Trip : Niagara & East Canada
July 1996

ทริปเที่ยวแคนาดาเป็นทริปที่งอกออกมาจากการที่ไปเยี่ยมเพื่อนที่เรียนอยู่ที่อเมริกา โดยเริ่มต้นที่เราบินไปหามันที่ Maryland ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอเมริกา แล้วมันก็ชวนว่า ไปเที่ยวแคนาดากัน ว่าแล้วก็ไปยื่นขอวีซ่ากันที่สถานฑูตแคนาดาเลย ใช้เวลา 2-3 วันก็ได้แล้ว เพิ่งรู้นะว่าขอที่อเมริกามันง่ายดายมาก รวบรุวมพรรคพวกได้ 6 คนก็ขับรถจาก Maryland ขึ้นเหนือมุ่งไปพิกัดแรกที่ Niagara Fall


Niagara Fall | น้ำตกไนอาการา เป็นน้ำตกที่เกิดจาก แม่น้ำไนอาการา | Niagara river ที่กั้นพรมแดนอเมริกาและแคนาดา การจะไปเที่ยวน้ำตกไปจากอเมริกาก็ได้ มาจากแคนาดาก็ได้ แล้วข้ามฝั่งไปดู แล้วกลับก็ได้ อารมณ์เหมือนข้ามด่านแม่สายไปเที่ยวพม่าแล้วกลับไทย ง่ายดายแบบนั้น

แผงน้ำตกเกิดจากแผ่นดินที่ยุบตัว ทำให้น้ำในแม่น้ำตกลงมาเป็นผาน้ำตก ฝั่งอเมริกามี 1 แผงใหญ่ๆชื่อ American Fall ชัดเจนดี แผงน้ำตกกว้าง 320 ม. สูง 65 ม. ดูทางฝั่งอเมริกาก็จะใกล้แบบน้ำกระเซ็น ข้ามไปฝั่งแคนามาก็จะมองเห็นใด้เต็มๆ


สวนสาธารณะก่อนข้ามฝั่งจาก New York, USA ไป Ontario, Canada

ถนนข้ามไปเกาะแพะ (Goat Island) ข้ามแม่น้ำไนอาการา


American Fall

Rainbow Bridge กับ American Fall และสายรุ้ง เมื่อมองจากฝั่งแคนาดา


พอข้าม Rainbow National Bridge มาเข้าฝั่งแคนาดา ก็มาจอดรถตรงจุดท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวมหาศาลล้านแปด ฝั่งนี้จะมองเห็นน้ำตกอีกแผงที่ใหญ่กว่าฝั่งอเมริกา ตรงนี้คือภาพน้ำตกไนอาการ่าที่ทุกคนคุ้นเคย แผงน้ำตกจะโค้งคล้ายเกือกม้า ก็เลยมีชื่อว่า Horse shoes Fall

Horse shoes Fall ที่โค้งเป็นเกือกม้า
คนที่ชอบความตื่นเต้นเร้าใจแบบขั้นกว่า สามารถซื้อตั๋วเรือที่จะพานั่งเข้าไปโฉบเฉี่ยวใกล้แผง Horse shoes fall เสียวด้วยเปียกด้วยแพงด้วย พวกเราจึงขอแค่ยืนดูบนจุดชมน้ำตกก็พอใจแล้ว

นักท่องเที่ยวมากมายมหาศาลทีจุดชมวิว

Toronto | โตรอนโต เมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐออนตาริโอ | Ontario State และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดาด้วย ตั้งอยู่ริมทะเลสาบออนทาริโอ | Lake Ontario ทำให้เมืองสวยงามโรแมนติคทีเดียว เข้าไปย่านกลางเมืองสุดแสนทันสมัย ตึกสูงเต็มไปหมด เหมาะแก่การเดินเที่ยวมาก เดินเล่นไปเรื่อยๆ เมื่อยๆก็หยุดหาอะไรกิน แล้วก็เดินต่อ

ริม Lake Ontario ในวันที่ฟ้าขมุกขมัว ยังพอมองเห็นสัญญลักษณ์ของเมืองโตรอนโตที่หันทางไหนก็เห็นคือ CN Tower


CN Tower หอโทรทัศน์แห่งชาติแคนาดา


The Rogers Centre สนามเหย้าของทีมเบสบอลประจำเมืองโทรอนโต้ “The Blue Jays”

Royal Bank Plaza ตีกสีทองที่เกิดจากการเอาผงแร่ทองผสมในการหล่อกระจก กับ TF Canada trust tower ด้านหลัง

Roy Thomson Hall กลางเมืองโตรอนโต โครงสร้างกระจกทรงเหมือนงอบ ใช้จัดการแสดงดนตรีออเครสตร้า หรือจัดงาน Film Festival เริ่มใช้จัดแสดงมาตั้งแต่ปี 1982


St. James Cathedral

Montreal | มอนทรีออล อยู่ในรัฐควิเบค | Quebec state มลรัฐด้านตะวันออกของประเทศ อยู่เหนือประเทศอเมริกาตามแนวชายแดนต่อเนื่องมาจากรัฐออนตาริโอ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐควิเบค ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Saint Lawrence River มองดูเหมือนเป็นเกาะขนาดใหญ่ เพราะมีแม่น้ำล้อมรอบ มอนทรีออลโด่งดังในเรื่องกีฬาโอลิมปิค เพราะเคยเป็นสถานที่จัดโอลิมปิคในปี 1976

Parc Olympique (Montreal Olympic Park)

The Montréal Tower เป็นหอคอยรูปทรงเอียง (Inclined Tower) มีความสูง 165 ม. นับว่าสูงที่สุดในโลก


นั่งกระเช้าขึ้นไปที่ยอดหอคอยได้ เป็นจุดชมวิวเมือง และมีนิทรรศการเกี่ยวกับโอลิมปิค




Jardin botanique montreal (Montreal Botanical Garden) สวนพฤษศาสตร์เมืองมอนทรีออล เข้าไปเดินเล่นได้เพลินๆ อยู่ใกล้ๆ Olympic Park

The Nelson Monument (1808)


Old Montreal city hall / Palais de Justice, Montreal (The Old palace of Justice)

QUEBEC | ควิเบค เมืองชื่อเดียวกับรัฐ (Quebec city in Quebec State) ขับรถมาถึงเอาช่วงบ่ายแก่แล้ว มาถึงร้องกรี๊ดเลย เพราะเมืองน่ารักมาก ไม่ได้น่ารักแบบตะมุตะมิ แต่น่ารักแบบย้อนยุค ย่านเมืองเก่ายังมีตึกรูปทรงแบบยุคกลาง พื้นถนนยังเป็นพื้นหิน Cobble stone มองขึ้นไปบนเนินเขามีอาคารโบราณหลังคาสีเขียวขนาดใหญ่โต เหมือนปราสาทในนิยาย


Chateau Frontenac อาคารเก่าแก่มองดูคล้ายปราสาทในเทพนิยายอยู่เหมือนกัน ปัจจุบันด้านในมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของ โรงแรม พิพิธภัณฑ์ มีรถรางให้นั่งขึ้นไป หรืออยากจะเดินก็มีทางเดินขึ้นไปด้วย



ตัวเมืองเก่ามีส่วนเมืองบน (Upper) และเมืองล่าง (Lower) จุดชมวิวแม่น้ำ St Laurence ให้ขึ้นไปด้านบนหน้าผา Cap Diamond ริมฝั่งแม่น้ำ

อนุสาวรีย์ ซามูแอล เดอ ช็องแปล็ง (Samuel de Champlain) นักสำรวจชาวฝรั่งเศสผู้ปักธงบนแผ่นดินที่มาพบว่าเป็นพื้นที่ของฝรั่งเศศ

สิ่งที่ค่อนข้างแปลกใจ (ต่อเนื่องมาจากมอนทรีออล) คือ ป้ายต่างๆส่วนมากเป็นภาษาฝรั่งเศส กลับมาเมืองไทยก็เลยต้องหาข้อมูลเสียหน่อย สรุปความสั้นๆเลยว่า แรกเริ่มเดิมที แถบนี้ก็มีแต่พวกชนเผ่าอยู่กัน ลักษณะแบบชาวอินเดียแดง จนศตวรรษที่ 16 นักสำรวจโลกชาวฝรั่งเศส ซามูแอล เดอ ช็องแปล็ง (Samuel de Champlain) ก็เดินทางมาถึง แล้วก็ปักธงเลยว่าที่นี่เป็นเขตพื้นที่ปกครองโดยฝรั่งเศส (ง่ายๆแบบนี้เลยเหรอวะ) จากนั้นก็มีการพาคนจากฝรั่งเศสเข้ามาตั้งรกรากอยู่กันจนเหมือนเป็นประเทศฝรั่งเศสกันเลยจริงๆ ข้ามไปจนถึงช่วงที่อังกฤษเรื่องอำนาจ (พื้นที่ประเทศอเมริกาทั้งหมด ค้นพบโดยนักเดินเรืออังกฤษนะ และเป็นพื้นที่ปกครองของอังกฤษมาก่อน) อังกฤษก็ยึดครองพื้นที่ไล่จากอเมริกาขึ้นมาจนถึงแคนาดา เข้ามายึดควิเบคกันดื้อๆอีกล่ะ ก็คือสู้กันแหละ สุดท้ายอังกฤษชนะ ยึดได้ ก็เอาคนอังกฤษเข้ามาพยายามกลืนกินควิเบค แต่คนเชื้อสายฝรั่งเศสมีเยอะและเข้มแข็งมาก ผ่านมาเป็นร้อยปีคนอังกฤษก็ยังเป็นชนกลุ่มน้อยอยู่นั่นเอง ต่อมาอเมริกาประกาศเอกราช แต่แคนาดาทั้งหมดยังคงเป็นประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ ส่วนควิเบคเอง คนท้องถิ่นก็พยายามจะแบ่งแยกดินแดนออกมาเป็นรัฐอิสระหรือเป็นประเทศเลย เพราะเขาใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ มีประเพณีวัฒนธรรมก็ไม่เหมือนคนแคนาดาในเมืองอื่นๆ ทำไมต้องเป็นแค่รัฐในแคนาดา ทำไมต้องอยู่ใต้การควบคุมของอังกฤษ และยังมีแนวร่วมในการปลุกระดมแบ่งแยกดินแดนตลอดมาตั้งแต่ปี 1763 (เพิ่งรู้นะเนี่ย)

source: http://www.theguardian.com/

ชนพื้นเมืองดั้งเดิมก่อนจะโดนฝรั่งเศสเข้ามายึดพื้นที่ คือชาวอินเดียนเผ่าอิโรเควียน (Iroquoian) ยังมีร้านค้าที่ขายของเกี่ยวกับอินเดียนแดงอยู่ในควิเบค
ควิเบคไม่ได้อยู่ในแผนท่องเที่ยวแต่แรก แค่เป็นเมืองที่จะต้องผ่านเพื่อกลับเข้าอเมริกาที่รัฐเมน | Maine แต่ด้วยความอ่อนด้วยด้านการวางแผนท่องเที่ยว ทำให้ในแต่ละวันขับรถไกลเกินไป ถ้าจะให้ดี เมื่อมาถึงควิเบคในตอนบ่ายแก่ๆแล้วก็น่าจะได้นอนสักคืน จะได้เที่ยวชมเมืองเก่าได้เต็มอิ่ม แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยขับรถกลับเข้าอเมริกา แต่เมื่อวางแผนกันไว้ว่าคืนนี้ต้องถึงเมน พวกเราก็เลยต้องตาหูแหกออกจากควิเบคกันตอนเย็นย่ำ ขับรถไปอีก 170 ไมล์ ขอเตือนว่าอย่าหาทำ ทรมานมาก และอากาศกลางคืนที่มีหมอกลงอย่างหนา ทำให้ขับรถมองอะไรแทบไม่เห็น มีเรื่องตื่นเต้นตอนที่เพื่อนขับแล้วเรานั่งเป็นเนฯ คนอื่นๆนั่งหลับกันหมด ตลอดทางเป็นหมอกทึบ แล้วอยู่ๆก็เห็นกวางโผล่มาในระยะใกล้มาก ดีว่าเดินอยู่ริมทางและเราขับค่อนข้างช้า ตอนรถขับผ่านเห็นชิดติดกระจกคนขับ กวางตัวใหญ่มาก มากแบบสูงกว่าหลังคารถอ่ะ เขากวางเป็นกิ่งแผ่กว้างใหญ่เว่อๆ กรี๊ดแตกจนตื่นทั้งคัน


คนขับก็ขับไป คนหลับก็หลับไป หมอกหนักขนาดนี้ เลี่ยงได้ก็นอนสักคืน อย่าขับรถเลย
หน้าตากวางมูส | moose แต่ที่เจอน่าจะสูงใหญ่กว่าในรูปนี้อีกนะ นึกภาพว่าอยู่ดีๆก็โผล่ขึ้นมาให้เห็นท่ามกลางหมอกหนาทึบ
รูปจาก th.wikipedia.org/wiki/กวางมูส

สรุปว่าจบทริปแคนาดา ด้วยกวางมูส กวางประจำถิ่น ไม่เสียเที่ยวมาถึงแคนาดา ขับกลับถึงอเมริกาจนได้ ไปตามอ่านต่อที่ >>> ทริปเยี่ยมเพื่อน NorthEast USA
Leave a Reply