สามสิบวันพันกิโล

Bike touring on European routes : May 2022

การท่องเที่ยวโดยการปั่นจักรยาน ที่เรียกกันว่า ทัวริ่ง (Touring) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นักปั่นจะแบกตัวและหัวใจพร้อมสัมภาระในการเดินทางรอนแรมไปในเส้นทางตามแต่กำลังกาย กำลังใจ และเวลาที่มี บางคนก็ปั่นเดี่ยว บางคนก็ปั่นคู่ บางคนไปเป็นครอบครัว บางคนไปเป็นกลุ่ม เป็นชมรม ขึ้นชื่อว่าปั่นเพื่อการท่องเที่ยว ก็ใช่ว่าจะปั่นๆจอดๆมากมาย ทัวริ่งเน้นปั่นมากกว่าจอด การเที่ยวคือเที่ยวด้วยตา ด้วยการสัมผัส ลม แดด กลิ่น บันทึกไว้ในความทรงจำ หรือบางคนติด Action cam ไปด้วยก็มี เมื่อเน้นปั่นมากกว่าจอด จักรยานที่ใช้จึงเน้นที่แข็งแรงทนทานสำหรับปั่นระยะไกลได้ แต่ก็ต้องไม่หนักจนปั่นไม่ไหว และอย่าลืมว่า ต้องมีโอกาสให้ยกขึ้นลงในที่ต่างๆ หรือต้องยกขึ้นรถทัวร์ รถไฟ ในบางครั้งที่ต้องย้ายเมืองด้วย รายละเอียดการเลือกใช้จักรยาน เราจะไม่เขียน เพราะเราไม่รู้เรื่อง ฮา…..

ไม่รู้เรื่องการปั่นแล้วมาเขียนเรื่องนี้ทำไมวะ?

เราปั่นจักรยานเป็นนะ ปั่นไปซื้อกับข้าวได้ ปั่นเที่ยวทั่วเมืองเวลาไปทริปได้ แต่ไม่ใช่นักปั่น ไม่เคยปั่นร้อยโล ไม่เคยปั่นข้ามเมือง ข้ามจังหวัด ที่มาเขียนเรื่องนี้เพราะมีเพื่อนสนิทเป็นนักปั่น และล่าสุดเธอไปปั่นเที่ยวยุโรปมา 1000 กม. เธอก็โพสต์ลงเฟซบุ๊คของเธอไปเรื่อยๆ อารมณ์เรื่องเล่าคราวเดินทาง คือปั่นไปเล่าไป กระท่อนกระแท่น แต่สนุกสนานและน่าประทับใจ จนอยากบันทึกทริปให้เธอ และให้เป็นข้อมูลสำหรับคนอยากไปปั่นถึกๆแบบเธอบ้าง

คุณเพื่อนได้คัดเลือกผู้ร่วมชะตากรรมไปด้วย 1 คน เป็นรุ่นพี่ที่ปั่นจักรยานอยู่ด้วยกันนั่นแหละ โดยคุณพี่มาโอดครวญทีหลังว่า “ตอนชวนบอกว่า ปั่นง่ายๆ ตรงไปอย่างเดียว แค่วันละ 50 km. – ความจริงคือ 60 km (มีบวกเพิ่มอย่างน้อยวันละ 5-10 km) / ทางเรียบๆ เลย – ความจริงคือ เข้ารกเข้าพงบ้าง, ทางกรวดหัวสั่นหัวคลอน, ขึ้นเนิน ลงเนิน ม้วนไปตลอดทาง” ซึ่งต่อไปเราจะเรียกว่า 2 สาวนักปั่นว่า คุณพี่และคุณเพื่อน

เส้นทางที่คุณเพื่อนเลือกเป็นเส้นทางหลักในการปั่น คือ EuroVelo 15 (Rhine Cycle Route) เส้นทางจักรยานยุโรปหมายเลข 15 หรือเส้นทางจักรยานแม่น้ำไรน์ โดยจะไปตั้งต้นที่ เนเธอร์แลนด์ ข้ามไปเยอรมัน ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ ใช้เวลา 1 เดือนเต็มๆ

ก่อนอื่นมารู้จัก EuroVelo หรือเส้นทางปั่นจักรยานยุโรปกันหน่อย

อย่างที่พอจะรู้กันว่าคนยุโรปชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งกันมากๆ ปั่นจักรยานก็เป็นหนึ่งในกิจกกรรมยอดนิยม บวกกับกระแสตื่นตัวเรื่องโลกร้อน หลายประเทศตั้งเป้าให้ประเทศลดการใช้พลังงานอย่างน้ำมันจนเหลือศูนย์ ถ้าใช้รถก็เป็นรถไฟฟ้า นอกจากนั้นก็สนับสนุนให้คนใช้จักรยานในการเดินทางทั้งระยะสั้นและระยะยาว หลายประเทศในยุโรปมีเส้นทางจักรยานอย่างดีทั่วทุกเมือง ทั้งเมืองหลวง เมืองชนบท ทางจักรยานแยกจากทางสัญจรอื่นๆชัดเจน และยุโรปยังมีเส้นทางจักรยานเชื่อมต่อถึงกันข้ามหลายประเทศ หลายเส้นทาง โดยสหพันธ์ผู้ใช้จักรยานยุโรป (European Cyclists’ Federation – ECF) เป็นแกนหลักในการแนะนำเส้นทางต่างๆ ที่หลายประเทศจับมือกัน วางเส้นทางให้เชื่อมต่อกัน มีความปลอดภัย มีจุดท่องเที่ยว มีข้อมูลแนะนำชัดเจน เช่น EuroVelo 6 – เส้นทางจักรยานยุโรปหมายเลข 6 ระหว่างทะเลดำกับมหาสมุทรแอตแลนติกที่เลียบแม่น้ำดานูบและแม่น้ำลัวร์, EuroVelo 12 – เส้นทางจักรยานยุโรปหมายเลข 12 เลียบชายฝั่งทะเลเหนือจากนอร์เวย์ มาเดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ ข้ามทะเลไปอังกฤษ เลาะฝั่งขึ้นไปสก็อตแลนด์ หรือ EuroVelo 15 – เส้นทางจักรยานยุโรปหมายเลข 15 หรือ เส้นทางจักรยานแม่น้ำไรน์ เป็นเส้นทางเลียบริมแม่น้ำไรน์ที่นักปั่นชาวเยอรมันนิยมกันมากๆ

EuroVelo 15 เป็นเส้นทางปั่นยาว 1,230 กิโลเมตร เลียบริมแม่น้ำไรน์ จาก Andermatt ในสวิตเซอร์แลนด์ ไป river’s mouth in Hook of Holland ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เส้นทางตัดผ่าน 4 ประเทศท่องเที่ยวสวยงามระดับโลกอย่างสวิตเซอร์แลนด์, ฝรั่งเศส. เยอรมัน และเนเธอร์แลนด์

พอเข้าใจกันคร่าวๆแล้วนะ ต่อไปจะเหมือนไดอารี ที่ 2 สาวนักปั่น เล่าไว้ในเฟซบุ๊ค ซึ่งเรานำมาเรียบเรียง และหาข้อมูลสถานที่ต่างๆเพิ่มเติมไปบ้าง จะได้ประโยชน์สำหรับนักปั่นหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่มันอบอุ่นหัวใจ กับบรรยากาศ กับมิตรภาพ ตามรายทาง แม้จะสื่อสารกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็เถอะ


เอากระเป๋าเสื้อผ้าใส่ในถุงสำเพ็ง แล้วเอาไป wrap ด้วยพลาสติกที่สนามบิน แล้วโหลดขึ้นเครื่องไป ส่วนจักรยานแยกชิ้นส่วนใส่กระเป๋า hard case โหลดไปด้วยกัน

1

EuroVelo 15 ที่เนเธอร์แลนด์ แดนกังหันลม

พองเครื่องบินที่ Schiphol International Airport, Amsterdam, Netherland แล้ว ก็รับของจากสายพานออกมาประกอบจักรยานและเริ่มปั่นออกจากสนามบินเลย (กระเป๋าใส่จักรยานเอาฝากไว้ที่สนามบิน มีที่รับฝาก)

Schiphol International Airport, Amsterdam – Utrecht ระยะทาง 45 กม.

“ตื่นเต้นกับการออกทริป touring พอออกจากประตูสนามบิน Schiphol ที่อัมสเตอร์ดัม ก็ปั่นจักรยานออกมา เลยถูกคุณตำรวจใจดีเรียกปรับทัศนคติข้อหาปั่นจักรยานในพื้นที่สนามบิน ตอนแรกนึกว่าคุณตำรวจจะมาช่วยบอกเส้นทางเลยรีบขอบคุณ และถามเส้นทางที่จะปั่นออกจากสนามบิน ปรากฎคุณตำรวจบอกว่าช่วยหยุดปั่นจักรยานในบริเวณหน้าสนามบินก่อน และกรุณาเข็นออกไปนะครับ”

แผนการคือ คืนเเรกนอนที่เมือง Utrecht แล้วจะขึ้นรถไฟเข้าเยอรมัน ไปเริ่มปั่นจริงจังที่เมือง Dusseldorf เพราะคุณเพื่อนหาข้อมูลแล้วว่าช่วงจากเนเธอร์แลนด์ข้ามพรมแดนไปเยอรมัน ไม่มีวิวทิวทัศน์ให้ชื่นชม แถมยังต้องผ่านนิคมอุตสาหกรรมด้วย ก็เลยขอข้ามช่วงนี้ไป ไปตั้งต้นปั่นที่ Dusseldorf เลย

2

Rhine Cycle Route ปั่นเลียบแม่น้ำไรน์ในเยอรมัน

นั่งรถไฟจากเมือง Utrecht ของเนเธอร์แลนด์เข้ามาเยอรมัน ที่ Düsseldorf แล้วเริ่มต้นการปั่นอย่างเป็นทางการที่เมือง Dusseldorf เลียบแม่น้ำไรน์ไปตามเส้นทาง EuroVelo 15

Düsseldorf – Cologne – Bonn – Linz am Rhein ระยะทางประมาณ 70 กม.

ช่วงนี้เป็นเส้นทางเลียบแม่น้ำไรน์ที่สวยมาก ตั้งแต่ออกจากเมือง Cologne (Köln) ผ่านเส้นทางป่าร่มรื่นมาก ช่วงออกจากเมือง Bonn ก็มีร้านอาหารสวยๆ ริมแม่น้ำตลอดเส้นทางจนถึงก่อนเข้าเมือง Linz am Rhein

ป้ายบอกเส้นทางจักรยาน ชัดเจนมาก

EuroVelo 15 : Linz Am Rhein-Koblenz ระยะทาง 45 กม.

ช่วงแรกปั่นเลียบแม่น้ำไรน์มาทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ เพื่อเลี่ยงเขตโรงงานอุตสาหกรรม จะเป็นเส้นทางผ่านไร่องุ่น จนถึงเมือง Neuwied แล้วข้ามสะพานมาปั่นด้านขวาของแม่น้ำไรน์ จนถึงเมือง Koblenz แล้วขึ้นรถไฟต่อไปเมือง Mannheim ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

การขึ้นรถไฟต้องซื้อตั๋วผู้โดยสารและตั๋วจักรยาน จะกำหนดตู้จักรยานพร้อมเลขที่สำหรับแขวนจักรยาน ส่วนผู้โดยสารไม่มีเลขที่นั่งกำหนด สามารถนั่งที่ไหนก็ได้ในตู้ที่ใส่จักรยาน

รถไฟระหว่างเมือง ในขบวนจะมีโบกี้สำหรับจักรยานประมาณ 2 ตู้

“ปั่นไปหยุดไป แบกสิ่งของสัมภาระสำหรับการเดินทาง 1 เดือน ประมาณ 20 กิโลกรัม และต้องมีอาหารและเครื่องดื่มตุนไว้ด้วยตลอด

ตั้งแต่เริ่มปั่นได้เจอผู้คนที่น่ารักให้การช่วยเหลือตลอด ช่วยยกจักรยานขึ้นสถานีรถไฟ ช่วยซ่อมจักรยานถ้าเห็นเราจอดอยู่ข้างทางจะถามทันทีว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ยิ่งเวลาผ่านเมืองเล็กๆ ในเยอรมันแล้วต้องหาที่พัก ทุกคนให้ความช่วยเหลือดีมาก โทรหาโรงแรมในหมู่บ้านให้ รวมทั้งพยายามหาโรงแรมข้ามหมู่บ้านให้อีก ประทับใจมากๆ มีหนึ่งวันที่นับจำนวนคนที่ให้ความช่วยเหลือได้ถึง 20 คน”

#myhappiness

Local route : Mannheim-Heidelberg ระยะทาง 24 กม.

ช่วงนี้ใช้เส้นทาง local ยาวตลอดจนถึง Heidelberg ตอนนี้เส้นทางที่ดีที่สุดไม่ได้ดูจาก Komoot หรือ Google map แต่เป็นเส้นทางที่คุยกับคนท้องถิ่น ได้พบเส้นทางปั่นผ่านเมืองเล็กๆ ที่สวยงาม

เส้นนี้แนะนำสำหรับคนที่อยากมาปั่นในเส้น Rhine Cycle Route เพราะะเป้นเส้นทางที่สวย แล้วมาพักใน Heidelberg แบบ 2 สาวก็ได้ เพราะสองสาวมานอนอยู่ 2 คืนเพื่อพักขา และถือโอกาสเที่ยว Heidelberg ด้วย จากนั้นจะปั่นต่อยาวจนถึงชายแดนฝรั่งเศสเลย

Heidelberg เมืองที่มีชื่อเสียงว่าโรแมนติคที่สุดในเยอรมัน

Heidelberg from Philosophers’ way

Philosophers’ Way (Philosophenweg) เป็นทางลัดเลาะไปตามไหล่เขาฝั่งตรงข้ามกับปราสาท เป็นทั้งทางเดินและทางปั่น เดินขึ้นเนินพอเหนื่อย ปั่นจักรยานพอขาตึง แต่มีวิว Old town Heidelberg กับแม่น้ำ Necker ให้ชื่นชม ว่ากันว่าเป็นเส้นทางเก่าแก่แต่โบราณ ที่นักคิด นักเขียน กวี ผู้รู้ทั้งหลาย ต่างมาเดินเพื่อหาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรผลงาน และได้ใช้เวลาพูดคุยกันระหว่างศิลปิน

“คนเยอรมันใจดีมาก เห็นเรานั่งพักริมทางจะแวะถาม are you ok?

ปั่นเส้นทางเล็กๆ ตอนเช้าคนท้องถิ่นออกมาปั่นกันเยอะมาก ได้ทักทายกันตลอดเส้นทาง”

Local route : Heidelberg-Speyer-Germenshime-Karlshue ระยะทาง 82 KM

เนื่องจากเเวะไปเที่ยวและหยุดพักขากันที่ Heidelberg ทำให้เส้นทางฉีกออกมาจาก EuroVelo 15 เล็กน้อย ถ้าจะย้อนกลับเข้าเส้น EV 15 เพื่อไป Karlshue ระยะทางจะยาวกว่าเส้นท้องถิ่นอีก 15 กม. เลยตัดสินใจใช้เส้นทางท้องถิ่นผ่านเมืองเล็กๆ ผ่านแปลงปลูกพืชผัก ปั่นชื่นชมธรรมชาติ แม้จะเป็นเส้นทางท้องถิ่นแต่ป้ายบอกทางและระยะทางยังชัดเจน มีงงบ้างหลงบ้าง ก็อาศัยถามคนที่ปั่นผ่านมา แต่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะฟังสำเนียงกันไม่ออกเลย

จาก Heidelberg มุ่งไปทางเมือง Karlshue เป็นเมืองสุดท้ายในเยอรมันก่อนจะเข้าฝรั่งเศส แล้วค่อยย้อนกลับมาเยอรมันเข้า Black Forrest (แผนที่คิดไว้ตอนแรก แต่สุดท้ายแผนเปลี่ยนไปเล็กน้อยตามสถานการณ์และสถานภาพ)

3

บองชูวร์ สู่ถนนสายไวน์

Germany | Karlshue > Appenweier > Strasbourg | France

จากเมือง Karlshue ในเยอรมันนั่งรถไฟข้ามไปฝรั่งเศส ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โชคดีที่ออกเดินทางเช้าตู้รถไฟสำหรับจักรยานยังมีพื้นที่พอสมควร ต้องไปต่อรถไฟที่สถานี Appenweier แล้วขึ้นรถไฟท้องถิ่นเข้าเมือง Strasbourg เป็นรถไฟที่มีแค่ 2 ตู้ ช่วงเช้าค่อนข้างแน่น ไม่มีตู้เฉพาะจักรยาน

ช่วงนี้เป็นฤดู white asparagus เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นต้น white asparagus ปั่นผ่านไร่ Asparagus ที่คลุมพลาสติกสีขาวคือแปลง White asparagus อยู่ใกล้ๆ เมือง Strasbourg

EuroVelo 5 | Alsace wine route : Strasbourg-Selestat-Colmar-Equishiem ระยะทาง 80 กม.
(นั่งรถไฟท้องถิ่น Alsace train ช่วง selestat-colmar 20 กม.)

Alsace wine route จาก Strasbourg ไป Colmar ในฝรั่งเศส เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง EuroVelo 5 ที่เป็นเส้นทางยาวจากอังกฤษ ข้ามมาฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ลักซ์เซมเบิร์ก สวิสเซอร์แลนด์ และอิตาลี

ถนนสายไวน์ในแคว้นอัลซาส (Alsace Wine Route) ระยะทางประมาณ 170 กม. ผ่านหมู่บ้านเล็กๆในยุคกลางกว่า 120 หมู่บ้าน และยังมีไร่ไวน์กว่าหนึ่งพันแห่ง ถือเป็นเส้นทางปลูกองุ่นเพื่อผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศส เริ่มต้นจาก Strasbourg – Colmar ไปสิ้นสุดเส้นทางที่ Mulhouse

หาข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.wineroute.alsace/

EuroVelo 5 ช่วงนี้เป็นเส้นทางผ่านไร่องุ่นในเมืองต่างๆ ในแคว้น Alsace ขึ้นลงเนินเหนื่อยพอสมควร ไปพักที่เมือง Equishiem ห่างจาก Colmar ประมาณ 7 กม.

“ช่วงสุดท้ายตัดสินใจขึ้นรถไฟสาย Alsace จากเมือง Selestat ไป Colmar เป็นรถไฟเหมือนรถไฟของไทย มีบันไดสามขั้น ยกจักรยานพร้อมสัมภาระทั้งหมดขึ้นทุลักทุเลพอสมควร แต่ก็ได้คนฝรั่งเศสใจดีมายกจักรยานให้ทั้งขาขึ้นและขาลง มีคุณป้าคนหนึ่งน่ารักมากพุ่งเข้ามาช่วยยกจักรยานตอนขาลงรถไฟ ประทับใจมากๆ”

EuroVelo 5 ใน Alsace เริ่มจาก Eguisheim-Colmar-Riquewihr-Eguisheim ระยะทาง 50 กม. ตอนเริ่มปั่นคิดว่าจะเป็นเส้นทางปั่นสบายๆ ชมไร่ไวน์ไปเรื่อยๆ ปรากฎว่าเหนื่อยมาก หมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่บนเส้น EuroVelo 5 อยู่บนเนินเขาตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะเมือง Riquewihr

“จองบ้านพักในเมือง Eguisheim เส้น EuroVelo 5 ผ่านหน้าบ้านเลย เจ้าของบ้านชื่อ Elizabeth น่ารักมาก แนะนำร้านอาหารอร่อยและโทรไปจองให้เรียบร้อย ไปถึงเจ้าของร้านต้อนรับอย่างดี ทักทายภาษาไทย บอกว่าเคยไปเที่ยวเมืองไทยมาหลายครั้งแล้ว”

4

จากฝรั่งเศสกลับเข้าเยอรมันกันอีกรอบ

France | EguisheimFreiburg Im Breisgau | Germany

ตัดจากฝรั่งเศสกลับเข้าเยอรมันอีกครั้ง ไม่ได้เจอแม่น้ำไรน์มาหลายวันแล้ว วันนี้ข้ามกลับมาฝั่งเยอรมัน มุ่งหน้าไปเมือง Freiburg Im Breisgau

สัปดาห์นี้เป็นวันหยุดยาวของประเทศในยุโรปและโรงเรียนปิดเทอม หาที่พักยากมาก ปกติจะจองที่พักวันต่อวัน โชคดีคืนนี้ได้นอนที่ DJH Jugendherberge เป็น hostel chain ในเยอรมัน ราคาหัวละ 40 ยูโร ที่พักสะอาดและอยู่ติดเส้นทางเดินเทรลเลย มีที่เก็บจักรยานให้ และ buffet อาหารเช้าเหมือนอยู่ dorm

500 km done in Freiburg and 500 km more to go!!!

Freiburg Im Breisgau เป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของ Black Forest เป็นเมืองที่สวยและมีกิจกรรมให้ทำค่อนข้างเยอะ คนเยอรมันที่มาเที่ยวพักผ่อนที่เมืองนี้ส่วนใหญ่จะมีจักรยานมาด้วย มีเส้นทางจักรยานหลายเส้นเชื่อมระหว่างเมืองเล็กๆรอบ Freiburg Im Breisgau ใครชอบธรรมชาติมี trail ให้เดินหลายเส้นทาง โดยเฉพาะตามริมฝั่งแม่น้ำ Dreisam ยาวเกือบ 30 กม.

Highlight ของเมือง คือตลาดที่หน้า Cathedral อยู่ใจกลางเมือง คึกคักมาก เปิดช่วงเช้าถึงเที่ยง หยุดวันอาทิตย์

วันพักปั่นในเมือง Freiburg Im Breisgau ไปเดินเทรลเลียบแม่น้ำ Dreisam หาที่นั่งชื่นชมธรรมชาติ ปิคนิค พักขา การพักผ่อนคงทำให้คุณเพื่อนและคุณพี่คิดเปลี่ยนแผนการเดินทาง พรุ่งนี้จะไม่ตัดผ่าน Black Forest แต่จะลงไปสวิสเซอร์แลนด์ แล้วไปปั่นเลียบแม่น้ำไรน์ เส้นทางราบกว่า ไม่ทรมานกล้ามเนื้อ

5

ปั่นไต่พรมแดน เดี๋ยวเยอรมัน เดี๋ยวสวิต

Local route : Freiburg Im Breisgau-LorrachBasel

จาก Freiburg ตัดสินใจตัดลงไป Basel ในสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อไปเข้า EuroVelo 15 ตาม Komoot map ใช้เส้น local ลงมาถึงเมือง Lorrach ห่างจาก Basel ประมาณ 10 กม แล้วค่อยตัดเข้า EuroVelo 15 ไปจนสุดที่ Lake Constance

ระหว่างทางก่อนถึง Lorrach แวะซื้อสตรอเบอรี่และ White asparagus ที่มาตั้งซุ้มขายริมทาง ช่วงเย็นมีเพื่อนขับรถมารับพาเข้าไปเที่ยวใน Basel

ได้เที่ยว Basel แล้วก็จะปั่นออกจาก Basel แต่ปั่นมาได้ประมาณ 16 กม. ก็เกิดปัญหากับ rack หลังของจักรยานคุณพี่ ตัวน็อตที่ยึดหัก วันนี้วันอาทิตย์ร้านซ่อมจักรยานปิดหมด ตัดสินใจขอตัวช่วยรถ Service คือเพื่อนที่พาเที่ยว Basel นั่นเอง พอโทรไปเพื่อนกับสามีก็บึ่งรถมาทันที เอารถจักรยานขึ้นท้ายรถ ขับพาไปเที่ยวสะพานไม้เก่าแก่ ที่เมือง Bad Sackingen และน้ำตก Rheinfall ที่เมือง Schaffhausen แล้วพาไปส่งที่เมือง Gailingen

แม้จะไม่ได้ปั่น แต่ก็ยังไปตามเส้น EuroVelo 15 ไปเมือง Bad Säckingen เพื่อชมสะพานไม้เก่าแก่ที่ยาวที่สุดในยุโรป ข้ามแม่น้ำไรน์เชื่อมระหว่างเยอรมันกับสวิส และโบสถ์ของเมือง Bad Säckingen ที่สวยงามมาก โดยเฉพาะภาพวาดบนเพดาน

สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในยุโรป เมือง Bad Säckingen เชื่อมฝั่งเยอรมันและสวิต

แม่น้ำ Rhein ฝั่งสวิสเซอร์แลนด์

เส้นทางวันนี้เลาะเลียบชายแดนสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมัน เดี๋ยวอยู่เขตเยอรมัน เดี๋ยวก็อยู่สวิต Basel – Bad Säckingen – Gailingen แต่เป็นเส้นทางที่ไม่ได้ปั่น มีคนขับรถพาเที่ยว

6

มาถึงช่วงสุดท้ายของ EuroVelo 15 จนได้

นั่งรถเพื่อนเที่ยวและมาส่งให้นอนกันที่เมือง Gailingen ห่างจาก Stein am Rhein 7 กม. เพราะค่าที่พักถูกกว่าเข้าไปนอนแถว Lake Constance หาร้านซ่อมจักรยานแล้วค่อยปั่นออกไปตามแผนเดิม

EuroVelo 15 / EuroVelo 6 : Gailingen-Stein am Rhein-Konstanz

“เมื่อเราหาร้านจักรยานไม่ได้ เราก็ตัดสินใจเอาจักรยานเข้าซ่อมที่อู่ซ่อมรถ เจ้าของอู่น่ารักที่สุด คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ช่วยซ่อมให้เสร็จภายใน 1 นาที หน้าตาใจดีมากๆ ขอบคุณกันไปหลายครั้งมาก
แค่นี้ก็ทำให้ทริปของเราเกินสมบูรณ์แบบแล้ว ออกเดินทางกันต่อ”

Lake Constance หรือ Bodensee เป็นจุดหมายสุดท้ายของทริปในเส้นทาง EuroVelo 15 ซึ่งเส้นทางปั่นเข้า Lake Constance จาก Basel จะทับกับ EuroVelo 6 เป็นบางช่วง

ปั่นเที่ยวไปหมู่บ้านเล็กๆ แถวๆ Lake

เส้นทางรอบ Lake Constance เป็นเส้นทางที่แนะนำสำหรับทริป 5-7 วัน มีร้านจักรยานจัดทริปให้หลายแห่ง ปั่นรอบ Lake ประมาณ 400 กม. มีเมืองเล็กๆ ให้แวะเที่ยวรอบ Lake

จบทริปตามเส้นทาง EuroVelo 15 ที่เมือง Konstanz จุดสิ้นสุด EuroVelo 15 ในประเทศเยอรมัน ปั่นไปรวม 690 กม.

จากนี้จะหยุดพัก 4 วัน เส้นทางต่อไปคือ Romantic route จาก Fussen ถึง Wurzburg

7

สองสาวสวยบนเส้นทางสายโรแมนติค

Romantic route : Fussen-Augsburg-Rothenburg on der Tauber-Wurzburg

เส้นทางปั่น Romantic route (Romantische Straße) ในประเทศเยอรมัน เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่สวยงาม ยาวประมาณ 460 กม. ส่วนใหญ่นักปั่นหรือทัวร์ที่จัดปั่นจักรยาน จะเริ่มจากทิศเหนือลงทิศใต้ จากเมือง Wurzburg ถึง Fussen เข้าใจว่าหลังจากทริปปั่นแล้วจะได้ไปเที่ยว Fussen ต่อ แต่ทริปของคุณเพื่อนและคุณพี่จะปั่นสวนทางคนทั่วไป จากทิศใต้ขึ้นเหนือ โดยเริ่มจาก Fussen ไปจบที่ Wurzburg เพราะต้องกลับไปที่เนเธอร์แลนด์เพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯอยู่แล้ว พอปั่นจบที่ Wurzburg ก็ต่อรถไฟเข้าเนเธอร์แลนด์สะดวกมาก

ตลอดเส้นทาง Romantic route มีเมืองเล็กๆ หลายเมืองที่น่าเที่ยว เลยวางแผนปั่นกันวันละ 40-50 กิโลเมตร สบายๆ ไม่เร่งรีบ แวะเที่ยวไปตลอดทาง

Fussen เมืองต้นทาง/ปลายทางในเส้นทาง Romantic route ของแคว้น Bavaria เป็นอีกเมืองที่แนะนำสำหรับทริปปั่นจักรยาน 5-7 วัน มี bike route network รอบเมืองดีมาก และมีเส้นทางเดินเทรลที่เชื่อมต่อกันระหว่างเมืองรอบๆ Fussen เส้นทางรอบทะเลสาบ Forggensee ก็สวย ระยะประมาณ 40 กิโลเมตร เห็นวิวเทือกเขา Alp รอบเมือง

แม่น้ำ Lech ไหลผ่านเมือง Fussen สีฟ้าสวยมากๆ

แนะนำให้พักที่เมือง Schwangau ห่างจาก Fussen ประมาณ 6 กิโลเมตร ปั่นจักรยานไปทางขึ้น Neuschwanstein castle ประมาณ 2-3 กิโลเมตร

Romantic route : Schwangau-Landsberg am Lech ระยะทาง 34 กม.

Landsberg am Lech เป็นเมืองไม่ใหญ่มาก เดินรอบเมืองเก่าได้สบาย มีแม่น้ำ Lech ไหลผ่านเมือง

Romantic route : Landsberg am Lech-Augsburg ระยะทาง 50 กม.

ปั่นเลียบแม่น้ำ Lech ไปเรื่อยๆ ตามเส้น Romantic route ผ่านป่าสวย สงบมาก ช่วงก่อนเข้าตัวเมือง Augsburg จะผ่าน Augsburg Eiskanal เป็นที่แข่งเรือคานู ซึ่งเริ่มใช้เป็นสนามแข่งครั้งแรกใน Summer Olympic ปี 1972 และ Water Management System of Augsburg ที่ได้ขึ้นทะเบียน UNESCO world heritage site และปัจจุบันยังใช้ระบบที่ได้วางไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 อยู่

Augsburg เป็นเมืองใหญ่มาก พอเข้าเมืองใหญ่ก็เลยงงกับทางจักรยาน ถนนรถยนต์ และเส้นทางรถ tram คงเพราะคุ้นเคยกับทุ่งนา ป่าและเมืองเล็กๆ พอหลุดออกจากป่าเข้าเมือง ก็เลยปั่นผิดเลน ถ้าอยู่นอกเมือง เลนจักรยานจะเป็นเลนที่สวนกันได้ แต่ถ้าอยู่ในเมืองใหญ่ต้องไปตามเลนจักรยานที่เลียบไปกับถนน

เมือง Augsburg คนปั่นจักรยานเยอะมาก ตัดสินใจเก็บจักรยานในโรงแรมและเดินเที่ยวในเมือง

ตอนเช้าปั่นออกนอกเมืองลองใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำ Lech ไปประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นเส้นทาง Romantic route แต่ไม่ได้เป็นเส้นทางจักรยานที่เป็นถนนลาดยาง เลยตัดสินใจออกมาปั่นตามเส้น D 9 ซึ่งเป็น Romantic route อีกเส้นและเป็นถนนลาดยางตลอดจนเข้าเมือง Donauworth

“ปั่นออกจากเมือง Augsburg ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ พยายามจะหาเส้นทางเองโดยไม่ไปตาม Komoot app พอถึงทางแยกจะออกจากเมือง เลยหยุดดู map กัน เจอคุณป้าปั่นผ่านมาถามด้วยภาษาเยอรมัน เดาว่า where are you going? เลยบอกชื่อเมืองที่กำลังจะไป
คุณป้าเลยบอกว่าปั่นตามมา เดี๋ยวจะไปส่ง (อันนี้เดาเอา) เราเลยปั่นตามคุณป้าไปจนถึงทางที่เราต้องไป แล้วคุณป้าก็แยกไปอีกทางหนึ่ง ก่อนแยกกันต้องขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เราเจอคนดีๆ ตลอดการเดินทาง ขอบคุณคุณป้าผู้ใจดี ทำให้วันนี้เราปั่นกันอย่างมีความสุข”

Donauworth เป็นเมืองเล็กๆ นักปั่นส่วนใหญ่จะไม่ค่อยแวะพักค้างคืน ถ้าขึ้นทางเหนือส่วนใหญ่จะผ่านไปพักที่ Nordlingen ช่วงเย็นในตัว old town Donauworth คึกคักมาก ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นที่ออกมาสังสรรค์กัน

เมือง Donauworth เป็นเมืองที่แม่น้ำดานูบไหลผ่าน มาเชื่อมต่อกับแม่น้ำ Wornitz

Romantic route : Donauworth-Nordlingen-Dinkelbuhl ระยะทาง 70 กิโลเมตร

ถ้าใครจะมาเส้น Romantic route แนะนำให้พักเมือง Dinkelbuhl เป็นเมืองที่สวยเรียบๆ มีตึกเก่าที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ได้อย่างสวยงาม

ประตูเมือง Dinkelbuhl ยังสมบูรณ์อยู่

กลุ่มอาคารเก่าแก่ในเมือง ที่สร้างมาตั้งแต่ปี คศ.1440 แต่สีสันยังสดใสมาก คงปรับปรุงทาสีตลอดเวลา

Romantic route : Dinkelbuhl-Rothenburg on der Tauber-Wurzburg

จาก Dinkelbuhl ปั่นต่อไป Rothenburg on der Tauber เมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในถนนเส้นนี้ เพื่อตรงเข้าเมือง Wurzburg ที่เป็นจุดหมายปลายทาง

Rothenburg ob der Tauber เป็นเมืองที่ชอบที่สุดรองมาจาก Fussen ในเส้นทาง Romantic route

“What you see when you take local route”

Wurzburg เป็นเมืองใหญ่บนเส้นทางสายโรแมนติค ช่วงก่อนเข้าเมืองประมาณ 20 กิโลเมตรจะมีถนนเลียบแม่น้ำ Main (ไหลไปบรรจบแม่น้ำ Rhine ทางฝั่งตะวันตก) ผ่านสวนสาธารณะร่มรื่นมาก ตลอดทางจะเห็นคนออกมาปั่นและเดิน

จบทริปเส้นทาง Romantic route ปั่นจาก Fussen จบที่ Wurzburg ระยะทาง 380 กิโลเมตร ใช้เวลา 8 วัน เส้นทางที่ชอบที่สุดจะมี 2 ช่วง คือ ออกจากเมือง Fussen ไปเมือง Schongau และช่วงจาก Rothenburg on der Tauber เข้าเมือง Wurzburg

ตัดหลายเมืองที่อยู่บน Romantic route เนื่องจากเส้นทางจักรยานบางช่วงจะอ้อมมากเกินไป วันหนึ่งต้องปั่นเกิน 80 กิโลเมตร ต้องวางแผนดีๆ เรื่องระยะทางและที่พัก แนะนำให้พักเมืองเล็กๆ เช่น Donauworth และ Dinkelbuhl ใช้เวลาเดินเที่ยวรอบเมืองเก่า เมืองใหญ่อย่าง Augsburg และ Wurzburg ควรหาที่พักรอบนอกเมือง

ตามแผนที่จักรยานเส้น Romantic route คือเส้น D 9 และช่วงจะเข้าเมือง Wurzburg จะมีทับกับเส้น EuroVelo 4 ถ้ามีเวลาปั่นต่อจาก Wurzburg ตามเส้น EV 4 เข้าสาธารณรัฐเช็ค ผ่าน Karlovy Vary และเข้าปราก ก็เป็นอีกเส้นที่น่าสนใจหลายช่วงเราต้องหลบเส้นปั่น Romantic route เพราะเป็นถนนที่ไม่ได้ลาดยาง Komoot app จะเลือกเส้นทางที่เป็นถนนจักรยานที่ลาดยางให้ส่วนใหญ่

หลายช่วงต้องหลบเส้นปั่น Romantic route เพราะเป็นถนนที่ไม่ได้ลาดยาง ต้องใช้ Komoot app ที่จะเลือกเส้นทางที่เป็นถนนจักรยานที่ลาดยางให้เป็นส่วนใหญ่


8

เหมือนจะจบแต่ไม่ยอมจบ

จบทริปแล้วนั่งรถไฟกลับเข้าเนเธอร์แลนด์ที่เมือง Utrecht ยังมีเวลาเหลืออีก 2 วัน ก็เลยหาเรื่องปั่นเที่ยวในเนเธอร์แลนด์ไปอีก 100 กม. เส้นที่เลือกปั่นคือ Utrecht-Guoda-Haarlem-Amsterdam

ปั่นในเนเธอร์แลนด์แทบไม่ต้องดู map แบบละเอียดเลย จับทิศให้ถูกเจอถนนจักรยานปั่นไปได้เลย ถนนแต่ละเส้นจะเชื่อมกันหมด เรียกว่า Fietsroute network ตรงไหนมีคลองจะมีถนนจักรยานปั่นเลียบไป ระหว่างทางได้ชื่นชมบ้านสวยๆ ริมคลอง

เมือง Gouda

วันสุดท้าย นั่งรถไฟเข้าอัมสเตอร์ดัมไปเดินเล่น Window shopping ก่อนไป Schiphol International Airport ขึ้นเครื่องกลับบ้านกัน

Window Shopping

จบจริงๆล่ะ รวมระยะทางทั้งหมดที่ปั่นไปคือ 1300 กม.!!!


Bike Touring Tips

สุดท้ายและท้ายสุด เป็นคำแนะนำเล็กๆน้อยๆจากประสบการณ์ Bike Touring ในยุโรปครั้งนี้

The best plan is no fixed plans – Flexibility and Mininalist is my plan

การเดินทางคือการเรียนรู้ รู้จักตัวเองและรู้จักโลกมากขึ้น

เส้นทางปั่น

“The best plan is no fixed plan” วางแผนไว้คร่าวๆ จะเริ่มจากจุดไหนและจะจบที่ไหน เพราะต้องจองตั๋วเครื่องบินและขอวีซ่า เส้นทางที่เหลือวางแผนแบบมีความยืดหยุ่นพอสมควร ถ้าบางเมืองที่ปั่นผ่านมีที่เที่ยวน่าสนใจ ก็เปลี่ยนแผนจากพัก 1 คืนเป็น 2 คืน หรือเจออากาศไม่ดีก็ต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางเป็นขึ้นรถไฟหรือรถบัส ต้องมี flexibility มาก และต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ อย่างเช่นแถว Lake Constance แนะนำให้พักที่เดียว 2-3 วัน แล้วปั่นไปเมืองต่างๆ รอบ Lake

Application ที่มีประโยชน์

Komoot คือ app สำหรับเส้นทางจักรยานที่ดีที่สุด มีค่าสมาชิกรายปี ถ้ามีแผนจะปั่นยาวแนะนำให้สมัคร premium ใช้งานง่ายมาก เป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีที่สุด หาโรงแรม หาร้านอาหาร หาร้านซ่อมจักรยาน มีขึ้นมาให้หมดในเส้นทางที่วางแผน

เส้นทางจักรยานยุโรป | EuroVelo

ป้ายบอกเส้นทางของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ยังชอบป้ายเส้นทางจักรยานในเนเธอร์แลนด์ ตลอดทริปใช้ KOMOOT คู่ไปกับการดูป้าย EuroVelo ช่วงที่ยากคือการเลือกเส้นทาง EuroVelo ที่ขนานแม่น้ำไรน์ ต้องดูละเอียดถ้าปั่นเข้าใกล้เมืองใหญ่ให้เลี่ยงปั่นผ่านเส้นทางที่เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม บางช่วงที่เข้าเมืองมีเส้นทางให้เลือก 3-4 เส้นทาง มีหลงบ้าง แต่ KOMOOT จะพากลับมาเส้นทางที่เหมาะที่สุด บางช่วงอาจต้องออกถนนใหญ่ แต่ส่วนใหญ่จะมีเลนจักรยานคู่ขนานกับถนนใหญ่ ให้สังเกตป้ายจักรยานไว้ตลอด

สภาพถนนจักรยาน

ใน app KOMOOT เราสามารถเลือก mode ว่าเป็นการปั่นจักรยานรูปแบบไหน เสือภูเขา Road bike หรือ Bike touring เส้นทางที่ KOMOOT เลือกให้ก็จะแตกต่างไปตามประเภทของจักรยาน ยังมีเส้นทางของ EuroVelo ที่ยังเป็นถนนกรวด ต้องเช็ครายละเอียดใน KOMOOT ว่าเส้นทางที่เราเลือกมีถนนแบบไหนบ้าง จะมีรายละเอียดให้หมด

ที่พัก

จากประสบการณ์ปั่น Bike Touring เคยจองที่พักไว้ตลอดทริป จะมีความเครียดถ้าวันไหนเราปั่นไม่ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ หรือบางครั้งเจอเมืองที่น่าพัก แต่เราต้องผ่านไปเพราะจองโรงแรมไว้แล้ว ทุกครั้งที่ได้เจอพูดคุยกับคนต่างชาติที่ปั่น Bike Touring จะได้ข้อมูลว่าไม่ต้องจองที่พักล่วงหน้า ทริปนี้เราจองที่พักมาแค่คืนแรกคืนเดียว วันถัดมาก็เจอความท้าทายเลย เพราะโรงแรมในเมืองที่เราตั้งใจจะไปพักเต็มทุกแห่ง ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ได้รับความช่วยเหลือจากคนที่พบเจอมากมาย วันต่อมาเราต้องวางแผนกันใหม่จองที่พักกันล่วงหน้า 3-4 วัน ลดความเครียดไปได้พอสมควร last minute decision คือ นั่งรถไฟไปเมืองใหญ่ก่อนและรอบสถานีรถไฟจะมีโรงแรมหลายแห่ง

พักโรงแรมหรือ Airbnb ดีกว่า?

ขึ้นกับงบการเดินทางและความชอบ ทริปนี้เราพักสลับกันระหว่างโรงแรมและ Airbnb ข้อดีของการพักโรงแรมในเมืองใหญ่คือใกล้แหล่งท่องเที่ยวและใกล้สถานีรถไฟ ส่วน Airbnb ข้อดีคือสามารถทำกับข้าวและซักผ้าได้ ในทริปนี้พัก Airbnb เจอ Host น่ารักทุกคน และสภาพที่พักดีมากตรงตามรูปใน app Airbnb ทุกที่มีที่จอดจักรยานให้ สำหรับโรงแรมจอดได้ในที่จอดรถโรงแรม บางแห่งก็ให้เก็บจักรยานในห้องเก็บกระเป๋า

เสื้อผ้าและของเครื่องใช้

สำหรับผู้หญิงจะจัดยากกว่าผู้ชายแน่นอน คำว่า Minimalist สำคัญที่สุด สุดท้ายเสื้อผ้าปั่นจักรยานกับชุดเที่ยวเป็นชุดเดียวกัน รองเท้าควรมีสำรองไว้ 1 คู่ เดินทางไปได้ 1 สัปดาห์ก็จะรู้ว่าอะไรที่เกินความจำเป็น

อุปกรณ์จักรยาน

ควรมีอุปกรณ์พื้นฐาน ยางใน น้ำมันโซ่ ติดมาด้วย และถ้ามีปั๊มลมไฟฟ้าด้วยจะดีมาก ทุกโรงแรมมีที่ปั๊มลมให้ และระหว่างทางจะเห็น Station ใส่อุปกรณ์ซ่อมจักรยานและปั๊มลมให้บริการฟรี ร้านจักรยานมีเฉพาะเมืองใหญ่ และค่อนข้างหายาก ร้านค้าในยุโรปจะปิดวันอาทิตย์และวันจันทร์ บางแห่งก็เปิดแค่ครึ่งวันบ่าย แตกต่างกันในแต่ละประเทศ

การจอดจักรยาน

ยังไงก็ lock ไว้ก่อน ถ้าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่สามารถปั่นจักรยานเข้าไปได้ ควรจูงเข้าไปด้วย เรามากันสองคนถือว่าเป็นข้อดีผลัดกันเฝ้าจักรยาน กลางคืนจอดในที่จอดรถของโรงแรมก็ lock ไว้ ที่พัก Airbnb บางแห่งก็ให้เอามาเก็บในบ้านหรืออพาร์ตเมนต์ได้

การเดินทางโดยรถไฟ

ระหว่างเส้นทางสามารถหารถไฟได้สะดวกสบาย ต้องเลือกขบวนที่สามารถนำจักรยานขึ้นได้ และต้องซื้อตั๋วคนและจักรยาน เพื่อความแน่ใจเรื่องเส้นทางและตารางเวลาสามารถเดินเข้าไปใน Information center ได้ทุกสถานี จะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำและอธิบายรายละเอียดของตารางเวลา โดยเฉพาะถ้ามีการไปต่อรถไฟ เจ้าหน้าที่จะวงให้ในตั๋วเลย ทุกสถานีจะมีลิฟต์ขึ้นไปที่ชานชาลา ยกเว้นสถานีในเมืองเล็กๆ อาจจะต้องหาป้ายชานชาลาดีๆ เพราะต้องปั่นออกไปจากสถานีและปั่นย้อนกลับมาขึ้นชานชาลา มีโอกาสที่รถไฟ delay ถ้ามีขบวนที่จะขึ้นต่อต้องเผื่อเวลาพอสมควร ถ้าพลาดไปก็สามารถขึ้นเที่ยวถัดมาได้

ยิ้มให้ทุกคน คุยกับเพื่อนร่วมทาง จะได้ข้อมูลดีๆ และมีความสุขกับการเดินทางในทุกวัน และพร้อมเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

เพื่อนร่วมทางคือหัวใจสำคัญของการเดินทาง มีคนช่วยกันคิด ช่วยกันหาโรงแรม หาเรื่องหัวเราะกันให้ได้ทุกวัน ตีกันบ้างแต่ก็กลายเป็นเรื่องที่มานั่งหัวเราะกันในวันถัดไป

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

Website Built with WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: