TRIP SEPTEMBER 2012 : AUSTRALIA [MELBOURNE & TASMANIA]
![]() |
Tasmania Photo Gallery @pbase Tasmania |
เราเลือกใช้ Virgin airline บินจาก Melbourne ไป Hobart (เมืองหลวงของเกาะ Tasmania) ชาวออสออกเสียง ฮอยบาร์ทนะคะฟังดีๆ เครื่องดีเลย์ไปเป็นชม. เลยไปถึง Hobart โพล้เพล้มาก (เสียดายจริงๆวันนี้เป็นวันส.ถ้ามาได้ถึงช่วงเช้าจะดีมาก เพราะมีถนนคนเดินที่ Salamanca ซึ่งมีเฉพาะวันเสาร์ บ่ายแก่ๆก็เลิกกันหมดแล้ว) เราได้จองรถไว้ที่สนามบิน ใช้ของ Thirfty ค่ะ รถมินิแวน ใหญ่โอ่โถงนั่งสบาย เช่า 5 วันรวมๆแล้ว 400$ กว่าแต่ซื้อประกันเพิ่มเพื่อความสบายใจอีกวันละ 33$
ก่อนมาเช็คพยากรณ์อากาศแล้วปวดตับ มีทั้งลมทั้งฝนทั้งหนาวงงไปหมด เช็คทุกวันเปลี่ยนทุกวัน เอากันจริงๆเช้าวันนี้แดดแจ๋ฟ้าใสกิ๊ง แฮปปี้สุดๆ จัดการอาหารเช้าฝีมือเพื่อนเก๋ ดีใจน้ำตาไหลปริ่มหนาวๆในต่างแดนได้กินข้าวต้มยามเช้าด้วย อิ่มดีก็ล้อหมุน วันนี้จะไปเที่ยว Port Arthur กัน ต้องขับรถไปประมาณ 2-3 ชม.เหมือนกันเพราะห่างไปร้อยกว่าโล แต่ถนนหนทางดี รถก็ไม่เยอะ ขับสบายๆ วิวข้างทางสุดแสนจะธรรมชาติ ชาวทัสมาเนียนเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะไปตลอด 2 ฝั่ง แวะจอดถ่ายรูปได้เรื่อยๆ วันแรกก็กรี๊ดกร๊าด (วันหลังๆจะอ้วกเป็นแกะ) ไม่เจอคนหรอกนะ เจอแต่สัตว์ คนไปไหนกันหมดไม่รู้แฮะ
ใช้เวลาตามที่คาดก็ไปถึง Port Arthur มีทัวร์ลงบ้าง ทั้งคันใหญ่คันเล็ก พวกเราซื้อตั๋วแบบถูกสุดคือเข้าชมตัวอาคาร และนั่งเรือข้ามไปเกาะนักโทษแต่ไม่ลงเกาะ แค่นั่งเล่นๆเอาบรรยากาศ เค้ามีรอบที่ไกด์จะเดินพาทัวร์เล่าประวัติโน่นนี่ ถ้าไม่สนใจหรือไม่ตรงรอบก็เดินเองได้ ประวัติไปหาอ่านเอาทีหลัง เราไปพอดีรอบลุงสุดหล่อเลยเดินไปฟังแกโม้ไป จริงๆแกพูดมากเกิ๊นนน แล้วก็พาเดินแค่ด้านหน้านั่นแหละ ที่เหลือก็เดินเองปีนป่ายเองหมด ที่นี่เคยเป็นคุกขังนักโทษ ลุงแกเล่าประวัติมากมายพร้อมเพิ่มเติมว่าไม่เกิน 10 ปีมานี้ยังมีการพาคนแล้วยิงทิ้งกันที่นี่เลย! ด้วยความที่เป็นคุก มีคนตายเยอะ มันเลยมี Ghost tour ด้วยนะ ไม่รับประกันว่าจะเจอผีแต่มาเดินเอาบรรยากาศยามค่ำคืนฟังเรื่องผีๆจากไกด์พอพาให้มโนกันไปเองได้

อิ่มดีช็อปปิ้งเสร็จ ฝนหยุดซะงั้น เลยตัดสินใจยังไม่กลับ Hobart ขับแยกออกไปเมือง Richmond เค้าว่ามีสะพานเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของออสเตรเลีย พร้อมเมืองน่ารักๆ ขับแยกออกไปสัก 15-16 กม.ก็ถึง Richmond เมืองเงียบยังกะเมืองร้าง ด้วยว่าเป็นวันอาทิตย์และก็เป็นช่วงเย็นแล้ว แต่บ้านเค้าน่ารักจริงๆ บ้านทรงเดิมๆสะอาดสีสันสวยงาม เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อย สะพานก็เป็นสะพานหินโค้งธรรมดา แต่บรรยากาศโดยรอบช่วยให้มันสวยงามขึ้น พร้อมแสงยามเย็นสาดลงมาเพิ่มความขลัง
พวกเราเดินเล่นเมืองร้างกันสักพักก็กลับ Hobart กันไปแวะที่ท่าเรือเดินเล่นกันหน่อย เมื่อวานมาถึงมันมืดแล้ว วันนี้วันอาทิตย์ออกจะคึกคักนิดหน่อย ตามร้านต่างๆมีคนนั่งเต็ม แต่ลานและถนนก็ยังเงียบเหมือนเดิม หนาวมากเดินนานก็ไม่ไหวกลับไปทำอาหารเย็นกินกันที่ห้องดีกว่า ทำไปจิบไวน์จิบเบียร์ไป สุขใจสุดๆ วันนี้มี Salmon Salad ใส่ Rockette และมะเขือเทศ มันอร่อยมากสดมากและถูกมาก (เมื่อเทียบกับราคาเมืองไทยนะ)
ตื่นมาเช้านี้เปิดม่านไปดูตอน 7 โมงเช้าแดดแจ๋ ดีใจสุดๆ นั่งดูข่าวสักพัก เดินไปตามเพื่อนๆว่าเราจะไปเดินชมเมืองใครจะไปบ้างตกลงออกไปกัน 3 คน กว่าจะแต่งตัวเสร็จเปิดประตูออกไป อ้ะ…ทำไมมันครึ้มแล้วล่ะ ป๊าดดด อากาศไว้ใจไม่ได้จริงๆ แต่ยังไม่มีเค้าว่าฝนจะตก แค่เมฆหมอกเยอะ เมฆไม่ดำ ออกไปชมเมืองกัน ต่างคนต่างไป เพราะเพื่อนเก๋หล่อนไปจ็อกกิ้ง เรากะหมอเลยเดินชมเมืองถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยไปแถบซาลามังก้า อาคารแถบนี้ยังมีรูปทรงแบบเก่าแต่ได้รับการอนุรักษณ์ไว้อย่างดี วันนี้วันจันทร์จึงได้เห็นคนเริ่มออกมาทำงาน ชาวฮอยบาร์ทดูไม่รีบร้อน (ก็แหงล่ะ เมืองเล็กแค่นี้ รถก็ไม่ติด) หลายคนใส่สูทปั่นจักรยาน บ้างก็นั่งรถเมล์ บ้างก็นั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์กันแล้ว น่าอิจฉาเป็นที่สุด

Bonorong มันอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ขับไต่เนินขึ้นไปถึง เปิดประตูออกไปหยั่งเชิงอากาศ โอ้ว…หนาววู๊ย กลับเข้ามาใส่เสื้อกันลม พอลงรถปุ๊บฝนลงโครม! เอ๊ะ…ดูอีกทีมันเป็นน้ำแข็งนะ มันเป็นลูกเห็บค่ะ งงไปเลย เก็บตัวในรถกันแป๊บนึง เหมือนพระพิรุณทำถังน้ำแข็งหก เพราะมันมาโครมเดียวแล้วก็หยุด คันอื่นเค้าเดินเข้ากันไปแล้วเราก็เดินตามไปจ่ายเงินแล้วเข้าไปดูสัตว์ต่างๆ พวกทัสมาเนียนเดวิล โคอาล่า วัลเลอร์บี้ นก งู อยู่ในคอกให้เดินดูได้สบายๆ ดูเป็นธรรมชาติมากๆ แต่จิงโจ้นี่ต้องเดินผ่านประตูเข้าไปเป็นคอกที่ใหญ่มากกกกกก คือใหญ่ประมาณ 1 เขา คือไม่เห็นรั่วอีกด้านค่ะ ที่นี่เราเดินเล่นกับจิงโจ้ เอาอาหารให้กินกันเป็นที่สนุกสนาน เพิ่งเคยเห็นจิงโจ้ใกล้ๆครั้งแรก หน้ามันเหมือนหมามากนะ เจ้าทัสมาเนียนเดวิลนี่ก็เหมือนหนูยักษ์แถมท่าทางดุชมัด อิโคอาล่านี่รอบแรกเดินผ่านมันเอาแต่หลับอยู่ตามแง่งไม้ซุกหัวไว้ หลับสนิทนิ่ง ตอนเดินกลับจากดูจิงโจ้ มันค่อยตื่นมามองหน้าเราบ้าง โคอาล่านี่หน้าตาน่าเกลียดมากเหอะไม่ได้น่ารักเลยจริงๆ
ออกจากโบโนรอง เราก็จับไฮเวย์ 1ขึ้นเหนือไปต่อ การวางแผนเดินทางช่วงแรกผิดพลาด เพราะเราแยกออกจากไฮเวย์ 1 ฉีกซ้ายออกไปถนน A5 ก็จะขจัดลัพธ์ไปตะวันตกเฉียงเหนือเลย เพราะ Cradle Mt. มันอยู่ทิศนั้น เราขับผ่านเมืองต่างๆชมวิวเขาวิวทุ่งหญ้าแกะม้าวัวไปเรื่อยจนถึงเมือง Bothwell มันก็บ่ายต้นแล้วเลยแวะหาอะไรกินตอนเที่ยง แวะเข้าร้านเจอพี่คนไทยทำงานในร้าน เลยได้คุยกันเล็กน้อยสอบถามทางว่าถ้าเราไปต่อทางนี้จะดีมั๊ยทางเขามากแค่ไหน สรุปได้ว่าควรย้อนกลับไปวิ่งไฮเวย์ 1ถึงจะดูว่าอ้อมหน่อยแต่จะดีกว่า ทางต่อไปจะเป็นเขา และคงจะมีแยกเยอะแยะแผนที่ก็ไม่ละเอียดนัก จึงร่ำลาขอบคุณพี่เค้า ถือว่าแวะมาเยี่ยมคนไทยด้วยกัน แหะๆ ย้อนกลับออกมาเข้าสาย 1เหมือนเดิมวิ่งผ่านเมือง Oatland, Ross, Campbell town ไปเรื่อยๆ แวะถ่ายรูปบ้าง ตามแต่ไฮไลต์ของเมือง จริงๆแล้วสามารถขับผ่านเข้าทุกเมืองตามรายทางได้เลยนะ ถ้ามีเวลาน่ะ ป้ายมันจะบอกว่าเป็น Tourist route แต่ละเมืองก็น่ารัก ไม่ต้องจอดก็ได้ แค่ขับผ่านชมเมืองก็คุ้มแล้ว และแต่ละเมืองก็แยกจากถนนใหญ่ไม่ไกล วันนี้อากาศดี มีแดดบ้างไม่มีบ้าง แต่ลมแรง หนาวลมกันอย่างเดียวเลย


ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักในเวลาหกโมงเย็น ยังไม่มืดแค่โพล้เพล้ ตอนมาถึงจุดจอดรถ จะขำก็ขำเศร้าก็เศร้าเพราะหิมะตกพอดี! นักท่องเที่ยวที่อยู่แถวนั้นออกมาเล่นหิมะกันใหญ่ เก๋วิ่งลงไปเช็คอินเพื่อเอากุญแจเคบิน เจ้าหน้าที่กำลังจะกลับล่ะ เค้าทำงานกันแบบสบายๆ 6 โมงเย็นกลับ เลยจะแปะกุญแจกับโน๊ตพร้อมแผนที่ไปบ้านไว้ที่ประตู ไปทันเจอพอดี แต่ก็ไม่ได้อะไรมากก็ยื่นของให้พร้อมบอกขับไปเองนะจ๊ะ ขับรถเข้าไปด้านในมองเลขหาเคบินตัวเองแทบไม่เจอเพราะหิมะกลบป้าย แต่ก็เจอจนได้ เคบินน่ารักมาก อยู่ในดงป่ากันเลยทีเดียว แต่พอเข้าในบ้านมันอุ่นสบายมาก มี 2 ห้องนอนพร้อมครัวและส่วนนั่งเล่นพร้อมทีวีตู้เย็นครบครัน ระเบียงหลังบ้านนั่งจิบไวน์ชมวิวธรรมชาติได้ แต่นี่มันหนาวเกิน พวกเราเลยขนของเข้าบ้านแล้วออกไปเริ่งร่าเล่นหิมะกันพักใหญ่ ในขณะที่แม่ครัวเก๋ทำกับข้าวไปจิบไวน์ไปเช่นเคย กับข้าวเสร็จก็มานั่งเพลินเพลินเจริญใจกันไปเช่นเคย คืนนี้นอนอุ่นจนร้อนเพราะผ้าห่มไฟฟ้า
.
.
เสร็จอาหารเช้า เก็บของ check out เลย (การ chk out คือปิดบ้านเอากุญแจไปคืนที่สำนักงานแค่นี้แหละ ไม่เจอใครก็หย่อนไว้ 555) ออกจากที่พักเลี้ยวขวาไป 5 นาทีก็ถึงที่ทำการอุทยานในส่วนท่องเที่ยว Dove lake (Cradle Mt. National park มันใหญ่มาก แล้วแต่ว่าคุณจะไปเที่ยวอะไร ก็ไปที่จุดนั้น เหมือนเขาใหญ่ ที่มีหน่วยฯต่างๆ ทั้งด้านโคราชทั้งด้านปราจีนฯ) เราไปจอดรถที่ลานจอดจ่ายค่าธรรมเนียม หมอตัดสินใจสอยเสื้อหนาวของ Cradle Mt. สีแดงสดสวยงามและอุ่นดีมา 1 ตัว (คุ้มมากเพราะต่อไปหนาวกว่านี้ 555) แล้วรอ shuttle bus ของอุทยานพาเข้าไปที่ Dove lake ระหว่างทางมีจุดจอด 3-4 จุด เพื่อลงไป trek ได้ มีทั้ง Trail สั้นและยาว คือเที่ยวได้ทั้งวันถ้าชอบธรรมชาติ แต่ส่วนมากก็จะไปลงสุดทางที่ Dove lake กัน
เดินย้อนกลับมาจุดเริ่มต้นเดินไปทางขวา ถึงสามแยก เราเดินเลี้ยวขวาอีกทีเข้าป่าไป เดินขึ้นเนินลงเนินไปสักพัก ไม่มีไรน่าสนใจนัก มีแค่ป่าชื้นๆ ชมพืชพรรณไม้แปลกตาไปสักพักก็ย้อนกลับมาสามแยกเดิม เพื่อไปอีกด้านคือ Boat shed เดินลงเนินไปไม่ไกลได้วิวนี้ ฟ้าเริ่มเปิดเล็กๆ เสียดายจัง ถ้าฟ้าเปิดคงได้ภาพภูเขาสะท้อนทะเลสาปเหมือนรูปที่ติดผนังในที่พัก



จาก Sheffield เราก็เหยียบยาวๆเข้าไป Luanceston คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของเก๋ เพราะมีธุระต้องรีบกลับ เราเข้าไปถึง Luanceston ตอนบ่ายแก่ๆวันนี้แดดดี ฟ้าใสกิ๊ง ที่พักของเราเป็นตึกเก่า แบบ 2 ห้องนอนพื้นเป็นไม้ด้วย เดินทีดังเอี๊ยดอ๊าดกันเลย เราจอดรถไว้ที่โรงงแรม พี่วัฒน์บอกเหนื่อยขอนอนพัก เรา 3 คนเลยเดินเล่นเข้าไปในเมืองกัน ต่างคนต่างเดินตามสะดวก บางคนช็อป บางคนชมเมือง เราเองแทบจะเดินทั่วเมืองเถอะแม้ Luanceston ดูเป็นเมืองใหญ่แต่ Downtown ก็มีไม่กี่ Block ตึกทุกตึกล้วนมีประวัติ สร้างมาเป็นร้อยๆปีแล้ว เดินถ่ายรูปเพลินเลย ย่านกลางเมืองผู้คนเดินขวักไขว่แต่แค่ถนนเส้นหลัก มีร้านขายของ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ แต่พอสี่โมงกว่าๆก็เริ่มจะปิดร้านกันแล้ว เดินทั่วเมืองก็วนมาทางสวนสาธารณะริมแม่น้ำ ชาวเมืองออกมาวิ่งจ็อกกิ้งกัน บ้างก็พาหมามาเดินเล่น บ้างก็ปั่นจักรยาน คุณภาพชีวิตดีจัง
คืนนี้เราไม่ทำอาหาร แต่จะไปดินเนอร์ฉลองกันเพื่อส่งเก๋กลับบ้านพรุ่งนี้เช้า เปิดโลกโดดเดี่ยวดูร้านแนะนำ เลือกกันอยู่หลายร้าน ตัดสินใจเอาร้านสเต็กละวะมาออสเตรเลียทั้งทีต้องลองสเต็คเสียหน่อย เพราะเนื้อเค้าดีมากๆเลย (จากที่ซื้อมาผัดมาย่างกันทุกวัน) ขับรถเข้าไปเพราะขากลับไม่อยากเดินหนาวๆมืดๆ ร้าน Black Cow อยู่หัวมุมถนน มองดูไม่ใหญ่นัก เข้าไปดูมีโต๊ะว่างแต่นั่นจองหมดแล้ว! จะได้โต๊ะก็ 2 ทุ่ม ต้องรอชั่วโมงนึง อืมมม…ตกลงกันว่ารอ แต่ไม่มีที่นั่งรอนะ ต้องไปรอนอกร้าน หนาวเกินไปนะ เลยเดินไปหาเบียร์จิบกันระหว่างรอ มองตรงไปประมาณ 3 บล็อคมีอาคารใหญ่ (ใหญ่ของเค้าก็แค่ 2-3 ขั้น) แต่มีไฟสว่างเป็นชื่อเบียร์ท้องถิ่นชื่อดัง โอ้ว…สงสัยโรงเบียร์ว่าแล้วก็เดินกันไป พอไปถึงใกล้ๆก็ขำกันจนหน้าแดง มันเป็นโรงเบียร์จริงๆนะ โรงงานเบียร์เลยเถอะ 555 เลยต้องแวะเข้า Sport bar ใกล้ๆนั่งจิบเบียร์คุยกันฆ่าเวลา นอกจากเรา 4 คนก็มีแค่บาร์เทนเดอร์ 2 คน เงียบจริงๆ