เที่ยววันธรรมดา กรกฎาคม 2563
อยากมีรักสดใสให้ไปเขาค้อ แต่ถ้าเขาไม่ง้อให้ไปทับเบิก
ไม่มีอะไรหรอก เขียนให้มันคล้องจองไปอย่างนั้นแหละ
ไม่ได้ไปเที่ยวเขาค้อมาหลายปีมากๆ ภูทับเบิกที่ว่าดังๆก็ไม่เคยไป ยิ่งเจอกระแสคนแห่ไปล้นภูยิ่งกลัว แถมด้วยการปล่อยปละละเลยสร้างบ้านพักสีเขียวเหลืองแดงเต็มเขาไปหมด ไม่เหลือความสวยงามของธรรมชาติก็เลยไม่ไปมันเลย ฮา…..
มาช่วงกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยฝ่าวิกฤติโควิด ก็เลยว่าไปดูสักครั้ง ช่วงหน้าฝนนี้อาจจะสวยหน่อย รอให้ผ่านช่วงวันหยุดยาวไปก่อน ก็โชคดีมากๆ เพราะดูข่าวช่วงหยุดยาวคนล้นภู รถติดยาวเหยียด วางแผนไปนอนภูทับเบิกสัก 1 คืน แล้วมานอนแถวเขาค้ออีกสัก 1 คืน

จากอ.หล่มสักแยกขึ้นไปที่ภูทับเบิกระยะทาง 20 กว่ากิโลเมตร ทางชันคดเคี้ยวเลี้ยวไป 111 โค้ง รถเก๋งไปได้ แต่ก็ขอสมรรถนะดีๆหน่อย พร้อมทักษะการขับขึ้นเขาลงเขาเล็กน้อย รู้จักเร่งเครื่อง ผ่อนเครื่อง รู้จักจังหวะเบรก ขึ้นไปได้สบายมากทางลาดยางตลอดถึงหมู่บ้านภูทับเบิก เลือกที่พักกันมาตามสะดวก ถ้าวันหยุดก็จองมาก่อนดีกว่า ยิ่งถ้าวันหยุดเกินแค่ ส.-อา. ยิ่งควรจอง ยกเว้นคุณจะแอดเวนเจอร์ก็แบกเต๊นท์มาหาที่กางได้ ที่พักแทบทุกที่มีที่ว่างให้คุณกางเต๊น์นอนได้เสียค่าสถานที่เล็กน้อย
ขึ้นมาบนภูทับเบิกมาทำอะไร? ก็แอบถามน้องที่บ้านพัก น้องก็ขำๆบอกว่า ไม่มีอะไรเที่ยวหรอกพี่ ถามว่าตอนเช้ามีทะเลหมอกไหม? น้องบอกว่ามีแต่หมอกไหลๆ (ตอนแรกก็งงๆ แต่เช้าต่อมาก็เข้าใจ ไหลจริงๆ) ลองขับรถเที่ยวเล่น ก็ตามที่น้องว่า การมาภูทับเบิกคือการมาพักผ่อน มีทุ่งกระหล่ำปลีนับร้อยไร่พันไร่กับฉากหลังภูเขาสูง ดูแปลกตาดี ยามเช้าอากาศเย็นเป็นปกติ ถ้ามาหน้าหนาวก็คงหนาวจับใจ หน้าฝนยังเย็นยะเยือกเลย ช่วงปลายฝนต้นหนาวคงมีทะเลหมอกเป็นไปตามทฤษฏีหมอก ถ้ามาหน้าฝนเลยก็แล้วแต่จังหวะ ตอนเราไปฝนซาพอดี ตอนเช้าก็เลยไม่มีทะเลหมอกปึกๆ มีแต่หมอกฟุ้งๆไหลๆ ไหลจริงๆ ไหลจากเขาโน้นไปเขานี้ ไหลจากยอดเขาลงหุบ ไหลจากเชิงเขาผ่านถนนเข้าหมู่บ้าน ไหลไปไหลมายันสาย 10 โมงก็ยังไหล


อาหารยอดนิยมบนนี้ไม่พ้นกระหล่ำปลีผัดน้ำปลา แต่มาแรงในยุคหลังนี้เวลาไปเที่ยวภูเขาคือ หมูกระทะ นิยมกันจริงๆจังๆ ย่างกันควันโขมง ที่พักมักจะถามว่า ตอนเย็นพี่จะรับหมูกระทะสักชุดมั๊ยคะ


มื้อเย็นที่ร้าน “ครัวริมหมอก” อาหารอร่อยดี ราคาคือบวกค่าบรรยากาศ

มาภูทับเบิกนอกจากการเดินถ่ายรูปไร่กระหล่ำปลีแล้ว ก็มีการชื่นชมแสงเช้าแสงเย็น มีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ตกอยู่หลายจุด อันที่เพิ่มเริ่มดังคือ ผาหัวสิงห์ จะอยู่ก่อนถึงตัวหมู่บ้านหน่อยเดียว แล้วเลี้ยวแยกซ้ายเข้าไปอีกนิด มีมุมมองได้รอบๆ น่าจะสวยดีแต่เราไม่ได้เข้าไปเพราะทหารลงพื้นที่พอดี เพื่อจัดการกับพวกที่อยู่ดีๆก็มาสร้างบ้านพักตรงนั้น เวรจริงๆ



ขับรถเลยต่อจากตัวหุบเขากระหล่ำขึ้นไปอีกเพื่อมองหามุมถ่ายรูป มองไปไกลๆจะเห็นยอดเจดีย์บนเขา เวลามีหมอกไหลผ่านดูลึกลับดี ถามชาวบ้านว่าคืออะไร พี่แกบอกว่า วัดป่าภูทับเบิก ขับรถไปได้ ทางดีแล้ว ไปอีกไม่ไกล ก็เลยขับไปกัน

วัดป่าภูทับเบิก ดูอลังการงานสร้างจนรู้สึกขัดเขินที่จะเรียกว่าวัดป่า แต่ก็ไม่ต้องคิดมาก ถือว่ามาเที่ยวชมสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม สวยๆ เริ่มจากรูปปั้นตามรายทางที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อย แต่อันที่เสร็จแล้วสวยงามมากเป็นรูปสัตว์ในวรรณคดีบ้าง เทวดาบ้าง ทำให้เหมือนกำลังเดินเข้าสู่ป่าหิมพานต์ เป็นงานฝีมือที่ละเอียดสวยงามแบบที่ไม่คิดว่าจะเจอบนเขาแบบนี้ เดินไปเรื่อยๆจนถึง “พระมหาธาตุเจดีย์โพธิปักขิยธรรม” ที่ยังสร้างไม่เสร็จดี มีบันไดทางขึ้นที่ราวบันไดเป็นพญานาคเก้าเศียรซึ่งก็ยังสร้างไม่เสร็จ ถ้าเสร็จก็คงสวยอลังการ เดินเลี้ยวซ้ายไปอีกหน่อยจะเป็นพระพุทธบาทจำลอง แล้วมีวิหารสีทองอร่าม เข้าไปกราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุได้
นางพญานาคิณี ศรีปทุมมา วิสุทธิเทวี กับพญานาคาธิบดี ศรีสุทโธ วิสุทธิเทวา อยู่ในสระอโนดาต

เดินวนต่อไปได้อีกจะไปบรรจบที่องค์เจดีย์ ระหว่างทางจะมีจุดรับน้ำ ที่เขียนบอกไว้ว่าเป็นจุดรับน้ำฟ้ากลางหาวเพื่อนำไปทำน้ำพุทธมนต์ในพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษาครบ 6 รอบ ของในหลวง ร.9 เมื่อปี พ.ศ. 2542 เดินต่อไปได้อีกหน่อยก็ต้องย้อนกลับ เพราะตอนนี้ยังเดินไม่ได้เป็นวงกลม เพราะตรงเจดีย์และรอบๆยังสร้างไม่เสร็จ ถ้าเสร็จจะอลังการงานสร้างมาก

นับว่าเป็นวัดที่มีรูปปูนปั้นต่างๆสวยงามมาก มากกว่าที่เคยเห็นในวัดตามต่างจังหวัด ลวดลายปูนปั้นประณีตสวยงาม สมส่วน น่าประทับใจ ไม่เจอพระสงฆ์ เจอแต่ช่างเดินกันขวักไขว่ พระคงอยู่ในส่วนป่า บริเวณนี้ให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเล่น

จุดที่นักท่องเที่ยวส่วนมากต้องแวะไปเช็คอินกันคือ หอดูดาวกับที่วัดอุณหภูมิทับเบิก จะอยู่บนจุดสูงสุดของหมู่บ้าน ไม่มีอะไรมากแค่ลานชมวิว มีเสาปูนสีขาวหม่นมีจอดิจิตัลบอกเลขอุณหภูมิ ให้ได้บันทึกความทรงจำว่าตอนมาเที่ยวอุณหภูมิกี่องศา บริเวณเดียวกันมีลานกางเต้นท์ของวิสาหกิจชุมชน ที่กางเตรียมไว้แล้ว ติดกันเป็นพรืด แนบชิดสนิทกันประหนึ่งบ้านทาวเฮาส์





จุดรวมนักท่องเที่ยวอีกจุดคือร้านกาแฟ มี 2 ร้านในบริเวณนั้น ร้านกาแฟวิวสวยงาม “111 โค้ง @ภูทับเบิก คอฟฟี่” อยู่ต่ำกว่าหออุณหภูมิ แต่ก็อยู่ริมผาเห็นวิวได้กว้างไกลอันนี้ไม่ได้เข้าไปชิม แต่ถ้าร้านดั้งเดิมที่คนพูดถึงกันบ่อยๆ คือ “The Doi Cafe“ ต้องเดินขึ้นเนินมาอีกหน่อย ก็ทางที่จะไปหอวัดอุณหภูมินั่นแหละ ร้านเล็กกว่าแต่วิวสูงกว่า เราเลือกนั่งร้านนี้ สั่งกาแฟมาจิบในม่านหมอก อากาศเย็นสบาย กาแฟไม่อร่อยแต่วิวดี

บริเวณลานจอดรถ มีร้านขายของ ขายอาหาร ขายของที่ระลึก เชิญชวนซื้อของช่วยชาวบ้าน




ขับรถลงจากทับเบิกมาหาจุดถ่ายรูปถนนคดโค้งไปมา เห็นรูปตามเว็บสวยๆหลายมุม แต่วันนี้โชคไม่เข้าข้างเพราะหมอกเยอะมากเกิน หมอกขาวบังวิวมิด ต้องรอจังหวะหมอกไหลเปิดช่องบ้างนิดๆหน่อยๆ





ถึงด้านล่างอากาศร้อนคนละเรื่องละราวกับข้างบนเลย อย่างที่บอกว่าไม่ได้มาเขาค้อนานแล้ว เดี๋ยวนี้มีที่เที่ยวใหม่ๆเกิดขึ้นที่ยังไม่เคยไป เช่น วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ทุ่งกังหันลม ก็เลยแวะนอนที่เขาค้ออีกสักคืน พักผ่อนรับลมเย็นๆ เลือกนอนที่ด้านล่างไม่ได้ขึ้นไปนอนบนยอดเขาค้อ พักที่ ภูฟ้าใส มองเห็นพระธาตุผาซ่อนแก้วไกลๆ ที่พักสวยงามดีใช้ได้
ออกจากที่พักตอนสายๆไม่รีบร้อน ขับรถขึ้นไปทางขึ้นเขาค้อตรงไปที่ ทุ่งกังหันลมเขาค้อ ไปถึงก็ยังงงๆว่าเที่ยวอะไรกันตรงไหน สรุปว่าถนนมาสุดที่ทางเข้าพื้นที่ทุ่งกังหัน ผ่านเข้าไปไม่ได้ มีลานจอดรถคิดค่าจอดแพ๊งแพง 60 บาท รอบๆบริเวณเหมือนตลาดนัด ขายของที่ระลึก ของฝาก มีทำระเบียงให้ยืนถ่ายรูปกับฉากหลังทุ่งกังหันลมอยู่ 2-3 จุด บรรยากาศไม่น่าประทับใจ บริเวณใกล้ๆมีจุดท่องเที่ยวยอดนิยมอีก 2 แห่ง คือ คิงคองเขาค้อ กับ สวนดอกไม้กับลานเครื่องเล่น อยู่คนละฝั่งถนนกัน เป็นของเอกชนทั้งหมด ลานจอดรถก็ด้วย ยืนเล็งดูตรงสวนเป็นแบบสวนดอกไม้จัดตั้ง ที่คนขึ้นไปถ่ายรูปกัน ซึ่งเหมือนทุ่งดอกไม้ตามสวนทั่วไป มีนักท่องเที่ยวเดินแหวกตามพุ่มกระจัดกระจาย ด้านบนเหมือนจะมีเครื่องเล่นอย่างพวกชิงช้าม้ง ชิงช้าสวรรค์อะไรพวกนั้นด้วย






เราเลือกไปที่คิงคองเขาค้อ ยังไม่รู้ว่าเป็นยังไง ก็ไปยืนส่องๆดู มันคือสวนหุ่นฟางนั่นเอง มีหุ่นฟางรูปคิงคอง รูปไดโนเสาร์ รูปควาย รูปหมี อะไรพรรค์นี้ กับทุ่งหญ้า ทุ่งดอกไม้นิดหน่อย มันก็ดูเก๋ดีเหมือนกัน ดูแล้วคนไม่เยอะก็เลยซื้อบัตรเข้าไป 40 บาทเอง ถูกมาก สรุปว่าเดินถ่ายรูปสนุกสนานอยู่เหมือนกัน มีฉากหลังเป็นทุ่งกังหันลมด้วย ถือว่าเป็นสวนสวยแปลกๆและถูกมาก ตรงที่จอดรถมีส่วนร้านกาแฟร้านอาหารด้วย











** กลับมาแล้วถึงรู้ว่า มีรถพาเข้าไปเที่ยวในทุ่งกังหันลมด้านในด้วย แถมด้านในมีเอกชนทำลานกางเต้นท์ไว้ด้วย ต้องซื้อบัตรเข้าไป 60 บาท ไม่เป็นไร ถ้ามีโอกาสมาใหม่ค่อยเข้าไป **
ที่ๆยังไม่เคยไปอีกที่คือ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เห็นจากรูปตามเว็บสวยแปลกตาดี ที่นี่แวะเข้าไปตั้งแต่วันแรกช่วงบ่ายๆก่อนขึ้นภูทับเบิก มีทางแยกขึ้นไปวัดก่อนจะถึงทางแยกขึ้นเขาค้อ เลียวเข้าไปยังเป็นเวลาบ่ายๆ มีเวลาเหลือ เลยขับผ่านตัววัดไปพักจิบกาแฟที่ร้านยอดนิยม Pino Latte ก่อน ขับขึ้นไปถึงก็จะงงนิดหน่อยเพราะไม่คาดว่าจะเป็นอาคารใหญ่โตขนาดนี้ มีส่วนร้านอาหาร ส่วนร้านกาแฟ วิวหุบเขามุมกว้างสวยงามดี เห็นด้านหลังองค์พระของวัดผาซ่อนแก้วอยู่ไกลๆ มีนักท่องเที่ยวแวะมาพอสมควรแม้จะเป็นวันธรรมดา ร้านจัดได้สวยได้ชิค ตอบโจทย์ยุคสมัย คนก็เลยมากันเยอะ มาถ่ายรูป ถ่ายกันทุกมุมทุกซอก









จิบกาแฟจนแดดร่มลมตกแล้วก็ขับลงไปแวะที่ วัดผาซ่อนแก้ว ก่อนเข้าไปในวัดมีการตรวจคัดกรองตามมาตรฐาน นอกจากองค์พระใหญ่ซ้อนกัน 5 องค์ที่เคยเห็นในรูปทั่วไปแล้ว บริเวณวัดอีกฝั่งถนนก็สวยงาม อารมณ์เหมือนเดินเที่ยวชมผลงานของเกาดี้ในบาเซโลน่าเลย (อาจจะเปรียบเทียบเกินไปนิด) ที่ว่าเหมือนเพราะตัววัดทั้งพื้น เสา ผนัง ประตู หน้าต่าง ประดับด้วยกระเบื้องโมเสคสวยงาม บางพื้นที่ก็ประดับด้วยจานชามเบญจรงค์ ทำได้สวยงามกว่าที่คาดไว้เยอะ







3 วัน 2 คืน ที่ภูทับเบิก กับ เขาค้อ แบบพักผ่อนนอนสบาย ไม่เที่ยวเยอะ แต่กินแยะ มีหมอกขาวโพลนไปทั้งเขาทั้งเช้าทั้งเย็น อากาศเย็นสบาย อาหารอร่อย เหมาะกับการพาหวานใจไปสวีทกัน

Leave a Reply