Town of Tea, Ella

ศรีลังกาวันที่ ๓ เอลล่าเมืองแห่งชา
บ่ายวันที่ 3 ตอนเช้าบุกป่าซาฟารีแต่ไม่เจอเสือดาว พกความเศร้าย้ายที่นอนอีกครั้ง จาก Tissa ขึ้นเหนือไปตอนกลางของศรีลังกา นอนกลางไร่ชาเมือง Ella ปรึกษากับหนุ่มดูแลที่พักเรื่องรถจาก Tissa ไป Ella ได้ความว่า ถ้าไปบัสต้องต่อรถ 2 ครั้ง ไม่สะดวกแน่นอน ให้โรงแรมติดต่อเหมารถให้เลยดีกว่า รถตู้เล็กกลางเก่ากลางใหม่ 4 ประตู นั่งสบาย ในราคา 11,500 รูปี พี่คนขับไม่ตีนเปล่าและไม่ตีนผี ค่อยหลับอย่างสบายใจหน่อย ออกจาก Tissa บ่ายโมงกว่า ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชม. ในการไป Ella ช่วงก่อนถึง Ella จะเป็นทางเขา เพราะ Ella เป็นเมืองในหุบเขา อากาศเย็นตลอดปี ถึงได้เป็นแหล่งผลิตชาชั้นเลิศ
ถนนในช่วงแรก ผ่านเมืองเล็กๆหลายเมือง มองดูเหมือนๆกันไปหมด จนเริ่มขึ้นเขา ถึงมีวิวให้พอได้เพลิดเพลินตาบ้าง พี่คนขับพาเราแวะดู Ravana Fall น้ำตกสวยริมถนน เป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมในละแวกนี้ มีรถจอดเยอะแยะ ผู้คนคึกคักเพราะห่างจากตัวเมือง Ella แค่ 5 กม. เริ่มเจอคนจีนคนเกาหลี ไม้เซลฟี่ฉวัดเฉวียนผ่านหัวไปมา



พี่คนขับบอกว่าที่พักที่ยูจองมา โนวิว นะ หาใหม่มั๊ย ไอมีแนะนำนะ วิวสวย น้องนิ่มผู้นำทริปของเราหันไปยิ้มเชือดเฉือนบอกว่า ไม่เป็นไร เอาอันนี้แหละ ฉันไม่เอาวิว ฉันจะนอนกลางไร่ชา รถผ่านเข้าถึงตัวเมือง นึกว่าผ่ามิติมาที่วังเวียงเมื่อ 10 ปีก่อน เมืองไม่ใหญ่มาก ถนนหลักเส้นเดียวที่ผ่านกลางเมืองเต็มไปด้วยที่พักและร้านอาหาร ฝรั่งหัวทองหัวน้ำตาลเดินกันไปมา นั่งกินกาแฟบ้าง จิบชาบ้าง กินโรตีบ้าง คึกคักในระดับวังเวียง 10 ปีที่แล้ว (ไม่ใช่ตอนนี้ที่กลายเป็นเมืองใหญ่ตึกใหม่ๆขึ้นเต็มพรืด) ผ่านกลางเมืองไปลอดอุโมงใต้ทางรถไฟก็ถึงที่พัก Tunnel Gap Guesthouse ที่เราจะนอนกัน 3 คืน

แบกเป้เดินขึ้นเนินไปถึงที่พัก เจอกับ Suda หรือ สุดา ชื่อจำง่ายสุดแล้วในทริปนี้ เจ้าของที่พักที่น่ารักมากมาย ทักทายคุยกันแล้วไปสรุปตรงที่ว่า วันนี้เป็นวันสิ้นปี สุดากับครอบครัวจะไปวัดตอนกลางคืน อารมณ์สวดมนต์ข้ามปี พวกเราขอไปด้วย สุดาบอกว่ายินดีเลย ฉันมีรถตู้เราไปด้วยกัน เออ แฮะ… ง่ายดี


นัดแนะเวลากันแล้ว พวกเราลงไปเดินเล่นในเมือง ทำความรู้จัก Ella กันนิดหน่อย ก่อนจะไปจัดการมื้อเย็นที่ร้าน Mateh Hut ข้างๆอุโมงใต้ทางรถไฟ ที่น้องนิ่มบอกว่า Tripadviser แนะนำ และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ประทับใจกับความอร่อยและราคาที่เป็นมิตร แต่เจ้าของร้านเป็นมิตรยิ่งกว่า ร้านมีแค่ 3-4 โต๊ะ รับลูกค้าได้ 10-12 คน เต็มที่ เรามากินเร็ว พอคิดเงินเดินออกมาถึงเห็นคนมารอคิวยาวไปเป็นสิบคน พี่เค้าดังจริงๆ
ได้เวลานัดสุดาเอารถตู้มาพาพวกเราเข้าไปวัดป่า ไม่ไกลจากบ้านนัก วันนี้ฝนลงปรอยๆ อากาศจึงเย็นยะเยือก แต่ยังเห็นชาวศรีลังกาเดินกางร่มฝ่าความมืดไปวัดกันตามรายทาง ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังแว่วๆมาก่อนเลย ถึงที่วัด สุดาพาไปกราบเจ้าอาวาส ที่ยังหนุ่มๆอยู่ ท่านถามสุดาว่าพวกนี้เป็นพุทธมั๊ย คงกลัวจะไม่เข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติชาวพุทธ กราบท่านแล้วท่านให้กุญแจกับสุดาและครอบครัวเพื่อไปเปิดโบสถ์กราบพระ โบสถ์เล็กๆแต่เก่าแก่นับร้อยปี มีต้นโพธิ์ที่ชาวศรีลังกาไปวางดอกไม้บูชากันอยู่ใกล้ๆโบสถ์ จากนั้นเดินกลับมาที่ศาลาพากันเข้าไปนั่งฟังพระสวด ชาวศรีลังกาในชุดขาวนั่งรายล้อมกันด้านใน โดยมีพระสวดมนต์อยู่ตรงกลาง เจ้าอาวาสให้คนเอาพรมมาปูให้พวกเรานั่งกลางศาลาประหนึ่งแขก VIP บทสวดคุ้นเคยแบบสวดตามได้ นึกอยู่ว่าต้องสวดมนต์ข้ามปีจริงๆเหรอ ดีที่สุดาสะกิดเรียกว่ากลับมั๊ย เพราะสุดามีลูก 2 คน คนเล็กแค่ 2 ขวบ เด็กน้อยง่วงนอน เลยได้กลับที่พักเร็ว



ได้รับพรในวันสิ้นปีก่อนข้ามผ่านไปปีใหม่ที่วัด Yahalamadiththa Ancient Temple
วันที่ ๔ สวัสดีปีใหม่กลางไร่ชา
ตื่นเช้ารับปีใหม่ขึ้นมากลางไร่ชา อยากจะถ่ายรูปคนเก็บใบชา แต่สุดาบอกว่าปีใหม่หยุดนะคะ อดกัน ไม่ต้องถ่ายรูปก็ได้ แค่ตื่นออกมานั่งหน้าที่พักมองวิวภูเขาไปไกลๆ มีไร่ชาอยู่ข้างๆ อากาศเย็นๆสดชื่น ก็มีความสุขแล้ว นกอะไรไม่รู้ร้องจิ๊บๆๆๆๆ ทั้งคืนจนเช้า ชากาแฟเริ่มออกมาวางให้ จิบชาร้อนกับอากาศหนาวๆตอนเช้าดีที่สุด วันนี้แผนเที่ยวออกจะสบายๆ เอ๊ะ!ก็ไม่สบายนัก เพราะเราจะปีนเขา

Ella เมืองไม่ใหญ่เดินได้ทั้งเมือง ไม่ต้องเรียกรถ จากที่พักก็เดินไปสถานีรถไฟ ถ่ายรูปเล่นก่อนได้ ถ้าอยากได้บรรยากาศแบบมีชีวิตชีวา ให้มาช่วง 6:30, 9:30, 11:00, 12:00 ขบวนสุดท้ายประมาณ 19:00 เพราะจะมีขบวนรถไฟเข้า (ดูเวลาที่สถานีรถไฟอีกครั้ง) คนจะคึกคัก ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้งพวกนั่งรถไฟเล่นและพวกเดินทางระหว่างเมือง สถานีรถไฟกลางเก่ากลางใหม่แต่มีเสน่ห์ใช้ได้ แถมด้วยนายสถานีสุดเท่ห์ในชุดเครื่องแบบสีขาวจั๊วะ




เป้าหมายแรกของวันนี้คือขึ้นไปชมวิวบน Little Adam Peaks ไม่ได้ปีนป่ายอะไรมากมายนัก อารมณ์เหมือนเดินขึ้นจุดชมวิวภูชี้ฟ้า แต่ไกลกว่านั้นหน่อย วันปีใหม่ผู้คนก็คึกคัก แต่ไม่ได้แน่นจนน่าอึดอัด เตรียมรองเท้าใส่สบาย น้ำ ขนมนิดหน่อย อย่าลืมเสื้อกันลมหรือผ้าพันคอ เพราะด้านบนลมแรงมาก




เดินขึ้นไปก็ชันพอหอบแฮ่ก แต่ขึ้นไปถึงด้านบนแล้วก็ลืมความเหนื่อยได้เลย นั่งรับลมเย็น มองวิวต้นไม้เขียวๆ ท้องฟ้าสีฟ้าใสๆ มีพระพุทธรูปให้กราบไหว้อยู่ในศาลาเล็กๆ ถ้ายังไม่พอใจก็ไต่ลงไปขึ้นยอดเขาข้างได้อีก มีให้เดินไปได้อีก 2-3 ยอด เอาตามชอบ แต่แนะนำให้ไปอย่างน้อยอีกยอดข้างๆ ไต่ลงยากหน่อยเพราะชันแต่ไปได้แหละ ไปถึงแล้วมีก้อนหินให้นั่งเล่นได้เพลินมากๆ






นั่งรับลมจนพอใจ ก็เดินกลับลงมา พอถึงรั้วทางเข้ายังไม่เลี้ยวกลับเข้าเมือง ให้เลี้ยวขวาเข้าไปทาง 98 Acres resort & spa เป็นที่พัก 5 ดาว ที่น่าพักที่สุดแต่เต็มตลอด จองไม่ทัน แต่เราเดินเข้าไปดูได้ เลยเข้าไปนั่งจิบชากันสักหน่อยที่ร้านอาหารวิวสวยมากๆ สั่งชามะนาวมาจิบหลังจากปีนเขา ชาดีมันชุ่มคอชื่นใจมากๆ แถมอากาศก็ดีบรรยากาศก็แจ่ม แทบไม่อยากลุกไปไหนต่อกันเลย



พักขาพร้อมจิบชาชมวิวแล้วเดินทะลุไปด้านหลัง ผ่าน Newbourge Tea Factory ไป มองลงไปหุบเขาด้านซ้ายจะเห็นโค้งทางรถไฟ “9 Arches Bridge” ที่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ Ella ที่ใครๆก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่ ความสวยงามของโค้งทางรถไฟข้ามหุบเขาสั้นๆแค่ 90 ม.บวกกับ 9 โค้งของสะพาน อาจไม่ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนทางรถไฟในยุโรป แต่ก็ดูมีเสน่ห์เพราะล้อมรอบด้วยไร่ชา




ถ้าอยากมาถ่ายรูปกับสะพานนี้เฉยๆก็มาตอนไหนก็ได้ แต่ช่วงเช้าคนจะน้อย ถ้าช่วงอื่นคนจะเยอะ เดินกันเต็มสะพาน ถ้าอยากมาถ่ายรูปสะพานพร้อมมีรถไฟวิ่งผ่านต้องเช็คเวลารถไฟที่วิ่งไป-กลับระหว่าง Ella Station กับ Demodara Station เพราะสะพานนี้อยู่ระหว่าง 2 สถานีนี้ ถ้าอยากนั่งรถไฟผ่านทางนี้ก็สามารถเลือกนั่งจาก Ella Station ไป Demodara ได้ แล้วเรียกรถตุ๊กๆกลับมาเพราะห่างกันแค่ไม่ถึง 10 กม. หรือจะรอรถไฟกลับก็ได้


ทางรถไฟสายนี้มีรถไฟวิ่งไม่ถี่นัก จึงมีช่วงว่างให้คนไปเดินเล่นบนทางรถไฟได้ ตามจริงแล้วมีป้ายบอกอยู่ทั่วไปตั้งแต่สถานีว่าห้ามเดินบนรางรถไฟ แต่เหมือนไม่สามารถห้ามนักท่องเที่ยวหรือแม้แต่คนท้องถิ่นได้ เห็นเดินกันตลอดทาง บางคนเดินมาจาก Ella Station มาเที่ยวสะพานเลยด้วยซ้ำ พวกเราถ่ายรูปเล่นที่สะพานจนบ่ายแก่ แล้วเลือกเดินเลียบรางรถไฟกลับไปที่ Ella Station พร้อมกับนักท่องเที่ยวหลายๆคน (อย่าลืมดูรอบรถไฟด้วยนะ เพราะบางช่วงไหล่ทางแคบมาก)


คืนนี้กลับไปกินข้าวเย็นที่ Matey hut เหมือนเดิม ถูกใจก็ไปซ้ำได้ เจ้าของร้านเป็นมิตรเหมือนเดิม พร้อมถามพวกเราว่าพรุ่งนี้จะมากินอีกมั๊ย พอบอกว่าแน่นอน ฮีเลยบอกว่าพรุ่งนี้ปิด อ้าว! ฮีบอกว่าจะปิด 2-3 วันเพื่อปรับปรุงร้าน
กลับที่พักไปนั่งจิบเบียร์ รับความหนาวยะเยือกหน้าที่พัก แขกห้องอื่นๆผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาทักทายพูดคุย แต่ละคนอยู่ที่ Ella กัน 2-3 คืนทั้งนั้น มันเหมือนไม่มีอะไรเที่ยวนักแต่ก็มีเสน่ห์เล็กๆในตัวที่ทำให้ผู้คนอยู่ได้หลายๆวัน
วันที่ ๕ ทำความรู้จักกับชาซีลอน
ในเมื่อมาอยู่ท่ามกลางไร่ชา ก็ต้องทำความรู้จักกับชาศรีลังกาสักหน่อย วันนี้พวกเราก็เลยจะไปเที่ยวดูโรงงานชา Tea Plantation เป็นเหมือนโปรแกรมบังคับของนักท่องเที่ยวแทบจะทุกคนที่มา Ella ก็ว่าได้ ถาม Suda ว่าเราควรไปที่ไหนดี เพราะมีโรงงานชาตั้งหลายแห่ง Suda แนะนำให้ไป Halpe Tea Factory ก็เลยคุยกับ Suda เช่าเหมารถของที่พักพาเที่ยว รายการหลักๆ ก็ไป โรงงานชา ไปวัด ไปถ้ำ (Suda แนะนำ) แล้วก็เดินเล่นในไร่ชา ถ่ายรูปวิวสวยๆ ส่วนอื่นก็แล้วแต่เราจะให้รถพาไป
ที่แรกที่ไปคือ Upa Halpewatte Tea Factory ที่ผลิตชาส่งให้หลายๆแบรนด์เอาไปปะยี่ห้อขายอีกต่อ และก็มียี่ห้อ Halpe ของตัวเองด้วย มีวิทยากรแนะนำใบชา บอกเล่าประวัติ วิธีการดูชา วิธีการผลิตชา และให้เดินดูขั้นตอนการผลิต จบด้วยการชิมชา แล้วก็เดินซื้อชากันคนละกล่อง สองกล่อง เหมือนเป็นอุปทานหมู่


จบจากเที่ยวโรงงานชา รถวนผ่านตัวเมือง เลยบอกคนขับจอดให้พวกเราแวะร้านกาแฟ Ella เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ร้านกาแฟดีๆมีให้เห็นหลายร้าน ต่างกับ 3-4 วันที่ผ่านมาหาร้านกาแฟดีๆไม่ได้เลย มีโอกาสเจอร้านกาแฟดีๆต้องขอเพิ่มคาเฟอีนเข้าร่างกายสักหน่อย เลือกร้าน Star bean นั่งจิบอเมริกาโน่กับชีสเค้ก ถือว่าใช้ได้เลย
จุดต่อไปที่รถพาไป คือ Ravana’s Cave & Ravana Temple รถพาขึ้นพวกเราเขาไปไม่สูงมากก็จอดรถ แล้วคนขับก็ชี้ทางให้เราเดินขึ้นไปเที่ยวถ้ำ ไม่รู้ถ้ำอะไรยังไง เพราะไม่ได้หาข้อมูลมา ก็เดินๆขึ้นไปทางขึ้นเป็นบันได ชันขนาดเดินพอหอบ แต่ระหว่างทางปลูกดอกไม้สวยพอเป็นกำลังใจ เดินไปค่อนทางจะเจอสกายเล้าจ์ ที่สามารถแวะนั่งจิบเครื่องดื่มราคาหลักสิบแต่วิวหลักแสน แต่แนะนำว่าอย่าเพิ่งแวะ ให้ไปต่ออีกหน่อยก็ถึงปากถ้ำแล้ว แล้วก็ไปยืนงงๆกันที่ปากถ้ำ เพราะมันเข้าไปในถ้ำไม่ได้ มันมีแค่นั้น






ยืนงงจนหายเหนื่อยก็เดินกลับลงมาแวะสกายเล้าจ์สั่งเครื่องดื่มมานั่งหันหน้าเข้าหากันจิบไปบ่นไป ว่าปีนกันขึ้นมาทำไมวะ ไม่เห็นมีอะไรเลย ว่าแล้วก็ให้หันหน้าออกไปมองวิว ความโมโหโกรธาที่มากับความเหนื่อยจะหายไปในทันใด กับภาพทิวเขาเบื้องหน้า เลิกบ่นกันไปเลย นั่งจิบชา จิบกาแฟ หรือดูดน้ำมะพร้าว พร้อมซึมซับบรรยากาศกันไป เทีอกเขาตรงข้ามคือ Little Adam’s Peak ที่พวกเราปีนกันไปเมื่อวานนี่เอง แล้วมาสะกิดใจอีกรอบ เมื่อวานปีนยอดนั้น วันนี้มาปีนยอดนี้ จะปีนกันไปถึงไหน แต่อย่ามัวแต่นั่งใจลอย เพราะอาจโดนลิงน้อยกระโจนเข้ามาฉกมะพร้าวจากมือได้ 55555





ลงจากถ้ำมาถึงลานจอด เดินเลยเข้าด้านในไปอีกไม่ไกล เป็นพื้นที่วัด Ravana Temple ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าเขตวัดเหมือนเคย มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ให้ถ้ำที่เจาะเข้าไปในเชิงเขา โถงถ้ำขนาดเล็กๆ เข้าไปนมัสการพระได้ ด้านข้างๆก็มีต้นโพธิ์ สังเกตได้ว่าวัดที่ศรีลังกามักมีต้นโพธิ์อยู่ด้วยเสมอ


จบโปรแกรมถ้ำและวัด รถพาลงจากเขา ถามพวกเราว่าจะไป Ravana Fall ด้วยมั๊ย พวกเราบอกไม่ไป เพราะแวะตอนนั่งรถมา Ella วันแรกแล้ว บอกให้รถไปส่งพวกเราที่ตัวเมืองเลย จะเดินชิลล์กันอีก พ่อหนุ่มคนขับบอกไม่ได้ ยังมีอีกโปรแกรมที่ Suda สั่งมา ยูต้องไปนะ เอา..ก็ไป คืออะไรเหรอ มันคือเดินลุยไร่ชา ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกนั่นเอง คนขับก็คงพานักท่องเที่ยวมาบ่อย ฮีก็รู้ตำแหน่งรู้มุมมองในการถ่ายรูปพอสมควรนะ มีถ่ายแบบ foreground เป็นใบชา ถ่ายซูม ถ่ายมุมกว้าง พวกเราก็เลยสนองความสามารถ โดยการวิ่งกันไปทั่วไร่ชาให้ฮีถ่ายรูปให้

ยอดอ่อนใบชา



บ่ายแก่ๆก็จบโปรแกรมการทำความรู้จักกับชาซีลอน (อ่านเรื่อง ศรีลังกากับชาซีลอน เพิ่มเติมได้ https://iammanussite.com/2019/01/25/ceylontea/ ) ตอนเย็นเดินออกไปหาข้าวเย็นกิน ได้เห็นตลาดข้างทางที่สุดาบอกว่าไม่ได้มีทุกวัน พืชผักที่เอามาขายจะเป็นผลผลิตที่ปลูกกันเอง แต่ละแผงจึงมีไม่มาก ได้มีเวลาเดินชมเมืองเป็นการร่ำลาสมความตั้งใจ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะขึ้นรถไฟสายชาไปเมืองชื่อหวานแหวว Kandy กัน




Leave a Reply