากๆ



ด้านหลังของสิม มี หอพระไสยาสน์และหอพระม่าน ที่สวยด้วยผนังสีชมพูประดับด้วยกระจกสี

ลานก้านหน้าสิมเลยไปอีกหน่อยมี โรงราชรถ หรือเรียกกันว่า โรงเมี้ยนโกศวัดเชียงทอง ผนังทางเข้ามีแกะสลักลวดลายสีทอง ด้านในมีราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนาเก็บไว้
จากนั้นรถขอพาไปร้านทำเครื่องเงินหน่อย ถือว่าขอกันนะ ก็ยอมๆ ไกด์กับคนขับจะได้ไปลงชื่อรับเงินนิดหน่อย ถ้าโชคดีลูกค้าซื้อของก็จะได้ % เพิ่มขึ้นมากอีกหน่อย
บ่ายแก่ๆก็กลับโรงแรม ให้พ่อแม่พักผ่อน แล้วออกมาอีกรอบตอนอาหารเย็น มื้อที่เลือกร้าน Indochina Spirit ร้านสวยบรรยากาศดี อิ่มแล้วส่งพ่อกับแม่กลับโรงแรม แต่เราเดินเล่นถนนคนเดินกลางคืน แล้วนั่งจิบเบียร์เย็นๆกลางเมืองสวย


29 กันยายน
วันสุดทายของทริป มีเวลาครึ่งวันเช้า ถามพ่อกับแม่แล้ว ท่านว่าขอพักผ่อนในโรงแรม เรา 2 คนก็เลยเข้าไปเที่ยวเล่นในเมือง เริ่มจากออกไปถ่ายรูปพระบิณฑบาตตอนเช้ากันอีกครั้ง เช้านี้เดินไปเรื่อยๆไม่ได้อยู่แต่ถนนสายหลัก ลองเดินเข้าไปตามซอย ก็จะได้ถ่ายรูปพระเดินแถวบิณฑบาตรกับชาวบ้านจริงๆที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยว



วันนี้ไม่กลับไปกินอาหารเช้าโรงแรมล่ะ หากินเฝอเอาร้านแถวริมๆแม่น้ำโขง แล้วเดินไปสอบถามเช่าเรือหางยาวเที่ยวล่องแม่น้ำสักหน่อย การมาเที่ยวลาวมันดีตรงที่พูดคุยกันพอรู้เรื่อง แค่ต้องใช้สมาธิในการคำนวณราคากันหน่อย สิบพันกีบ คือ หนึ่งหมื่น อะไรแบบนั้น
สรุปว่าจะล่องเรือและแวะเที่ยววัด 2-3 ที่บ้านเชียงแมน ไม่ไปถ้ำติ่ง เพราะเคยไปแล้ว ขี้เกียจไปซ้ำ บ้านเชียงแมนนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับหลวงพระบางนี่เอง นั่งเรือข้ามฟากตัดลำน้ำโขงไปได้เลย
เรือพาข้ามฟากไปที่ บ้านเชียงแมน (ຊຮງແມນ) ชาวบ้านทำงานปั้นดินเป็นอาชีพ ปั้นตุ๊กตา เครื่องใช้ หม้อไหต่างๆ ปั้นแล้วเผา เดินขึ้นไปเดินเที่ยวในหมู่บ้าน แล้วแวะดูตามบ้านที่นั่งปั้นดินกันอยู่



จากบ้านเชียงแมนจะใช้วิธีเดินไปเที่ยววัดก็ได้ แต่ก็จะเมื่อยไปทำไม นั่งเรือต่อดีกว่า เรือก็จะพาไปส่งตรงท่าน้ำใกล้ๆวัดล่องคูณ แล้วเดินไล่กลับมาวัดจอมเพ็ด วัดเชียงแมน ให้เรือไปรอรับที่ท่าน้ำวัดเชียงแมน
นั่งเรือไปลงที่ใกล้ๆ วัดล่องคูน (Wat Long Khoun, ວັດລ້ອງຄູນ) เป็นวัดสร้างขึ้นในสมัยเจ้าอนุรุทธ ในราวปี ค.ศ. 1791 มีความสำคัญตรงที่ ในตอนก่อนพระราชพิธีราชาภิเษกของเจ้ามหาชีวิตของล้านช้าง จะต้องมาบำเพ็ญธรรม ที่วัดแห่งนี้ก่อนเป็นเวลาสามวัน เมื่อครบแล้วจะข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นท่าน้ำวัดเชียงทอง เพื่อเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สิมวัดล่องคูณเป็นลักษณะแบบพื้นบ้าน สร้างเป็นโถงเดียว หลังคาไม่ซ้อนชั้น



แล้วเดินไปต่อที่ วัดจอมเพ็ด (Wat Jom Phed, ວັດຈອມເພັດ) ทางเดินก็คล้ายๆ จะเดินเข้าไปในป่า ลัดเลาะไปตามทางเดิน เรื่อยๆ ไปถึงกูจะเห็นเหมือนคล้ายวัดร้าง มีสิมริมแม่น้ำโขงดูร้างๆ แต่วิวสวยและสวบมาก



เดินต่อไป วัดเชียงแมน (Wat Xieng Maen, ວັດຊຮງແມນ) เดิมมีชื่อว่า “วัดเชียงยืนไชยเชษฐาราม” สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช สิมเป็นศิลปะแบบล้านนาแต่มีผสมศิลปะของหลวงพระบางไว้ด้วย

สมควรแก่เวลาก็นั่งเรือกลับ แล้วต่อสองแถวกลับโรงแรม อาบน้ำแต่งตัว เตรียมตัวไปสนามบิน เที่ยวบินตอนบ่ายบินตรงจากหลวงพระบางกลับเมืองไทยแต่คราวนี้ลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ของประเทศไทย เพิ่งได้เคยเห็นในมุมสูง มองเหมือนขนมหนอนที่เป็นไส้ครีม เพราะยาวๆเป็นปล้องๆ ภายในอาคารผู้โดยสายโอ่โถงหอมกลิ่นใหม่ ไฉไลจริงๆ แต่แอร์ไม่ค่อยเย็นแฮะ ถ่ายรูปสนามบินใหม่เป็นที่ระลึกกันนิดหน่อย ม่วนซื่นกันดีกับทริปพิเศษบินออกสนามบินเก่า กลับมาลงสนามบินใหม่

Leave a Reply