ที่นี่…ลพบุรี ที่นี่มีลิง

ตั้งแต่จำความได้ก็ได้ยินชื่อเสียงเรื่องเมืองลพบุรีเป็นเมืองลิง เคยไปพระปรางค์สามยอดมาหลายครั้ง จำได้ว่าลิงเยอะมาก ไม่รู้ว่ามาจากไหน ปีนป่ายกันเต็มปราสาท ตรงศาลพระกาฬก็มีลิงเต็มไปหมด รวมทั้งตึกแถวที่เป็นร้านค้าเป็นที่อยู่อาศัยแถบนั้นก็มีเจ้าลิงจ๋อปีนป่ายเต็มไปหมด นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราอาจดูตื่นตาตื่นใจ แต่คนที่อยู่อาศัยที่นั่นเขาคงได้แต่ท้อใจ

ชาวเมืองลพบุรีบ่นกันมานานแล้วว่า ทนลิงไม่ไหวแล้ว(โว้ยยยย) ลิงมันเยอะ มันสกปรก มันดุร้าย ปัญหาที่เกิดก็เป็นเพราะเจ้าพวกนี้เป็นลิงเมือง เกิดมาก็อยู่ในเมืองแล้ว ไม่ได้อยู่ในป่าที่หาอาหารกินได้ ดังนั้นก็ต้องฉกชิงวิ่งราวเอากับมนุษย์ ทั้งชาวบ้านทั้งนักท่องเที่ยวโดนลิงกระโดดเข้ามาแย่งของกินและของอื่นๆ (แย่งไว้ก่อนกินได้หรือไม่ได้เอาไปแทะดู) หนักเข้าก็บุกบ้านรื้อค้นกัดแทะประตูหน้าต่าง แม้แต่รถที่จอดติดไฟแดงเจ้าจ๋อก็ปีนมาไต่รอบคันเพื่อหาของกิน ปัญหาเรื้อรังจนชาวบ้านรอบๆบริเวณทนกันไม่ไหวก็ย้ายหนีกันไปหมด จากย่านการค้าคึกคักกลายเป็นตึกร้างไปหมด หน่วยงานท้องถิ่นพยายามหาแนวทางหลายอย่างเพื่อให้ลิงและคนอยู่ร่วมกันได้ แต่ก็ไม่เห็นผลอะไรมากนัก จนข่าวล่าสุดตอนต้อนปี 2567 เห็นพาดหัวข่าว “วันแยกย้าย “ลิง-คน” จับย้ายบ้าน ก่อนลพบุรีเป็นเมืองร้าง” ต้องไปดูกันหน่อยว่าจับลิงออกไปแล้ว ลพบุรีที่ไม่มีลิงเป็นยังไง

จากกรุงเทพไปลพบุรีได้ทั้งรถตู้ รถบขส. รถทัวร์ หรือรถไฟ ถ้าขับรถไปจากบ้านเราแถวดอนเมืองไปถึงลพบุรีระยะทางประมาณ 120 กม. (อ.เมือง) ขับรถชั่วโมงกว่าๆก็ถึงแล้ว เมื่อขับเข้ามาในตัวเมืองเจอวงเวียนอนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็แสดงว่าถึงเมืองลพบุรีแล้วแน่นอน

พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชกลางวงเวียนเทพสตรี (วงเวียนสระแก้ว) อ.เมือง ลพบุรี ผลงานของ ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี

สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 4 ของราชวงศ์ปราสาททอง ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าปราสาททองและพระนางเจ้าสิริกัลยานี พระราชสมภพในปี 2175 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2199 มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3″ เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยา หลังจากประทับที่กรุงศรีอยุธยาได้ 10 ปี พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองลพบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ในปี 2209 และเสด็จไปประทับทุก ๆ ปี ครั้งละเป็นเวลานานหลายเดือน กระทั่งเสด็จสวรรคตในปี 2231 ขณะพระชนมายุได้ 56 พรรษา รวมเวลาที่ทรงครองราชสมบัติ 32 ปี

ที่มา : กรมศิลปากร

ขับตรงต่อมาอีกไม่ไกล จะเจอซากเนินปราสาทขอมโบราณขนาดย่อมล้อมรั้วเหล็กไว้มีป้ายบอกวัดเจนว่า “ศาลพระกาฬ” ก็ชิดซ้ายหาที่จอดรถที่ลานจอดได้เลย เสียค่าจอด 20 บาท บรรยากาศที่เปลี่ยนไปคือ ตอนนี้ลานจอดรถไม่มีลิงมากวนใจ จำได้ว่าสมัยก่อนแค่ที่จอดรถ ก็เจอเจ้าลิงเดินไปเดินมา บางตัวก็กระโดดขึ้นหลังคารถ ตอนนี้เงียบสงบ มีแต่คนเดินมาเก็บค่าจอดรถ

จอดรถแล้วก็เดินข้ามถนนไปศาลพระกาฬที่เป็นเหมือนวงเวียนกลางถนน
ระหว่างรถติดจะมีเจ้าลิงจากศาลปีนป่ายตามรถกัดแทะอะไรไปเรื่อย

ศาลพระกาฬ

ศาลพระกาฬ หรือ ศาลพระกาล เรียกตามชื่อของเทวรูปด้านในอาคารที่ลักษณะเป็นเทวรูปหินสีดำ ตัวศาลหรืออาคารเดิมสร้างอยู่บนฐานของปราสาทขอมโบราณ ตัวปราสาทขอมย้อนไปได้สมัยเดียวกับพระปรางค์สามยอด ศาลเดิมสมเด็จพระนารายณ์ฯโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งที่แปรพระราชฐานจากกรุงศรีอยุธยามาอยู่ที่เมืองลพบุรี ภายหลังศาลเดิมพังไปหมดเหลือแต่ผนัง จึงมีการสร้างอาคารปูนขึ้นใหม่ด้านหน้าของซากฐานปราสาท แล้วอัญเชิญรูปปั้นพระนารายณ์สีดำองค์เดิมมาวางไว้เป็นเทวรูปประธาน

ทุกอย่างสืบย้อนรอยได้หมด ยกเว้นลิง ไม่รู้ว่าลิงเข้ามายึดศาลพระกาฬอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ สมัยเด็กๆจะไม่กล้าเข้าด้านในเพราะมีลิงเยอะมากๆ มาคราวนี้ลิงดูน้อยลงไป แต่ก็ยังถือว่าเยอะ ส่วนมากจะอยู่ด้านข้างศาลที่มีป้ายว่าที่ให้อาหารลิง (Monkey Feeding Area) มีทำสะพานไม้ให้ฝูงลิงปีนป่ายเล่น มีบ่อน้ำให้แช่น้ำเล่น คือเป็น monkey Playground กันเลย เดินขึ้นด้านบนไปไหว้เทวรูปในศาลต้องถอดรองเท้า จะมีคนนั่งเฝ้าหน้าประตูคอยถือไม้ผูกบ่วงคอยดูแลรองเท้า เผื่อเจ้าลิงจะอยากได้ผ้าใบหรือแตะคีบไปใส่เล่น

จากศาลพระกาฬมองไปก็จะเห็น “พระปรางค์สามยอด” ปราสาทขอมอีกแห่งที่เป็นสัญญลักษณ์ของเมืองลพบุรีก็ว่าได้ เดินข้ามถนนและข้ามทางรถไฟไปก็ถึงแล้ว ระหว่างเดินก็พอมีเจ้าลิงเดินไปมาตามถนนอยู่บ้างแต่ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน จากที่ถามคนที่ศาลเรื่องข่าวการจับลิง เขาบอกว่ามีการจับลิงแถวพระปรางค์ไปบ้าง แต่ไม่ได้จับที่ศาลพระกาฬ เพราะเป็นลิงคนละแกงค์ ฮา….

พระปรางค์สามยอด

ค่าเข้าชมพระปรางค์สามยอดสำหรับคนไทยคือ 10 บาท แถมไม้ไว้ตีลิง 1 แท่ง เผื่อลิงมาวุ่นวายเกาะแกะ แต่ก็ไม่ได้มุ่งหมายให้ตีจริงๆจังๆหรอก แค่ให้เอาไว้เขี่ยหรือตวัดๆเจ้าจ๋อก็เข้าใจแล้วว่าอย่ามายุ่งกับฉันนะ

พระปรางค์สามยอดควรจะเรียกเป็นปราสาทมากกว่าพระปรางค์ แต่ที่เรียกเป็นพระปรางค์เนื่องจากศาสนสถานแห่งนี้ ได้รับการดัดแปลงให้เป็นวัด ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงเรียกชื่อตามสถาปัตยกรรมไทยที่นิยมกัน

พระปรางค์สามยอดเป็นศาสนสถานที่ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูนและประดับด้วยลาย ปูนปั้น ประกอบด้วยตัวปราสาท ๓ หลัง ตั้งอยู่บนฐานเดียวกันโดยมีลักษณะพิเศษกว่าปราสาท ๓ หลังอื่นๆ คือ มีฉนวนเชื่อมต่อกันเรียกว่า มุขกระสัน อันเป็นลักษณะที่ปรากฏในศิลปะแบบบายน แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะขอมแบบบายนที่ปรากฏในภาคกลางของประเทศไทย ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และเมืองลพบุรีน่าจะมีความสำคัญ ในฐานะศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองของเขมรในภาคกลางในช่วงระยะเวลานี้

ตัดตอนจาก : สารานุกรมไทย

เดินไปถ่ายรูปฝั่งทิศตะวันออก(ฝั่งซ้ายจากทางเข้า)ที่เห็นองค์พระปรางค์สามยอดเป็นแนวตรง ตอนบ่ายๆนี้จะไม่ค่อยเห็นลิง พอเดินมาอีกด้านก็เจอเจ้าถิ่นมารวมตัวกันอยู่ด้านนี้ เพราะมาหลบเงาแดดกัน แต่ดูจากจำนวนแล้วลิงพระปรางค์สามยอดน้อยลงกว่าแต่ก่อนจริงๆ

ว่ากันว่า ลิงพระปรางค์สามยอดเป็นต้นกำเนิดลิงลพบุรี ก่อนจะขยับขยายไปตั้งแกงค์ใหม่ที่ศาลพระกาฬและที่อื่นๆ จนตอนนี้มีการจัดแบ่งแกงค์ก๊วนลิงลพบุรีได้ถึง 8 แกงค์ เช่น ลิงแกงค์โรงแรมเมืองทอง ลิงแกงค์ตลาดมโนราห์

จากบนเนินของพระปรางค์สามยอดมองไปรอบๆจะเป็นอาคารพาณิชย์ ที่สมัยเด็กจำได้ว่าเป็นย่านการค้าคึกคัก แต่ก็เห็นลิงปีนป่ายไปมา ผ่านมาหลายสิบปีจากข่าวที่ออกมาว่าจำนวนประชากรลิงเพิ่มขึ้นมาก ทำให้รบกวนการใช้ชีวิตปกติของชาวลพบุรี แม้วันนี้จะมีมาตรการจับลิงออกไปบ้าง แต่ก็ไม่ทันแล้ว ย่านการค้าคึกคักกลายเป็นตึกร้างไปหมด

เดินกลับที่จอดรถตรงข้างทางรถไฟ มีโบราณสถานแอบอยู่ข้างๆแวะถ่ายรูปนิดหน่อย จากตรงนี้จะไปที่วังพระนารายณ์ระยะทางแค่ 5-600 ม. เดินไปก็ได้ แต่ขับรถไปก็มีที่จอดสะดวกสบาย ขับรถไปดีกว่า

วัดนครโกษา / วัดอินทรา

พระนารายณ์ราชนิเวศน์

หลายคนอาจจะคุ้นชื่อวังพระนาราย์ เพราะเป็นสถานที่จัดงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นเหมือนงานออกร้านประจำปีของเมืองลพบุรี ที่พ่อค้าแม่ค้าจะแต่งตัวย้อนยุคสมัยอยุธยา ใช้เหรียญโบราณในการชื้อของ คนมาเที่ยวก็นิยมแต่งตัวย้อนยุคร่วมด้วย มีลานการแสดง มีแสงสีเสียงตอนกลางคืน แต่ถ้ามาช่วงกลางวันที่นี่คือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์

ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ทรงโปรดฯให้สร้างพระราชวังที่เมืองลพบุรี โดยใช้ช่างฝีมือชาวฝรั่งเศสและอิตาลี ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยผสมตะวันตก ใช้เป็นที่ประทับในช่วงครองราชย์ นอกเหนือจากพระราชวังที่อยุธยา และยังได้ใช้ต้อนรับคณะราชฑูตจากหลายๆประเทศ เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคต พระราชวังถูกทิ้งร้างจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 โปรดฯให้ซ่อมแซมและต่อเติมพระราชวังเดิมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และพระราชทานชื่อว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์”

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ เปิดบริการ วันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น.
โบราณสถานพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เปิดบริการวันจันทร์ – วันอาทิตย์ เวลา ๐๗.๐๐ – ๑๗.๓๐ น.
https://www.lopburi.org/wangpranarai

พื้นที่ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็น ๓ เขต คือ เขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระราชฐานชั้นใน

พระที่นั่งจันทรพิศาล เคยเป็นหอประชุมองคมนตรีสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปัจจุบันเป็นห้องจัดแสดงเรื่องประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และโบราณวัตถุ ศาสนวัตถุ ในพุทธศตวรรษที่ 19–24 (สมัยอยุธยา–รัตนโกสินทร์)

หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฏ สร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน ใช้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์เมื่อเสด็จแปรพระราชฐาน ปัจจุบันใช้จัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์และศิลปกรรมภาคกลางของประเทศไทย จัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดพบในหลายแหล่งโบราณคดี มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้น 1-2 จัดนิทรรศการ ชั้นที่ 3 เดิมเป็นห้องบรรทมของรัชกาลที่ 4 ปัจจุบันมีจัดแสดง ฉลองพระองค์ แท่นบรรทม และข้าวของอื่นๆ

เรื่องน่าแปลกใจ (สำหรับเรา) คือมีตู้จัดแสดงเกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่ขุดค้นพบในพื้นที่ลพบุรี เดินดูนิทรรศการต่อไปถึงได้ความรู้ว่าแต่เดิมพื้นที่ลพบุรีอยู่ติดทะเล!!

พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท เคยเป็นท้องพระโรงในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสำหรับเสด็จออกว่าราชการและต้อนรับคณะราชทูต สร้างแบบศิลปะไทยผสมฝรั่งเศส ประตูและหน้าต่างท้องพระโรงด้านหน้าทำเป็นโค้งแหลมแบบตะวันตก ประตูหน้าต่างมณฑปด้านหลังทำเป็นซุ้มแบบไทย สมเด็จพระนารายณ์ฯเคยเสด็จออกรับคณะราชทูตฝรั่งเศส เชอวาลิเยร์ เดอ โชมองต์ ที่พระที่นั่งองค์นี้เมื่อปี พ.ศ. 2228

ในจดหมายเหตุทูตฝรั่งเศสบรรยายไว้ว่า ตามผนังพระที่นั่งฯประดับด้วยกระจกเงาที่นำมาจากฝรั่งเศส เพดานแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส 4 ช่อง ประดับด้วยลายดอกไม้ทองคำและแก้วผลึกที่ได้มาจากเมืองจีนงดงามมาก

ผนังด้านนอกพระที่ชั้นล่างมีเจาะเป็นช่องโค้งแหลมไว้สำหรับวางตะเกียง

พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แต่เดิมเป็นพระที่นั่ง 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูนมุงหลังคากระเบื้องเคลือบแบบจีน มีสระน้ำใหญ่สี่สระที่มุมพระที่นั่ง เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และพระองค์เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งแห่งนี้ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2231 บันทึกของชาวฝรั่งเศส กล่าวว่า พระที่นั่งองค์นี้อยู่ในพระราชอุทยานที่ร่มรื่น ปัจจุบันก็ยังมีต้นไม้ใหญ่ให้เห็นตามริมกำแพงวัง

ออกจากวังพระนารายณ์ไปสามารถเดินซิกแซกไปตามถนนฝรั่งเศส เพื่อไปบ้านวิชาเยนทร์ได้ ระยะทางไม่ถึง 500 ม. หรือจะขับรถไปก็ได้ แต่ไม่ค่อยมีที่จอดรถ ต้องวนไปจอดตรงซอยวิชาเยนทร์

ระหว่างพระนารายณ์ราชนิเวศน์กับบ้านหลวงรับราชฑูต(บ้านวิชาเยนทร์) มีซากโบราณสถานที่เดิมเป็นศาสนสถาน ศิลปะขอมแบบพะโค อีกแห่งชื่อว่า “เทวสถานปรางค์แขก”

บ้านหลวงรับราชฑูต (บ้านวิชาเยนทร์)

บ้านหลวงรับราชฑูตและบ้านวิชาเยนทร์เป็นกลุ่มอาคารที่หรูหราในแบบศิลปะยุโรปผสมกับอยุธยา แบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือที่พักอาศัยของออกญาวิชาเยนทร์ มีโรงอาบน้ำ มีอาคารรับรองที่มีห้องใต้ดินที่ใช้เก็บไวน์ ส่วนที่ 2 มีโบสถ์ (โรงสวด) ส่วนที่ 3 เป็นพื้นที่บ้านหลวงรับราชฑูต ที่สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงให้สร้างขึ้นเพื่อใช้รับรองแขกต่างชาติ โดยให้ออกญาวิชาเยนทร์เป็นผู้ควบคุมและดูแลการก่อสร้าง ลานด้านหน้ามีสวนดอกไม้และลานน้ำพุแบบตะวันตก

ออกญาวิชาเยนทร์ หรือ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) เป็นชาวกรีซ บ้านเกิดอยู่ที่เกาะเกฟาโลเนีย เดิมชื่อ คอนสแตนติโน เกรากีส ปัจจุบันยังคงมีทายาทตระกูลเกรากิสอาศัยอยู่ที่เกาะเกฟาโลเนีย
คอนสแตนติโน เกรากีส ออกเดินทางจากบ้านเกิดตั้งแต่อายุ 13 ปี ไปทำงานในหลายประเทศ จนได้มาทำงานในบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ สาขากรุงศรีอยุธยา ต่อมาเข้ารับราชการในไทย ประกอบกับมีความสามารถพูดได้หลายภาษา จึงเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์ ได้รับตำแหน่งสูงสุดฝ่ายพลเรือนเป็นสมุหนายก นามว่า ออกญาวิไชเยนทร์ ต่อมาได้แต่งงานกับ นางมารี กีร์มา เดอ ปินาร์ หรือท้าวทองกีบม้า
ในช่วงปลายยุคสมัย ด้วยเหตุเป็นที่สงสัยว่าออกญาวิชาเยนทร์สมคบคิดกับฝ่ายฝรั่งเศสที่จะเข้ามายึดครองอาณาจักรอยุธยาในช่วงที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงพระประชวรหนัก พระเพทราชาและออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) ได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจของสมเด็จพระนารายณ์ และจับออกญาวิไชเยนทร์ไปประหารชีวิต

อ่านเรื่องเต็มได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/history/article_89575

บ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) เปิดบริการ วันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา ๐๘.๓๐ – ๑๗.๓๐ น.

เที่ยวชมเมืองลพบุรีกับเรื่องราวในอดีตค่อนวัน จากนั้นเราขอจบทริปเที่ยวลพบุรีด้วยการขับรถขึ้นไปนั่งชงกาแฟจิบบนยอดเขารับลมเย็นที่ เขาพระยาเดินธง ที่เป็น 1 ในเขาอีโต้ของโคราชเควสต้า [ อ่านเรื่อง Korat Cuesta มหัศจรรย์เขารูปอิโต้ ]

เขาพระยาเดินธง

เขาพระยาเดินธง อยู่ในเขตอำเภอพัฒนานิคม ห่างจากอำเภอเมืองไป 54 กม. เส้นทางเดียวกับที่จะไปทุ่งทานตะวันเขาจีนแล มีป้ายบอกทางนไปจุดชมวิวเขาพระยาเดินธงเป็นระยะ ไม่ต้องกลัวหลง 5 กม.สุดท้ายเป็นทางขึ้นเขา ถนนดี ทางไม่สูงชันมาก ขับรถยนต์ขึ้นไปได้จนถึงยอดเขา แต่ระวังจักรยานด้วยเพราะเป็นเส้นทางหนึ่งที่นักปั่นจักรยานชื่นชอบ

บนยอดเขาเป็นสถานปฏิบัติธรรม และสำนักสงฆ์ ของวัดหนองนา แต่ด้านนอกสำนักสงฆ์มีพื้นที่ให้กางเต๊นท์ค้างคืนได้ เพราะตามริมผาเป็นวิวกว้างมองเห็นเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และพื้นที่เขียวๆของอำเภอพัฒนานิคม แถมใครโชคดีตื่นมาตอนเช้าบางวันมีทะเลหมอกด้วย!!

เข้าด้านในของสถานปฏิบัติธรรม มีจุดชมวิวสวยๆ มุมมองกว้างกว่าริมผาด้านนอก มีพระพุทธรูปอยู่ริมผาหลายองค์ เข้ามาถ่ายรูปได้ แต่ไม่ควรส่งเสียงดัง และห้ามค้างคืนด้านใน และตอนเย็นจะปิดประตูรั้ว

เข้าไปถ่ายรูปด้านในแล้ว ออกมานั่งเล่นริมผาด้านนอก วันนี้ไม่มีคนกางเต๊นท์ แต่มีคนเอาโต๊ะเก้าอี้มานั่งเล่นกินลมชมวิวกันพอสมควร เราก็ขอมานั่งชงกาแฟ จิบไปเพลินๆกับวิวงามๆ บรรยากาศดีใช้ได้

ใครไม่อยากเดินทางไกล (จากกรุงเทพฯ) ก็ขับรถมานั่งเล่นบนยอดเขาพระยาเดินธงได้ มีร้านค้าเล็กๆ 2-3 ร้าน ขายน้ำขายอาหารด้วย หรืออยากจะมานอนดูดาว เช้าชมทะเลหมอก ก็มาได้เลยนะ

ค่าใช้จ่ายเที่ยวลพบุรี

  • ศาลพระกาฬ : ไม่เสียค่าเข้า
  • พระปรางค์สามยอด : 10 บาท
  • พระนารายณ์ราชนิเวศน์ : 30 บาท
  • บ้านหลวงรับราชฑูต (บ้านวิชาเยนทร์) : 10 บาท
  • เขาพระยาเดินธง : ไม่มีค่าใช้จ่าย

รวมค่าใช้จ่าย 50 บาท ถูกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

Leave a comment