พังงา เมืองที่เวลาหยุดเดิน

พากันไปเที่ยว “พังงา” เมืองที่เวลาหยุดเดิน

มีนาคม 2564

“พังงา” จังหวัดที่ไม่เคยได้เข้าไปเที่ยวจริงจังสักที ได้แต่ไปเป็นของแถมแจมๆกับทริปเที่ยวภูเก็ต อย่างไปนั่งเรือล่องอ่าวพังงา ไปเกาะปันหยี ถ้าจะไปดำน้ำหมู่เกาะสิมิลันหรือหมู่เกาะสุรินทร์ ก็นั่งรถตรงไปท่าเรือทับละมุ ท่าเรือคุระบุรี แล้วข้ามไปนอนที่เกาะเลย ไม่เคยได้เที่ยวพังงาจริงๆจังๆเลย หลายปีก่อนเคยต้องไปทำงานที่จังหวัดระนอง เลือกนั่งเครื่องบินไปลงภูเก็ต แล้วนั่งรถบัสจากถลางไประนอง รถวิ่งผ่านเขาหลัก เห็นแล้วก็อยากมาพักแถวนี้เหมือนกัน แล้วรถเลี้ยวเข้าไปส่งผู้โดยสารที่ บขส.ตะกั่วป่า วิ่งผ่านตัวเมืองเก่าตะกั่วป่า จำได้ว่าติดใจเมืองเล็กๆนี้มาก อยากมาเที่ยวสักครั้ง ผ่านมา 20 ปี เพิ่งจะได้มา

พังงามีครบทั้ง ภูเขา ทะเล น้ำตก ลำธาร มีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก ถ้าไม่ชอบกิจกรรม อยากมาพักผ่อน ทำบุญไหว้พระ ก็มีวัดมีย่านชุมชนเก่าแก่ให้ได้เดินเล่นมากมาย มีเวลาแค่ 4 วัน ยังเที่ยวพังงาได้แค่เสี้ยวเดียว มีโอกาสคงต้องมาเก็บตกที่เที่ยวอีกหลายที่

วางแผนเที่ยวไว้ประมาณหนึ่ง แต่สรุปแล้วเที่ยวตามนี้ ไม่แน่นมากนะ เน้น เที่ยวเรื่อยเปื่อย

  • วันที่ 1 : สนามบินภูเก็ต – วัดท่าไทร – ขนมจีนแม่ละม้าย ท้ายเหมือง – อ.ท้ายเหมือง – หาดท้ายเหมือง – อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง – ที่พัก Lao Flora เขาหลัก – พระอาทิตย์ตกหาดนางทอง – ข้าวเย็นร้านในเหมือง
  • วันที่ 2 : Day trip หมู่เกาะสุรินทร์ – ข้าวเย็นร้านครัวหลวงเทน
  • วันที่ 3 : เขาหลัก – อนุสรณ์สถาน Tsunami (เรือ ต.813) – เมืองเก่าตะกั่วป่า – ที่พัก เสม็ดนางชีบูทีค
  • วันที่ 4 : แสงแรกที่เสม็ดนางชี – วัดถ้ำสุวรรณคูหา – เมืองพังงา – ถ้ำพุงช้าง – อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา – สนามบินภูเก็ต

การเดินทางด้วยสายการบินสิงโตปลอดโปร่งราบรื่นดี รับกระเป๋า รับรถ ก็ออกเดินทางทันที จากสนามบินขับออกมาถึงทางแยก ถนนเพชรเกษม ซ้ายพังงา ขวาภูเก็ต เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าสะพานสารสิน ข้ามสะพานก็เข้าเขตพังงาแล้ว

วันที่ 1 | เที่ยวท้ายเหมืองเมืองขุดแร่

จุดแรกตามแผน คือแวะหาข้าวตอนเกือบๆเที่ยงกินแถวโคกกลอย แต่จุดแรกตามแผนก็พังแล้วเพราะร้านขนมจีนที่หามาปิด ส.-อา. ขนาดว่าเราที่เป็นคนทำทริปแบบค่อนข้างละเอียดทุกครั้งยังมีพลาด ลืมหาข้อมูลว่าปิดเปิดเมื่อไหร่ คิดเอาเองว่าใครจะมาปิดวันเสาร์กันว๊า สรุปว่าปิดจ้า ฮา….

เมื่อพลาดร้านมื้อแรก ก็ข้ามเรื่องกินไปจุดต่อไปเลย ค่อยไปหาข้าวกินที่ท้ายเหมืองแล้วกัน แผนเปลี่ยนได้เสมอ ตั้งพิกัดใหม่ไปที่ วัดท่าไทร ที่มีโบสถ์ไม้สักทอง สร้างอยู่ริมทะเลกันเลย ไม่มีผุมีพัง เพราะความเค็มไม่กัดกร่อนไม้

วัดเทสก์ธรรมนาวา หรือวัดท่าไทร สวยงามตามที่คาด อยู่ริมทะเลจริงๆ ไม่มีรั้วกั้น มีแต่ถนนเส้นเล็กๆ เข้าไปในโบสถ์มีคนมานั่งสมาธิอยู่หลายคน บรรยากาศสงบๆดี คนมาท่องเที่ยวก็ควรสงบสำรวมตามเหมาะสมด้วย มีป้ายบอกห้ามยืนถ่ายรูป ก็จริงนะ ในโบสถ์ก็ควรนั่งดีกว่า กราบพระพุทธรูปหินสีขาวแล้วก็ มายืนมองไปนอกหน้าต่างเป็นวิวทะเลสวยงาม ลดพัดอ่อนๆท้าสู้กับแดดเปรี้ยงๆ เดินออกจากโบสถ์ก็เรียกว่าลงพื้นทรายกันเลย เดินลงหาดทรายไปถึงทะเลในไม่กี่ก้าว

// วัดเทสก์ธรรมนาวา (วัดท่าไทร) //

“พระอุโบสถไม้สัก” ขนาด กว้าง 8.30 เมตร ยาว 23.10 เมตร สูง 13.54 เมตร
หาดหน้าวัดท่าไทร ทรายขาว น้ำใส

จากวัดท่าไทร ก็ขับเข้าตัวเมืองท้ายเหมืองกัน จากที่ตั้งใจจะแค่ผ่านชมเมืองกับหา Street art รูปเต่าทะเล ก็กลายเป็นต้องหาอาหารเที่ยงกินกันที่นี่ ขับมาจากวัดท่าไทรแป๊บเดียวก็เข้าตัวเมือง ขับอีกแป๊บก็พ้นตัวเมือง เฮ้ย!เล็กมาก มองหาอะไรกินก็ไม่เจออะไรน่าสนใจ มีแต่พวก ข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ซึ่งยังไม่อยากกินพวกนี้ตั้งแต่มื้อแรก เสียฤกษ์หมด ฮา… สุดท้ายเจอป้าย “ขนมจีนแม่ละม้าย” เออ คุ้นชื่อตอนหาข้อมูลร้านอาหารแถวท้ายเหมืองอยู่เหมือนกัน รีบกดรายละเอียดดู ร้านปิดบ่าย 2 โมง เฮ้ย!ฉันต้องไม่พลาดร้านนี้ หิวแล้ว รีบวนรถกลับมาจอด เข้าไปก็ยังทัน แต่ไม่ 100% เพราะแกงปู แกงปลา หมดแล้ว เหลือแต่น้ำยา ไตปลา น้ำพริก ก็เอาล่ะ จัดขนมจีนน้ำยากันเลย จานขนมจีนมาถึงจะวางตรงไหนดี เพราะผักสด ผักลวก เต็มโต๊ะ มาเป็นถาดๆ ตามแบบฉบับร้านขนมจีนใต้ แถมด้วยปลาฉิ้งฉ้างอีก 1 ถ้วย กินแกล้มขนมจีนเพลินมากบอกเลย

// ขนมจีนแม่ละม้าย ท้ายเหมือง //

อิ่มแล้วเข้าไปเดินเล่นในตัวเมืองกันนิดหน่อย ถนนเพชรเกษมผ่ากลางเมืองท้ายเหมืองเลย ตัวเมืองค่อนข้างเล็ก ร้านค้าริมถนนเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างมีทางเดินที่มีหลังคาคลุมต่อเนื่องตลอดแถวอาคาร เหมือนอาคารเก่าแก่ในภาคใต้หลายๆที่ แต่ที่ท้ายเหมืองนี่มีเก่าปนใหม่ เป็นปูนบ้างไม้บ้าง ร้านค้ายังขายของเบ็ดเตล็ด ร้านตัดผม 1 คูหายังเป็นร้านแบบลมโชย ร้านขายข้าวแกงของป้าก็ยังอยู่ในบ้านไม้เก่า ทุกอย่างดูเหมือนเคยเป็นอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น

// เมืองท้ายเหมือง //

ที่สี่แยกไฟแดงใหญ่ มีแยกหนึ่งไปศาลเจ้าเล่งสั้นเก้ง เป็นแยกที่เราขับมาจากวัดท่าไทร อีกแยกหนึ่งไปหาดท้ายเหมืองกับอุทยานแห่งชาติ มีสตรีทอาร์ทรูปเต่าที่เราตามหา ตรงนี้มีป้ายบอกว่าเป็นถนนคนเดินวันอาทิตย์ด้วย ส่วนอีกแยกคือถนนหลัก เพชรเกษมสาย 4 ไปเขาหลัก-ตะกั่วป่า

// ศาลเจ้าเล่งสั้นเก้ง //

// สตรีทอาร์ท ท้ายเหมือง //

ออกจากตัวเมืองไปดูหาดท้ายเหมืองหน่อย ขับรถออกไปไม่ไกลก็เป็นถนนเลียบชายหาดแล้ว หาดทรายขาว น้ำทะเลสีฟ้าใสตลอดแนวยาวไปจนกลายเป็นถนนร่มรื่นด้วยต้นสน วิ่งยาวๆไปสุดทางในเขตอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง เสียค่าเข้าอุทยานคนละ 60 บาท ด้านในมีจุดกางเต็นท์ มีชายหาด มีซากเรือขุดแร่โบราณ ซากอะไหล่เครื่องขุดแร่ แต่ละชิ้นใหญ่ยักษ์มาก ถ้าไม่สนใจก็ไม่ต้องเข้าไปก็ได้ อยากเที่ยวแค่หาดท้ายเหมืองก็แวะด้านนอกเขตอุทยานได้ตลอดแนว

// หาดท้ายเหมือง //

// อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง //

อาคารหลังคาเต่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสัตว์น้ำชายฝั่งพังงา

ออกจากเขตอช.วิ่งเลียบชายหาดกลับออกมาแวะจิบกาแฟร้านเก๋ๆ Café Jen ร้านสวยดี ราคาเหมือนร้านกาแฟกรุงเทพฯเลย แต่เหมาะแก่การหลบร้อน ด้านในแอร์เย็นฉ่ำ กาแฟดีใช้ได้ ขนมไม่ได้ชิม ยังอิ่มขนมจีน ถ้าอยากได้วิวทะเล ก็แค่เดินข้ามถนนไป หรือจะขึ้นชั้นบนเป็นดาดฟ้าชมวิวก็ได้ แต่บ่ายๆแบบนี้ร้อนมาก หลบในห้องแอร์ดีกว่า

// Cafe’ Jen หาดท้ายเหมือง //

เที่ยวท้ายเหมืองพอสมควร ออกจากท้ายเหมืองไปอ.ตะกั่วป่าต่อ คืนนี้เราจะนอนที่ La Flora Kaolak ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า ขับรถต่อไปอีก 30 กม. จะมีช่วงผ่านเขาคดโค้งเล็กน้อย ผ่าน ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่ แต่ไม่ได้แวะเข้าไป พ้นช่วงเขาลงสู่ย่านชุมชน ก็ถึงที่พักแล้ว เลี้ยวออกจากถนนเพชรเกษมเข้าซอยไปที่พักที่อยู่ติดริมทะเล ร้านค้า ร้านอาหาร รายทางในซอยปิดเรียบ ที่ยังยืนหยัดเปิดอยู่มีไม่ถึง 10% เรามาถึงช่วงบ่ายแก่ๆ ยังคิดว่าช่วงเย็นหรือกลางคืนอาจจะเปิดมากกว่านี้คึกคักกว่านี้ แต่เราเข้าออกหลายช่วงเวลาทั้ง 2 วันที่นอนที่นี่ เงียบสงบตลอด ต.คึกคัก แต่เมืองไม่คึกคักเลย นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มี เหลือแต่เราคนไทยก็เพิ่งเริ่มจะออกเที่ยวกัน เห็นแล้วก็เศร้าใจ

// มาเขาหลักพักกายพักใจ //

ถึงที่พักแล้ว La Flora Kaolak ที่พักดี อยู่ติดทะเลเลย หาดสวย ทรายขาว น้ำทะเลสีฟ้าสด มาถึงบ่ายแก่แต่ยังร้อนมากๆ หลบแดดอยู่ในห้องพักที่กว้างขวาง มีที่นั่งเล่นนอนเล่นสบายพอสมควร รอจนแดดอ่อนแรงหน่อยก็ลงไปว่ายน้ำกัน สระว่ายน้ำขนาดกลางๆ อยู่ริมทะเล บรรยากาศดี ว่ายจนเหนื่อยก็ไปจิบอะไรเย็นๆที่บาร์ริมสระหน่อย Happy Hour นะ 17:00 – 18:00

// La Flora Khao Lak //

เย็นนี้ตัดสินใจไปดูพระอาทิตย์ตกที่หาดนางทอง รีบขึ้นจากสระน้ำไปอาบน้ำแต่งตัว ขับรถไปแป๊บเดียวเพราะอยู่ห่างแค่ 4 กม. จุดเด่นของหาดนางทองคือ พื้นทรายสีดำ เพราะมีแร่ดีบุกจากทะเลซัดมาปะปนกับทรายจนทำให้พื้นทรายดำสนิท ช่วงน้ำลงจะเห็นหาดสีดำกว้างพอสมควร เห็นในรูปโปรโมทสวยงามมาก แต่ตอนเราไปน้ำเริ่มขึ้นมาแล้วเหลือพื้นดำไม่กว้างแถมเละไปด้วยรอยเท้าคน ไม่สวยเลย อีกจุดที่คนชอบไปถ่ายรูปกันคือ บรรยากาศพระอาทิตย์ตกกับประภาคารขนาดเล็กที่อยู่ไม่ห่างจากตัวหาด

// หาดนางทอง //

มื้อเย็นตั้งใจไปร้าน ครัวหลวงเทน แต่ตอนขับรถไปมันมืดแล้ว หาร้านไม่เจอ (จะบอกว่าพิกัด GPS ที่ปักหมุดไว้ไม่ใช่ตำแหน่งร้านปัจจุบัน มาหาข้อมูลทีหลังตรงนั้นเป็นร้านเก่า ตอนนี้ร้านย้ายเลยจากที่เดิมมาราว 1 กม. แต่ไม่มีป้ายไฟต้องเล็งดีๆ ป้ายชื่อร้านอยู่ด้านในเลย ไม่มีริมถนน) สุดท้ายเลยมากินร้านดังของย่านนี้อีกร้านคือ ร้านในเหมือง อาหารก็อร่อยใช้ได้ ร้านตกแต่งสวย พนักงานดูแลดี ที่ไม่อยากไปเพราะรู้ว่าร้านนี้มีทัวร์ กลัวรออาหารนาน แต่ไปจริงก็รออาหารไม่นานมาก บริหารจัดการดีใช้ได้เลย

// ร้านในเหมือง //

วันที่ 2 | ดำน้ำหมู่เกาะสุรินทร์ถิ่นมอแกน

วันที่ 2 ในพังงา วันนี้เป็นวันออกเกาะ จองทริปดำน้ำล่วงหน้ามาก่อน เป็นทริปดำน้ำหมู่เกาะสุรินทร์ จองทริปกับ Love Andaman เจ้าดัง ไปขึ้นเรือที่ท่าเรือทับละมุ ต้องขับรถย้อนกลับไป 17 กม. ก็ไม่ไกลจากที่พักแค่ 15 นาทีก็ถึง ความจริงให้ทัวร์มารับก็ได้เพราะรับส่งฟรีที่เขาหลัก

ความจริงแล้ว ท่าเรือทับละมุนี่ใกล้ อช.หมู่เกาะสิมิลันมากกว่า นั่งเรือออกไปแค่ชม.เดียวก็ถึง ถ้าจะไป อช.หมู่เกาะสุรินทร์ นิยมออกจากท่าเรือคุระบุรีนั่งเรือแค่ 1 ชม.เหมือนกัน แต่ถ้าออกจากท่าทับละมุก็นั่งเรือนานหน่อยเกือบ 2 ชม. แต่เมื่อทัวร์จัดเราก็ไป ที่เลือกหมู่เกาะสุรินทร์เพราะเป็นจุดดำน้ำตื้นสวย มีปะการังเยอะ ปลาการ์ตูนก็เยอะ แถมได้แวะหมู่บ้านชาวมอแกนด้วย แต่ถ้าชอบปลาเยอะ เต่าเยอะ (มีโอกาสเห็นมากกว่าที่สุรินทร์) หาดสวย ควรเลือกไปสิมิลัน จากประสบการณ์ที่เคยไปทั้ง 2 ที่ เมื่อนานมาแล้วนะ

// อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ //

Love Andaman เป็นบริษัททำทริปดำน้ำเจ้าดังของย่านนี้ เรือดี บริการดี ที่สำคัญหน้ากากดำน้ำดี ชูชีพดี มีของกินบริการตลอด ตั้งแต่อาหารเช้า ใครมาเร็วก็เดินกินตามสบาย ระหว่างวันก็มีอาหาร ขนม น้ำ มื้อเที่ยงพาไปกินอาหารบนเกาะที่ทำการอช. เราว่าดีนะ ให้อช.จัดทำไว้เลยเป็นบุฟเฟต์ทุกทัวร์กินเหมือนกัน แต่ละทัวร์ก็มาตั้งซุ้มเพิ่มขนมเครื่องดื่มอะไรของตัวเองไป กินเสร็จทุกคนเก็บรวบรวมไปที่จัดไว้ ทิ้งขยะให้เรียบร้อย แต่ละทัวร์ก็ขนขยะของตัวเองกลับมา ของ Love Andaman นี่ขนมเยอะอยู่ ชา กาแฟ เค้ก ไอศครีม กินไม่อั้น กลับมาถึงฝั่งตอนเย็นมีเสิร์ฟอีกนะ เบาๆกับ ผัดหมี กระเพาะปลา มะม่วงเบา ดีงาม ถือว่าประทับใจ ขัดใจอย่างเดียว เขียนไปจองเช่ากล้องถ่ายใต้น้ำ แต่จนท. ตอบมาว่าไม่ต้องจองให้มาเช่าที่ท่าเรือเลย ปรากฏว่า… กล้องหมดจ้า เช่าไม่ทัน เซ็งเลย อดมีภาพใต้น้ำสวยๆมาให้ดู

Day Trip หมู่เกาะสุรินทร์คราวนี้ มีแวะ 4 จุดคือ ท่าเรือทับละมุ > หมู่บ้านมอแกน > ดำน้ำอ่าวนีโม่ > อาหารกลางวันที่เกาะสุรินทร์เหนือ อช.หมู่เกาะสุรินทร์ พักผ่อนอ่าวช่องขาด > ดำน้ำอ่าวบอน > ดำน้ำหาดแม่ยาย > กลับฝั่ง

// หมู่บ้านมอแกน //

หมู่บ้านชาวมอแกนก่อสร้างด้วยไม้ หลังคามุงด้วยจาก สร้างบ้านเป็นหลังติดๆกัน เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ไปเมื่อปี 2562 ไหม้บ้านไปเกือบหมดทั้งหมู่บ้าน หมู่บ้านที่เห็นตอนนี้ส่วนมากสร้างขึ้นใหม่โดยทางการเข้าไปช่วยเหลือ

ขึ้นเกาะมาพี่ไกด์พาเดินขึ้นไปบนเนินเขา เพื่อมาชมวิวมุมสูง มองเห็นหลังคาบ้านเป็นติดกันเป็นพรืด กับทะเลสีเขียวจัด สวยเหมือนกัน แต่ที่แคบๆ คนขึ้นมาเยอะ รอต่อคิวกันออกไปยืนถ่ายรูป จะถ่ายรูปวิวก็เลยลำบากเพราะไม่มีช่วงว่างเลย

ชาวมอแกนนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณต่างๆในธรรมชาติ รวมทั้งวิญญาณบรรพบุรุษ มี “หล่อโบง” หรือเสาวิญญาณบรรพบุรุษ ทั้งชาย (แอบ๊าบ) และหญิง (เอบูม) เป็นสัญลักษณ์

ผู้ชายชาวมอแกนส่วนมากออกเรือประมง ส่วนผู้หญิงอยู่บ้าน เปิดร้านขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว

เดินไปท้ายๆหมู่บ้าน จะไม่มีร้านขายของ บ้านยังคงเป็นบ้านเก่าดั้งเดิม ที่เหลือรอดจากไฟไหม้อยู่ไม่กี่หลัง

ทั้งหมู่บ้านเจอแต่เด็กและผู้หญิง แล้วก็คนแก่ ผู้ชายน่าจะออกเรือกันหมด

อุดหนุนเต่าไม้จากสาวน้อยมาในราคา 100 บาท มันไม่สมราคาหรอก แต่อยากช่วยน้องกับครอบครัวจะได้มีเงินไว้ไปซื้อข้าวของในช่วงมรสุมที่ไม่มีนักท่องเที่ยว ออกทำประมงก็ไม่ได้

// ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ อ่าวช่องขาด //

อาหารกลางวันที่เกาะสุรินทร์เหนือ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ทุกทัวร์ดำน้ำจะเข้ามากินที่นี่เหมือนกันหมด

หลังอาหารกลางวันเดินมานอนเล่นที่อ่าวช่องขาด บรรยากาศดี น้ำใสมาก

กลับมาดำน้ำที่หมู่เกาะสุรินทร์คราวนี้ รู้สึกว่าน้ำทะเลดีกว่าเดิมมาก สะอาดใส เพราะได้ฟื้นตัวไม่โดนนักท่องเที่ยวชำเรามาเป็นปี แต่ปะการังพินาศไปเยอะ ทั้งจากโลกร้อน ทั้งสึนามิ แต่น้องนีโม่ก็ยังอยู่กันเยอะ โดยเฉพาะตรงหาดแม่ยายมีดอกไม้ทะเลหลายกอ เสียดายไม่มีรูปใต้น้ำ

อย่างที่บอกว่ามันไกล กว่าจะกลับมาถึงท่าเรือก็เกือบมืด แถมมีฝนตกบนฝั่งอีก เปียกปอนเล็กๆ แต่ยังอุตส่าห์ขอกินกระเพาะปลาหน่อย เขาอุตส่าห์เตรียมไว้ให้ ฮา…. บึ่งรถกลับที่พักรีบอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ต้องหาครัวหลวงเทนให้เจอ แล้วก็เจออย่างที่เล่าไปแล้วว่า ร้านขยับจากตำแหน่งที่ GPS ปักหมุดไว้เดิมราว 1 กม. หาข้อมูลมาแล้วว่าร้านปิด 2 ทุ่ม ปิดเร็วควรรีบไป เราไปถึงทุ่มกว่าๆ โต๊ะเต็มมีคนนั่งเกือบทุกโต๊ะ ส่วนโต๊ะที่ไม่มีคนนั่งก็มีแต่ซากจานชามคนกินแล้วไปแล้ววางเต็มยังไม่ได้เก็บ มีคิวยืนรอก่อนหน้า 2 คิว พี่แกบอกว่าให้เขียนสั่งอาหารเลยแล้วเขียนชื่อด้วย แกก็รับไป เห็นวุ่นๆเหมือนจะมั่วๆ แต่ก็ตามคิวนะ ถึงคิวอาหารแล้วแกค่อยเก็บโต๊ะทีละโต๊ะแล้วค่อยเรียกมานั่งนะ เรายืนรอโต๊ะไปสักครึ่งชม.พอถึงคิวเรา เอาใบสั่งอาหารมาถามอีกทีว่าของเรามั๊ย แล้วก็ไปเก็บโต๊ะให้ ถึงได้นั่ง แต่พอนั่งแล้วก็รออาหารไม่นานแล้ว ยังมีลูกค้ามาอีกเรื่อยๆแต่พอทุ่มครึ่งก็ไม่รับลูกค้าแล้ว พอๆปิดรับ นับว่าเราโชคดี

// ครัวหลวงเทน //

สรุปอาหารเลยแล้วกัน สรุปว่าอร่อย ถูกใจ แกงเหลืองอร่อยมาก ไม่ได้เผ็ดน้ำหูน้ำตาไหล แต่เผ็ดร้อนกำลังดี ปลาทรายทอดขมิ้นกรอบดีมากกินแกล้มกับแกงเหลืองดีงาม ไข่เจียวหอยนางรมเราเฉยๆ อยากกินอีกหลายเมนูมาก แต่มากัน 2 คนสั่งได้แค่นี้

มีร้านที่อยากกินอีกร้านคือร้าน เรอดัง แต่มันอยู่ใกล้ๆท่าเรือทับละมุ ถ้าดำน้ำเสร็จกลับฝั่งแล้วแวะกินเลยจะดีกว่า แต่เหนียวตัวมาก ทนไม่ไหวขอกลับไปอาบน้ำก่อน แต่จะให้ขับกลับมาอีก 15 กม. ก็ขี้เกียจนะ

วันที่ 3 | เที่ยวตะกั่วป่า เมืองที่เวลาหยุดเดิน

บรรยากาศยามเช้าที่ห้องอาหารริมทะเลของ La Flora ดีงาม อาหารก็หลากหลายพอสมควร มีทั้งข้าว ทั้งซูชิ ทั้งก๋วยเตี๋ยว สลัด ไข่ดาว ไส้กรอก เยอะแยะ แต่เรากินข้าวหน้าเป็ด 555 ตบท้ายด้วยโรตีกรอบกับชานมเย็น อร่อยแต่ไม่ดีกับสุขภาพ (ยอม…)

หาดเขาหลักสงบเงียบดี ทรายก็สะอาด น้ำยังใสก่อนเข้าฤดูมรสุม ที่พักเราติดหาดเลยได้เดินเล่นริมหาดยามเช้า

// อนุสรณ์สถาน เรือ ต 813 //

ออกจากทีพักกลับสู่ถนนเพชรเกษมสาย 4 ฝั่งตรงข้ามมี จุดที่เราอยากแวะเข้าไปชมหน่อย คือ อนุสรณ์สถานสึนามิ เรือ ต.813 มีป้ายคอนกรีตขนาดใหญ่อยู่ปากทางเลี้ยวเข้าไปหน่อยจะเห็นเรือลำใหญ่จอดอยู่มีรั้วรอบ นี่คือ เรือ ต. 813 หรือ เรือตรวจการณ์ 813 เป็นเรือในหน่วยงานกรมตำรวจ โดนสึนามิหอบขึ้นมาเกยตื้นอยู่ตรงนี้ เมื่อเหตุการณ์สงบก็เลยปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ จัดทำเป็นอนุสรณ์ถึงความรุนแรงของภัยธรรมชาติครั้งนั้น ที่รุนแรงขนาดหอบเรือหนัก 60 ตัน ที่ลอยลำอยู่ห่างจากฝั่งถึง 1 ไมล์ทะเลเข้ามาในฝั่งถึง 2 กม.ได้

กลับมาถนนหลักขับต่อไปอีก 35 กม. เข้าไปที่กลางตัวเมืองเก่าตะกั่วป่า ในที่สุดก็ได้มาเดินเที่ยวเล่นดูบ้านเก่าสวยๆที่เคยมองผ่านหน้าต่างรถทัวร์เมื่อสิบกว่าปีก่อน

จุดหมายแรกขับรถไปที่ โรงเรียนเต้าหมิง ที่นี่เป็นโรงเรียนเก่าแก่ปิดกิจการไปนานแล้ว แต่ตัวอาคารสีเหลือง ประตูหน้าต่างแบบเก่า ยังคงสวยงาม เข้าไปเดินชมได้รอบๆ

// โรงเรียนเต้าหมิง //

เป้าหมายของนักท่องเที่ยวทุกคนคือถนนศรีตะกั่วป่า ต้องหาที่จอดแล้วเดินดีที่สุด เลือกตั้งต้นเดินกันที่ต้นถนนศรีตะกั่วป่า ตรงศาลเจ้าซินใช่ตึ๋ง หาที่จอดแถวๆนั้น แล้วก็เดินเล่นไปตามถนนสายประวัติศาสตร์ได้เลย

// ศาลเจ้าซิ่นไช่ตึ๋ง //

// ถนนศรีตะกั่วป่า //

ถนนศรีตะกั่วป่า ถนนสายวัฒนธรรมของเมืองตะกั่วป่า

ตะกั่วป่า เดิมชื่อเมือง ตะโกลา เป็นเมืองอุตสาหกรรมเหมืองแร่ดีบุกเก่าแก่มาเป็นร้อยปี มีชาวจีนฮกเกี้ยนเข้ามาอาศัยอยู่มาก สร้างอาคารเรือนแถว 2 ชั้นเป็นที่อยู่ เป็นร้านค้า ชั้นล่างมีทางเดินหน้าบ้านที่มีพื้นชั้น 2 เป็นหลังคาคลุมตลอดแนวอาคาร ระหว่างห้องก็ทำเป็นซุ้มประตูโค้ง เดินลอดไปได้ตลอด เพราะภาคใต้ฝนตกมากกว่าแดดออก เวลาฝนตกผู้คนก็ยังเดินไปมาได้ แถมยังค้าขายได้ตลอดด้วย ฉลาดมากเลยนะ ลักษณะบ้านแบบนี้เจอได้ในหลายจังหวัดภาคใต้ ที่ดังๆ คนไปเยอะๆคือที่ภูเก็ต ตลอดถนนถลาง เยาวราช ดีบุก พังงา เทพกษัตรี (อย่างง มันคือชื่อถนนเฉยๆ)

“หง่อคาขี่” ช่องทางเดินโค้งหน้าบ้านมีหลังคาคลุม เพราะแถบนี้มีฝนตกเป็นประจำ จึงสร้างเป็นแนวยาวตลอดความยาวของตึกเพื่อความสะดวกในการค้าสมัยก่อน ภูมิปัญญาท้องถิ่น

นี่ไง รถโดยสารวิ่งระหว่างเมือง วิ่งผ่านตัวเมืองเก่าตะกั่วป่า

ถนนศรีตะกั่วป่า มีบ้านเก่าแก่โบราณแต่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีตลอดถนน แทรกอยู่ด้วยความสมัยใหม่ของสตรีทอาร์ทเท่ๆ ร้านกาแฟเก๋ๆ แถมด้วยศาลเจ้าเยอะมาก บางห้องแถวมองเข้าไป อ้าว เป็นศาลเจ้าแหละ ไม่ใช่บ้านคน บางห้องยังเปิดขายของอยู่เหมือนเปิดมาตลอดหลายสิบปี บางหลังก็ปิดเพราะใช้เป็นที่อยู่อาศัยเฉยๆ บางห้องก็เป็นสำนักงาน มีบริษัทเหมืองแร่เก่าอยู่ด้วย ปัจจุบันก็ไม่ได้ทำธุรกิจนี้แล้วแต่ป้ายยังอยู่

// สตรีทอาร์ท ตะกั่วป่า //

ว่ากันที่ร้านกาแฟ ร้านเด่นร้านดังที่ย่านถนนศรีตะกั่วป่าคือร้าน ตรอกคาเฟ่ ที่อยู่ตรงซอกอาคาร ใกล้ๆสามแยกสตรีทอาร์ทคนร่อนแร่ แต่ร้านเก๋ๆนี้เปิดเฉพาะวันอาทิตย์ที่มีถนนคนเดิน เราไปวันจันทร์ โชคดีว่ามีร้านดังอีกร้านที่เปิด คือร้านโกปี๊กั่วป่า (Kopi Kuapa) พิกัดก็อยู่ในตรอกระหว่างอาคารเหมือนกันแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตรอกคาเฟ่ เยื้องๆกันไปสัก 4-5 คูหา ตรงนี้มีสตรีทอาร์ทดังอีกจุด เพราะเป็นรูปรถสองแถวเก่าแก่ของตะกั่วป่า เก๋ๆ

// ตรอกคาเฟ่ | Trok Cafe //

ร้านกาแฟในตรอกบนถนนศรีตะกั่วป่า เปิดเฉพาะวันอาทิตย์ ที่มีถนนคนเดิน

// โกปี๊ กั่วป่า | Kopi Kuapa //

ร้านกาแฟในตรอกอีกร้าน บนถนนศรีตะกั่วป่า โชคดีของเราที่ร้านเปิด ให้ได้เข้าไปนั่งหลบแดดจิบเครื่องดื่มเย็นๆ

เดินจากตรงที่เราจอดรถไปตามถนนจนสุดทางก็ย้อนกลับมา ถึงสามแยกที่ตัดกับถนนกลั่นแก้ว ตรงนี้มีภาพบนผนังตึกเป็นรูปเกี่ยวกับการร่อนแร่ อุตสาหกรรมดั้งเดิมของตะกั่วป่า เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันตลอด ตอนนี้ผนังฝั่งตรงข้ามกำลังวาดรูปพระราชกรณียกิจในหลวงร.๙ ยังไม่แล้วเสร็จ ถ้าเสร็จแล้วต้องไปดูใหม่ ถ้าเดินตามถนนไปอีกนิดก็เป็นตลาด แต่เราไปบ่ายแล้วตลายวายไม่มีอะไรขายแล้ว ให้มาตอนเช้า ของกินเพียบ

เดินกลับที่จุดจอดรถ ตรงนี้มีของกิน หลายอย่าง เริ่มจากห้องแถว 2 คูหาตรงหัวมุมถนน ตรงข้ามกับศาลเจ้าซินใช่ตึ๋ง ไม่มีป้ายชื่อ แต่ที่นี่คือ ร้านกาแฟ เก่าแก่ดั้งเดิม รู้จักกันในชื่อ แป๊ะซำเต เป็นสภากาแฟยามเช้า แล้วยังขายขนมจีนรสเด็ดด้วย บางคนเรียกว่าร้านขนมจีนหน้าศาลเจ้า

แป๊ะซำเต / ร้านขนมจีนหน้าศาลเจ้า

// ไส้กรอกตะกั่วป่า //

ถ้าหันหลังให้ศาลเจ้าซินใช่ตึ๋ง เลี้ยวทางขวา เป็นแนวอาคาร 2 ชั้นเก่าๆ มีร้าน ไส้กรอกตะกั่วป่า ที่อยากให้ไปลองชิม ไส้กรอกตะกั่วป่าหน้าตาคล้ายๆไส้อั่วแต่รสไม่เหมือนกันเพราะส่วนผสมเครื่องเทศไม่เหมือนกัน ต้องไปลองชิม ร้านนี้มีลูกเล่นเก๋ๆอย่างหนึ่งคือ ถ้ามองเห็นฝาหม้อวางหน้าร้าน แสดงว่าไส้กรอกยังไม่หมด เดินเข้าไปในบ้านได้เลย พี่แกขายในบ้าน ไม่ออกไปวางขายหน้าบ้าน ถ้าเดินมาไม่เห็นฝาหม้อก็คือไส้กรอกหมดแล้วจ้า

มื้อเที่ยงเราตัดสินใจเลือก เย็นตาโฟป้าเปรมจิต เจ้าเก่าแก่จากในตลาด ร้านอยู่ห้องแถวฝั่งตรงข้ามกับขนมจีนหน้าศาลเจ้าเยื้องๆกันไปหน่อย ตอนเที่ยงๆคนเต็มร้าน นั่งรอสักพักก็ได้ชิม เย็นตาโฟที่รสชาติดั้งเดิมมากๆ คือน้ำซอสเย็นตาโฟไม่ได้สีแดงแปร๊ดหวานเจี๊ยบเหมือนร้านสมัยนี้ แต่เป็นซอสเย็นตาโฟสูตรโบราณ สีออกชมพู รสชาตินัวๆพูดไม่ถูก อร่อยดี แล้วเย็นตาโฟตะกั่วป่านี่ใส่กากหมูด้วย มันเข้ากันดีแฮะ ควรไปลองชิม

// เย็นตาโฟป้าเปรมจิต //

ตะกั่วป่ามีที่เที่ยวชมอีกหลายจุดนะ แต่เราไม่ได้ไป เพราะช่วงบ่ายฝนถล่มลงมาอย่างหนัก เลยได้แต่ขับรถชมเมืองส่วนที่เหลือ ได้เห็นอยู่ เช่น บ้านขุนอินทร์, จวนเจ้าเมืองตะกั่วป่า, เสียดายไม่ได้เข้าวัดเลย มีวัดหลายวัดเหมือนกันอย่าง วัดหน้าเมือง, วัดพระธาตุคีรีเขต, วัดเสนานุชรังสรรค์

ขับรถชมเมืองช่วงฝนตกสักพัก ก็ขับรถออกนอกเมืองเก่า ไปแถวเมืองใหม่ ที่ย่านยาว ข้ามสะพานเสนาไปที่ท่ารถตะกั่วป่า เพราะอยากไปหาถ่ายรูปรถสองแถวไม้สไตล์คลาสสิคของตะกั่วป่า เพราะไม่เจอวิ่งในเมืองเก่าเลย ถามพี่ที่ร้านกาแฟ แกบอกว่าไปหาดูแถวบขส.มีจอดรับคนอยู่ ไปถึงก็เจอบ้างแต่ไม่เยอะ มาเจอเยอะตรงซอยข้างการทางตะกั่วป่า ใกล้ๆตลาดลานโล่ง จอดรวมตัวกันเพื่อรอไปรับนักเรียน มองป้ายดูเป็นรถรับส่งนักเรียนหมดเลย

ถ่ายรูปรถสองแถวเสร็จฝนหยุดพอดี เลยย้อนกลับไป สะพานเหล็กบุญสูง มาตะกั่วป่าทั้งทีต้องมาเก็บภาพสักหน่อย สะพานนี้มีประวัติเขียนบอกไว้ว่าทำมาจากเหล็กจากเรือขุดแร่เก่า สร้างเพื่อให้คนงานเหมืองแร่ที่อยู่แถวย่านยาวข้ามมาทำงานได้สะดวกขึ้น สะพานสร้างมานานกว่า 60 ปีแล้วตอนนี้ก็ยังมีคนใช้ข้ามไปมาอยู่จริงๆ

// สะพานเหล็กบุญสูง //

จบการเยี่ยมชมเมืองเก่าตะกั่วป่า วันนี้เราจะย้ายที่นอนกลับไปนอนใกล้ๆเมืองพังงาที่ เสม็ดนางชีบูทีค จากตะกั่วป่าขับรถย้อนกลับลงมาตามทางที่มาวันแรก ผ่านเขาหลัก แวะจิบกาแฟยามบ่ายก่อนสักหน่อย ที่ร้านกาแฟดังอีกร้านของเขาหลัก

// Yellow Snail Cafe’ and Gallery //

ออกจากเขาหลัก ขับย้อนทางเดิมต่อไปท้ายเหมือง โคกขนุน เข้าตะกั่วทุ่ง ไปตามทางเข้าอ.เมืองพังงา แต่มีทางแยกตรงบ้านท่านุ่นเพื่อไปชุมชนเสม็ดนางชี

จากทางแยกถนนใหญ่เข้าไป ระหว่างทางไปเสม็ดนางชี เป็นสวนยางของชาวบ้านตลอดแนว ชาวบ้านส่วนมากเป็นชาวมุสลิม ยังไม่เห็นที่พักตลอดรายทาง แหมือนจะมีที่กางเต้นท์ของชาวบ้านอยู่ที่เดียว แต่ร้านอาหารพอมีอยู่ จากถนนใหญ่ขับเข้าไปเกือบ 20 กม. ก็ถึงจุดจอดรถของที่พัก เสม็ดนางชีบูทีค ใครไม่พักก็มาได้ เพราะด้านบนมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ซื้อบัตรขึ้นไปได้ คนละ 50 บาท ต้องนั่งรถรับส่งของที่พักขึ้นไป คนจองห้องพักไว้ก็ทำเซ็คอินตรงนี้เลย แล้วนั่งรถขึ้นไปเหมือนกัน

// เสม็ดนางชี บูทีค //

ขึ้นมาแล้วรู้สึกดีใจที่จองที่พักได้ เพราะบรรยากาศดีมาก วิวสวยมาก ที่พักก็ดีใช้ได้ พนักงานบริการโคตรดีแทบอุ้ม ฮา… คนไม่พักอยู่ตรงส่วนร้านอาหารได้ หรือขึ้นไปส่วนคาเฟ่ด้านบนสุดก็ได้ จะเดินขึ้นหรือนั่งรถขึ้นก็ได้ เพราะส่วนคาเฟ่อยู่สูงกว่าส่วนร้านอาหารขึ้นไปอีก เราขอพักผ่อนชมวิวที่ห้อง กับลงแช่บ่อจากุชชี่ดีกว่า

แสงยามเย็นที่นี่สวยจับใจ นั่งหน้าห้องพักจิบเครื่องดื่มเย็นๆ จนใกล้มืดก็เดินลงไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารของที่พัก บางห้องก็ซื้ออาหารขึ้นมากินกัน กินกันในห้องก็ได้ หน้าห้องก็ได้ แต่ห้ามทำอาหารนะ เราก็เอาสะดวกลงไปร้านอาหารแหละ อาหารก็ราคารีสอร์ทหน่อย แต่อร่อยเลยแหละ วิวก็สวย ให้ผ่านเลย

ไม่ได้ที่นั่งด้านนอก ก็นั่งด้านใน วิวสวยเหมือนกัน แอร์เย็นด้วย ยุงก็ไม่มี

วันที่ 4 | พังงา..แล้วจะมาใหม่

ดูพยากรณ์อากาศมาแล้วว่าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้น 6:30 ก็ต้องตื่นก่อนนั้นสักครึ่งชม. เพื่อจะได้เห็นแสงสีทอง ถ้าไม่ต้องการถ่ายภาพมุมกว้างอะไร ห้องที่เราได้พักนี่นอนดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เตียงนอนได้เลยนะ เพราะอยู่ห้องมุมเลย บรรยากาศดีสุดๆ แต่เราก็นะ อยากได้รูปกว้างๆไม่ติดระเบียง ก็เลยแบกอุปกรณ์ไปที่ระเบียง มีคนตื่นมารอแสงเช้ากันบ้างแล้ว ไม่รู้จะบรรยายอะไร คือ บรรยากาศโดยรวมดีมากๆ ยืนถ่ายรูปจนพอใจได้เลย

อรุณสวัสดิ์จากเตียงนอน
บรรยากาศดี มีหมอกบางๆพาดผ่านเขาเช้านี้

กลับมาพักผ่อน อาบน้ำแต่งตัวแล้วไปกินอาหารเช้าที่ห้องอาหารเดิม อาหารเช้าก็พอใช้ได้ ไม่มีอะไรพิเศษ อิ่มแล้วขอขึ้นไปคาเฟ่ด้านบนสักหน่อย เพราะน้องพนักงานบอกว่าวิวสูงกว่ามองได้กว้างไกลกว่า ถ้าเดินก็ขึ้นบันไดด้านหลังร้านอาหารไปได้เป็นร้อยขั้นเหมือนกัน อย่ากระนั้นเลย ให้รถไปส่งดีกว่า คาเฟ่ด้านบนวิวดีมาก ถ้าขึ้นมาตอนเช้าก็น่าจะสวย โซนนี้เปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้าเหมือนกัน นักท่องเที่ยวบางคนก็ยอมตื่นเช้ามืดนั่งรถมาถึงก่อน 6 โมงเช้ารอเวลาเปิดก็นั่งรถรับส่งของที่พักขึ้นมาแต่เช้าก็มี

โซนวิลล่าด้านบน ติดกับโซนคาเฟ่

สายๆก็เช็คเอาท์ วันนี้จะเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองพังงา สั่งลาก่อนขึ้นเครื่องกลับตอนเย็น จุดแรกที่แวะคือ วัดสุวรรณคูหา (วัดถ้ำ) ที่อ.ตะกั่วทุ่ง เป็นถ้ำกว้างๆ มีพระพุทธรูปหลายปางประดิษฐานอยู่ข้างใน ผนังถ้ำด้านในมีพระปรมาภิไธยของ ร.๔ ร.๕ ร.๙ พระบรมสานุวงศ์ และผู้มีชื่อเสียง แสดงว่าเคยเสด็จหรือเคยมาเยือนที่นี่ นอกเขตที่ล้อมไว้ ก็มีลายมือของผู้ไม่พึงประสงค์เขียนกันเต็มไปหมด รักกันบ้าง ด่ากันบ้าง เห็นแล้วก็สลดใจ

// วัดสุวรรณคูหา (วัดถ้ำ) //

จากวัดถ้ำ มุ่งหน้าเข้าในตัวเมืองพังงากัน แวะที่ศาลากลางจังหวัดพังงา (เก่า) ที่ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่เราไปแล้วปิด ก็เลยเดินดูรอบๆ อาคารเก่าสีไข่ไก่ สวยดี

// ศาลากลางจังหวัดพังงา (เก่า) //

// เมืองพังงา //

อ.เมืองพังงา มีภูเขาหินปูนล้อมรอบ มองไปทิศไหนก็เจอภูเขา

จากนั้นเข้าไปตามหาสตรีทอาร์ทเก๋ๆของเมืองพังงา 3 จุด ทั้งหมดอยู่บนถนนบริรักษ์บำรุง เริ่มจาก น้องมาร์ดีร่อนแร่ ไปที่ น้องมาร์ดีสำเภาในขวดแก้ว และ น้องมาร์ดีเชิดสิงโต ที่อยู่ลานตรงข้ามศาลเจ้ามาจ้อโป๋ ตรงนี้มีร้านร้านขนมจีนป้าศล ร้านขนมจีนเด่นดังของพังงา ที่ป้าแกเหนื่อยแกเลยหยุดวันจันทร์กับวันอังคาร เราก็เลยอดกินจ้า

// สตรีทอาร์ต พังงา //

Street Art “Story of a Wonderful Town” มี 3 ภาพด้วยกัน วาดโดยคุณ Alex ศิลปิน Street Art ระดับประเทศ

History of Mining (น้องมาร์ดีร่อนแร่)

พิกัด : แยกโรงเรียนอนุบาลเก่า ถนนโรงเรือ ตรงข้ามสำนักงานธนารักษ์ พื้นที่พังงา

Memory in a Bottle (สำเภาในขวดแก้ว)

พิกัด : ซอยบำรุงราษฎร์ ตรงข้าม TOT สาขาพังงา

Lion Dance (เชิดสิงโต)

พิกัด : ข้างร้านขนมจีนป้าศล ตรงข้ามศาลเจ้ามาจ้อโป๋

// สะเต๊ะพังงา (คุณทิพย์) //

ไม่ต้องเสียใจ ขนมจีนไม่ขายเราก็เลยไปกิน สะเต๊ะพังงา แทน ร้านสะเต๊ะคุณทิพย์ เป็นร้านดังของพังงา ขายแต่สะเต๊ะอ่ะคิดดู ตอนแรกจะไม่กินเพราะแฟนบอกหิวข้าวกลัวไม่อิ่ม แต่ข้างร้านคุณทิพย์เป็นร้านข้าวแกง สั่งแล้วเอามากินร้านสะเต๊ะก็ได้ เลยตกลงปลงใจกินที่นี่แหละ เราสั่งห่อหมกมากินเล่นด้วยอร่อยดีนะ ข้าวแกงก็อร่อย ส่วนสะเต๊ะ ก็สั่งมันทุกอย่างที่มีคือ หมูสะเต๊ะ กุ้งสะเต๊ะ ตับสะเต๊ะ ไส้สะเต๊ะ เอามาชิมทุกอย่าง ชอบกินไส้ แต่เกือบไม่ได้กินเพราะน้องบอกว่ามีคนสั่งไว้หมดแล้ว แง… แต่สุดท้ายน้องพอแบ่งปันมาให้ได้ เลยได้เป็น ไส้/ตับ 5 ไม้ อร่อยดีเลย ไส้ไม่เหนียวตับก็ไม่แข็ง ส่วนกุ้งสะเต๊ะก็ดีนะเนื้อกรอบเด้งดีเลย หมูสะเต๊ะนุ่มดี น้ำจิ้มสะเต๊ะรสออกเผ็ดนิดๆเข้มข้นมาก อาจาดก็ดีชอบที่ให้แตงกวาเยอะสะใจ ขอเพิ่มก็ได้ รีวิวจากใจคนไม่ได้ชอบกินหมูสะเต๊ะนะ คือ ให้ผ่านเลย ดี

ร้านข้าวแกงป้าเขียวอยู่ติดร้านหมูสะเต๊ะคุณทิพย์ สั่งกินข้ามร้านได้ ห่อหมกป้าเขียวอร่อยใช้ได้เลย

อิ่มท้องดีแล้ว จุดต่อไปที่ตั้งใจมาเที่ยวมากคือ ถ้ำพุงช้าง มีแต่คนบอกว่ามันดี ต้องไป ก็ต้องไปแหละ ถ้ำพุงช้างนี้อยู่ในเมืองพังงาเลย เพราะเมืองพังงาเหมือนเมืองในหุบเขา ถ่ายรูปมุมไหนก็เห็นภูเขา ทางเข้าถ้ำพุงช้างอยู่ในวัดประภาศประจิมเขต ใกล้ๆกับกับศาลากลางเก่า ติดกับทางเข้าวัดมีลานกว้าง ที่มีรูปปั้นขนาดใหญ่ของหลวงพ่อทวด แวะกราบก่อนเข้าวัดหรืออกมาค่อยแวะก็ได้

// หลวงพ่อทวด สวนกาญจนาภิเษก //

ด้านหลังรูปปั้นหลวงพ่อทวดคือเขาช้าง

// ถ้ำพุงช้าง //

เลี้ยวเข้าไปในเขตวัด ขับตรงมาถึงตีนเขา เงียบสงบมาก ไม่เห็นผู้คน ไม่มีเจ้าหน้าที่ นึกหวาดๆว่าถ้ำปิดเปล่าเนี่ย สุดท้ายเจอคนในวัดบอกว่ามีคนให้ติดต่ออยู่ทางศาลาหน้าถ้ำ ในที่สุดก็เจอ สอบถามได้ความว่า ค่าเข้าเยี่ยมชมคนละ 200 บาท ไกด์หนุ่มพามาอธิบายให้ฟังว่า ช่วงแรกจะนั่งเรือยางพายเข้าไป จากนั้นเปลี่ยนเป็นนั่งแพไม่ใผ่ จากนั้นลงเดินลุยน้ำ ชมหินงอกหินย้อย ดังนั้นก็ไปเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้น เก็บของทุกอย่างในรถ เพราะด้านในห้ามถ่ายรูป นอกจากจะทำเรื่องขออนุญาต เช่นพวกรายการถ่ายทำต่างๆ ทั้งหมดใช้เวลาไปกลับราว 1 ชม.

อุปกรณ์ที่ไกด์เตรียมให้คือไฟส่องกบคนละอัน พร้อมแล้วเดินไปที่หน้าถ้ำ ก่อนเข้าถ้ำไปไหว้ศาลพ่อตาเขาช้างกันก่อน จากนั้นก็ลงเรือยางมีคนพาย 1 คน ไกด์เรานั่งด้านหน้า น้ำช่วงแรกลึก และโถงถ้ำกว้าง จึงพายเรือยางเข้าไปได้ สุดทางเรือยาง เปลี่ยนเป็นแพไม้ไผ่ เพราะจากตรงนี้ไปถ้ำจะแคบเหมือนเป็นซอกหิน ขนาดพอดีกับแพไม้ไผ่ และน้ำค่อนข้างตื้น น้องไกด์ไถๆผนังพาแพผ่านช่องแคบไปจนสุดทาง ก็จอดแพแล้วลงเดิน น้ำแค่ครึ่งแข้ง บางช่วงก็แค่ตาตุ่ม น้ำเย็นเจี๊ยบ ใสแจ๋ว น้องบอกว่าน้ำนิ่งใสแจ๋วเพราะเราเป็นลูกค้ากรุ๊ปแรกของวันนี้

ด้านในสวยงามตามสมควร หินงอกหินย้อยยังไม่ตาย เพราะการเข้มงวดในการเข้าเยี่ยมชม นับว่าดีทีเดียวนะ ในถ้ำ ด้านล่างคือในน้ำ มีปลาช่อนปลาดุกตัวยักษ์มากๆ มีกุ้ง มีกบ ส่วนด้านบนมีค้างคาว ช่วงต้นๆมีค้างคาวห้อยหัวเต็มไปหมด ค้าวคาวพวกนี้กินผลไม้จะบินออกจากถ้ำไปหาอาหารตอนเย็นๆ เข้าไปด้านในลึกๆจะมี ค้างคาวกิตติ เป็นค้างคาวตัวจิ๋ว จะแอบนอนตามซอกหิน ถ้าไกด์ไม่ชี้ให้ดูคงไม่เห็น (ค้างคาวกิตติ Kitti’s Hog-nosed Bat (Craseonycteris thonglongyai) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก | http://www1a.biotec.or.th/) ด้านในถ้ำเป็นยังไงดูจากคลิปรายการเป้อารักษ์แล้วกัน

อารักษ์ X Amazing พังงา ออกอากาศ 23 ต.ค. 63 ทาง Thai Pbs

// Tree Cups Cafe’ //

เที่ยวถ้ำเรียบร้อย ก็ขับรถไปหากาแฟกินยามบ่ายสักหน่อย มาพังงานทั้งทีก็เลยขอไปร้านกาแฟสุดฮิตของละแวกนี้ คือ Tree Cups Café ร้านกาแฟบนต้นไม้ ร้านอยู่ใกล้ๆกับทางแยกเข้าเสม็ดนางชี เคยอ่านรีวิวว่า ช่วงวันหยุดคนจะเยอะมากต้องรอคิว แต่เราไปวันธรรมดา คนไม่ค่อยมีไม่ต้องรอคิว ขึ้นไปบนร้านกาแฟด้านบนได้เลย มีที่นั่งชมวิวสบาย สั่งกาแฟมาจิบไปดูวิวไป วิวดีพอสมควรแต่กาแฟไม่ผ่าน นอกจากเครื่องดื่มก็มีขายอาหารจานเดียวด้วย ไม่ได้ชิม

นั่งคุยกันว่า เที่ยวจบตามแผนแล้วเวลายังเหลือ 2-3 ชม. ก็เลยว่า มาพังงาไม่ได้ไปเขาตาปู ไม่ได้ไปสนามบอลลอยน้ำ ก็อาจเหมือนจะไปไม่ถึงนะ ก็เลยตัดสินใจ ไปที่ท่าเรือสุระกุล ท่าเรือท่องเที่ยวของเอกชน ท่าเรือวันนี้ว่างโล่ง เรือหางยาวจอดเต็มท่า อาจจะเป็นเพราะเรามาถึงบ่าย 3 โมงแล้วก็ได้ ตอนเช้าๆคนอาจจะเยอะกว่านี้ ยืนเก้ๆกังๆที่ท่าเรือร้างผู้คนสักพัก ก็มีคนเข้ามาถาม ก็ตกลงเช่าเหมาเรือออกไปนั่งชมอ่าวพังงาใน ราคา 2000 บาท ไม่แน่ใจว่าแพงมากมั๊ย แต่เป็นเรือหางยาวขนาดใหญ่นั่งได้ 10 คน

// อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา //

นั่งเรือเที่ยวโปรแกรมมาตรฐานน่ะแหละ ล่องเรือผ่านป่าชายเลน เข้าอ่าวพังงา ผ่านถ้ำลอด ซึ่งถ้าสนใจก็สามารถให้เรือแวะติดต่อคายัคพายลอดถ้ำเล่นๆได้ มีแพของอุทยานบริการอยู่ แต่เราไม่พายขอแค่ผ่านดูเฉยๆ จากนั้นก็ไป เขาตาปู จอดที่เกาะเขาพิงกัน เดินถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย แล้วไปที่เกาะปันหยี เดินเล่นตามต้องการ

ถ้ำลอด

เกาะตาปู / เขาพิงกัน

ถ้าขึ้นเกาะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้อุทยานแห่งชาติคนละ 60 บาท จะถ่ายรูปเขาตาปูได้หลายมุม แล้วเดินข้ามไปอีกฝั่งมีเขาพิงกัน ถ้าไม่ขึ้นเกาะก็ให้เรือขับวนรอบเกาะดู ก็เห็นเหมือนกัน แต่ถ่ายรูปไม่สะดวก

เกาะปันหยี

เคยมานั่งเรืออ่าวพังงาแล้วหลายครั้ง ทุกครั้งเรือทัวร์จะพามากินข้าวกลางวันที่เกาะปันหยี จำได้ว่า คนเยอะมาก นักท่องเที่ยวเดินกันคึกคักเต็มเกาะ ร้านอาหารต้องรอคิว แต่เกาะปันหยีวันนี้เงียบและเหงามาก ร้านขายของผาก ของที่ระลึกของกิน เปิดขายบางร้าน อยากจะช่วยซื้อทุกร้านเลยแต่ไม่สามารถ พวกเราเดินเที่ยวในหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ชาวบ้านยังยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยทักทาย บอกทางให้เรา ชาวบ้านบนเกาะปันหยีเป็นมุสลิม 100% พวกเราเดินไปที่สุเหร่าของเกาะกันก่อน ติดกับสุเหร่ามีที่ฝังศพที่เรียกกันว่า “กุโบร์” เป็นจุดเดียวของเกาะลอยน้ำแห่งนี้ที่เป็นพื้นดิน เดินต่อไปที่สนามฟุตบอลลอยน้ำ อันนี้เพิ่งเคยเห็น เพราะสมัยที่มาเที่ยวนั่นนานมากแล้ว เหมือนจะยังไม่มี ตอนนี้กลายเป็นจุดเช็คอินแบบต้องมาของเกาะปันหยีไปแล้ว

ร้านขายของเปิดขายอยู่บ้างแต่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เงียบเหงามากๆ อยากช่วยซื้อทุกอย่างแต่ก็ไม่มีปัญญา เดินเล่นสักพัก ซื้อน้ำพริก ลูกหยี เป็นของฝากกลับบ้าน แล้วก็กลับไปลงเรือที่ลุงคนเรือบอกรีบๆหน่อย เหมือนฝนตั้งเค้ามาแล้ว บึ่งเรือกลับถึงท่าเรียบร้อยยังไม่โดนฝน

ได้เวลาร่ำลาพังงา กลับไปสนามบินภูเก็ตเพื่อกลับบ้านแล้ว

พังงาเมืองที่เวลาหยุดเดิน แต่ละอำเภอยังคงมีวิถีชีวิตแบบเดิมๆ จะมีความใหม่เข้ามาบ้างเช่นย่านเขาหลัก ที่กลายเป็นที่พักสมัยใหม่ ร้านอาหาร ร้านกาแฟเก๋ๆเปิดเรียงราย แต่ถ้าเข้าไปในตัวเมือง บ้านเรือนยังคงเป็นแบบเดิม ผู้คนยังอยู่อาศัยใช้ชีวิตเหมือนเดิม อุตสาหกรรมเหมืองแร่ซบเซาและปิดกิจการลงไป แต่ธุรกิจอื่นๆยังคงอยู่

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

Website Built with WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: