เที่ยวน่าน-แพร่ | ตอน บอกรัก ฮักน่าน
ปลายเดือนพฤศจิกายน 2563

ทริปนี้เรามาบอกฮักน่านแบบไม่กระซิบ แต่ฮักน่านแบบบอกรักดังๆ อาจจะขัดกับตำนานภาพจิตรกรรมฝาผนัง กระซิบรัก อันเลื่องชื่อบันลือโลก ของ ปู่ม่าน-ย่าม่าน ที่วัดภูมินทร์อยู่สักหน่อย แต่เพราะไปน่านคราวนี้ หลังจากลงเครื่องที่สนามบินน่านนครแล้ว พวกเรารับรถเช่าเสร็จก็ออกนอกเมืองกันเลย ผู้คนส่วนมากมาถึงน่านแล้วก็คงเข้าไปเที่ยวกันในตัวเมืองไปกระซิบรักกันที่วัดภุมินทร์ แล้วก็เที่ยวหอคำ เที่ยววัดช้างล้อม ไปกินขนมหวานป้านิ่ม ไปนมัสการพระธาตุแช่แห้ง แล้วไปชมแสงเย็นที่วัดพระธาตุเขาน้อย แต่พวกเราข้ามทั้งหมดนั่นออกนอกเมืองกันเลย ไม่เข้าไปกระซิบรักกับใครๆ
แผนเที่ยวน่าน (3 วัน 3 คืน)
+ น่าน – สะปัน (นอน 🛏 พบรัก ณ สะปัน)
+ เที่ยวสะปัน – เที่ยวบ่อเกลือ – ปัว (นอน 🛏 โฮมสเตย์ตานงค์)
+ เที่ยวปัว – เมืองน่าน (นอน 🛏 น่านเกสเฮาส์)
+ ไหว้พระธาตุแช่แห้ง –> แพร่ (อ่านต่อตอนเที่ยวแพร่)

มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตามถนน 1069 แวะพักจุดแรกที่ “เดอะวิว @กิ่วม่วง” ร้านดังของอ.สันติสุข มีทั้งส่วนขายอาหารและขายกาแฟ แยกส่วนจากกัน คนจะพลุกพล่านหน่อยเพราะเป็นร้านดัง แต่ไปวันธรรมดาก็มีคนไม่ถึงกับแน่น ยังพอมีมุมสงบให้ได้จิบกาแฟแลทิวทัศน์ได้ มุมมองของร้านเห็นทิวเขามุมกว้างสวยงามจริงๆ มาถึงช่วงบ่ายแสงเข้าด้านนี้พอดี

ขับรถตามถนน 1069 ไปจนถึงสามแยกคือจุดตัดของถนน 1069 กับถนนลอยฟ้า 1081 ถ้าเลี้ยวซ้ายไป อ.ปัว เลี้ยวขวาไป อ.บ่อเกลือ พวกเราเลี้ยวขวาไปทางบ่อเกลือ จากสามแยกไปอีกไม่ไกลยังมีร้านกาแฟให้แวะพักอีก 2 จุด คือ 29 Base เฮือนกาแฟ กับ ร้านกาแฟดอยกว่าง Atlasnan Coffee แต่ 2 ร้านนี้เหมาะมาช่วงก่อนเที่ยงเพราะบ่ายจะย้อนแสง ถ่ายรูปไม่สวย บอกไว้สำหรับสายถ่ายรูป
ถนนลอยฟ้า 1081 คดเคี้ยวเลี้ยวลดยิ่งกว่าใจนาง คนขับพาเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนถึงจุดที่มีคนจอดรถกันคึกคักเหมือนมีตลาดนัด มันคือจุดชมวิวถนนคดโค้งขึ้นเขาให้จินตนาการได้เป็นเลข 3 เป็นจุดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวมาจอดรถถ่ายรูปกัน แต่ก็อยากให้ระมัดระวังกันมากๆ หลายคนไปยืนถ่ายรูปกลางถนน รถวิ่งมาเร็วๆแรงๆ ไม่กลัวไม่หลบ บางคนก็ไปยืนตรงโค้ง รถสาดโค้งมาอาจจะเฉี่ยวได้เลยนะ อันตรายมาก | พิกัด 18.9725841,101.0345919


จากสนามบินน่านนคร ขับรถโค้งไปโค้งมารวม 2 ชม.กว่าๆ พวกเราก็ถึงบ่อเกลือ แวะซื้อเสบียงกรังสำหรับค่ำคืนนี้นิดหน่อย เพราะมีร้านค้าขนาดใหญ่ให้ซื้อของ แล้วขับต่อไปอีกแค่ 9 กม. คืนนี้เราจะไปนอนกันที่ สะปัน
“หมู่บ้านสะปัน” เป็นชุมชนเล็กๆ เงียบสงบท่ามกลางขุนเขาไอหมอกและสายน้ำ เป็นจุดที่แม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน คือลำน้ำว้า และ ลำน้ำปัน จึงเรียกกันว่า “สบปัน” และกลายมาเป็น “สะปัน” ในที่สุด
สะปันเริ่มโด่งดังขึ้นมาเพราะ”ความไม่มีอะไร” คือหมู่บ้านเล็กๆนี้ไม่มีอะไรจริงๆนอกจาก ทิวเขากับสายน้ำ การมาเที่ยวสะปันคือการมาพักผ่อนนอนฟังเสียงน้ำไหล ตื่นเช้ามาจิบกาแฟอุ่นๆกับสายหมอก พวกเราเลือกพักที่ “พบรัก ณ สะปัน” ที่พักแบบกระโจมริมน้ำ ชอบบรรยากาศที่พักมาก นับว่าตัดสินใจไม่ผิด ตลอดริมน้ำมีที่พักอีกหลายที่ แต่ละที่มีห้องพักหรือกระโจมพักไม่มาก แต่ก็ยังพอมีพื้นที่สำหรับคนมากางเต็นท์นอนได้ด้วย


ยามเช้าในสะปัน เดินเล่นฝ่าสายหมอกจากที่พักไปถึงสะพาน แวะดูที่พักอื่นๆ แต่ละที่ก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป วันธรรมดาที่พักก็ยังเต็มทุกที่ ถ้าเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดยาว นอกจากห้องพักเต็มแล้วลานกางเต๊นท์ก็เต็มด้วย สะปันคงไม่สวยสงบเหมือนที่ควรเป็น มันเป็นวิถีของแหล่งท่องเที่ยวหลายๆที่เคยสวยสงบแล้วโด่งดังได้รับความนิยมขึ้นมา




กลับที่พักกินข้าวต้มร้อนๆอาบน้ำแต่งตัว แล้วไปเที่ยว “น้ำตกสะปัน” น้ำตกขนาดเล็กๆ แต่ก็สวยงามพอตัว ต้องเดินขึ้นไปแบบพอได้เหงื่อซึมๆ ลงจากน้ำตกก็ขับรถขึ้นไปที่ “วัดสะปัน“” ที่อยู่บนเนินเขา เจอร้านกาแฟวิวสวย “หยุดเวลา คาเฟ่” มองเห็นหมู่บ้านสะปันด้านล่างได้ มาช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนก็เป็นนาข้าวหลังเก็บเกี่ยว ถ้ามาก่อนเก็บเกี่ยวคงเขียวสวยไปทั้งหมู่บ้าน





โบกมือลาสะปัน ขับรถย้อนกลับไปที่บ่อเกลือ แวะดู “บ่อเกลือโบราณ” เป็นบ่อเกลือสินเธาว์ภูเขาที่ยังคงทำการต้มเกลือกันอยู่ ตัว “อ.บ่อเกลือ” มีขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก ถนนสายหลักของนักท่องเที่ยว มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ มีร้านขายของให้เดินเที่ยวเล่นได้พอสมควร







ชมบ่อเกลือแล้วมากินไก่อบโอ่งเป็นอาหารกลางวัน อิ่มสบายๆในราคาแสนถูก บ่ายนี้เราจะขับรถบนถนนลอยฟ้ากันอีกครั้งตาม “ถนนลอยฟ้า 1256” จากอ.บ่อเกลือ ไป อ.ปัว ระหว่างทางมีจุดชมวิวอยู่หลายจุด จุดที่คนนิยมแวะคือ “จุดชมวิว 1715” มีระเบียงชมวิวที่อช.ดอยภูคาทำไว้อย่างดี
จุดท่องเที่ยวอีกจุดคือจุดชมต้นชมพูภูคา ถ้าอยากเห็นดอกต้องมาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่พวกเราก็แวะทุกครั้งที่ผ่านมา แวะมาไหว้ศาลกับสูดอากาศดีๆสักหน่อย จากจุดชมชมพูภูคา ก็ไปแวะที่จุดกางเต้นท์ของอช.ดอยภูคาที่ “ลานดูดาว” เพราะมีร้านกาแฟ มีร้านขายของฝาก แวะพักจิบกาแฟสบายๆค่อยเดินทางต่อ



มาถึงอ.ปัวตอนบ่ายแก่ๆ แวะ “วัดพระธาตุจอมแจ้ง” อ.ปัว ที่อยู่บนเขาเป็นจุดชมวิวเมืองปัวได้ด้วย ขับรถขึ้นไปด้านบนได้เลยหรือใครอยากแสดงพลังศรัทธาก็เดินขึ้นไปได้
ที่ ปัว พวกเราพักที่ “โฮมสเตย์ตานงค์ ” ที่อยู่กลางทุ่งนาเลย แต่มาหลังเก็บเกี่ยวก็ได้แต่ทุ่งแห้งๆ บางแปลงก็กำลังปลูกผักกาดเขียวเพื่อส่งโรงงานผักกาดกระป๋อง รอรอบปลูกข้าวนาปรังอีกที
ตอนเย็น พี่ดูแลที่พักแนะนำว่าคืนวันศุกร์มี “ถนนคนเดินเมืองปัว” บริเวณหน้าวัดปรางค์ พวกเราก็เลยขับรถไปเที่ยวกัน ถนนคนเดินมีขายของหลากหลาย ส่วนมากเป็นอาหาร ซื้อแล้วเอามานั่งกินที่ลาน มีดนตรีเล่นให้ฟังเพลินๆ บรรยากาศเหมือนถนนคนเดินในตัวเมืองน่าน


ยามเช้าที่ปัว อากาศเย็นสบาย ตื่นมาเดินเล่นรอบโฮมสเตย์ มีไร่ข้าวโพด ไร่ผักกาด บางแปลงก็กำลังปรับพื้นที่ ถ้าได้มาช่วงหน้านา คงสวยสดชื่นมากๆ อาบน้ำแต่งตัวมากินอาหารเช้า ซึ่งเป็นข้าวต้มอีกล่ะ
วันนี้จะเที่ยวในปัว แล้วขับรถกลับเข้าไปนอนในตัวเมืองน่าน เริ่มต้นที่ “วัดบ้านต้นแหลง” วัดนี้สวยจริงๆ เป็นศิลปะไทยล้านนา มีอายุกว่า 400 ปี แต่ยังสวยสดใสคงเพราะมีการบูรณะตลอด แล้วไปต่อที่ “วัดภูเก็ต” วัดที่มีชื่อไม่เข้ากับจังหวัด แต่ความตริงเป็นวัดที่อยู่บนเขาหรือภูของหมู่บ้านเก็ต แปลกดี วัดภูเก็ตเป็นวัดดังของนักท่องเที่ยวคนก็เลยเยอะ ถ้าจอดรถด้านล่างจะเดินผ่านถนนที่มีร้านขายของฝาก อย่างผ้าทอ รูปเขียนสวยๆ ก่อนขึ้นบันไดไปบนวัด ด้านข้างๆจะเป็น “ฮักนาไทลื้อ & ฮักนากาแฟ” เป็นร้านขายของสร้างด้วยไม้ไผ่อยู่กลางทุ่งนา มีร้านกาแฟ ร้านขายของฝาก ขายผักผลไม้ ถ้าขับรถอ้อมขึ้นไปจอดด้านหลังวัดก็ไม่ต้องเดินขึ้นบันได บนลานวัดมีระเบียงชมวิว มองลงมาเห็น ฮักนาไทลื้อ ได้



จากวัดภูเก็ตไปแวะพักจิบกาแฟที่ “กาแฟบ้านไทลื้อ” เป็นจุดพักรถนักท่องเที่ยวแบบว่าทุกทัวร์ทุกกลุ่มจะมา รถเลยแน่นแทบไม่มีที่จอด โดยเฉพาะวันที่ไปคือวันเสาร์ เห็นรถเยอะมากคิดว่าจะไม่แวะแล้ว แต่โชคดีได้ที่จอดก็เลยได้เข้าไปนั่งชิมกาแฟแลทุ่งนา ซึ่งตอนนี้ไม่มีนา แต่เขาจัดสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปไว้สวยดี ทำทางเดินไม้ มีปลูกดอกไม้ คนเยอะแต่พื้นที่ก็ใหญ่ พวกเรานั่งจิบกาแฟชมวิวกันอยู่พักใหญ่ ก็เริ่มหิว ติดๆกับร้านกาแฟมีร้าน “ข้าวซอยไทลื้อ” ลองเดินเข้าไปดู ก็โชคดีอีกรอบที่มีที่นั่ง สั่งข้าวซอยกับน้ำเงี้ยวรอราวๆ 15 นาที ถือว่าไม่นานเมื่อดูจากจำนวนคน (ตอนแรกวางแผนจะไปทานมื้อกลางวันที่ฟาร์มเห็ดบ้านหัวนา แต่หิวก่อนก็เลยกินเลย นับว่าคิดถูก เพราะเราแวะเข้าไปดูตอนบ่าย คนล้นร้านจนแทบไม่มีที่จอด ถามคนทีกลับว่ารอนานมั๊ย ได้คำตอบว่า รอนานมาก ทั้งรอโต๊ะและรออาหาร)
อิ่มแล้วขับรถต่อไปที่ “วัดศรีมงคล หรือ วัดก๋ง” ตอนแรกตัดออกจากโปรแกรมแล้ว แต่เจอลุงคนหนึ่งที่วัดบ้านต้นแหลงแกแนะนำว่าให้ไปๆ ก็เลยแบบว่า เอาวะไปก็ได้ ต้องขับรถไปราว 12 กม. วัดก๋งอยู่ในเขต อ.ท่าวังผา เป็นวัดดังของท่าวังผามีคนมาเที่ยวเยอะ รถเต็มลานอีกเช่นกัน ด้านในวัดคึกคักเหมือนวัดภูเก็ต มีองค์ประกอบเหมือนกันคือมีโบสถ์ มีศาลา และมีระเบียงชมวิว มีร้านกาแฟกลางทุ่งนาด้านล่าง “ฮักนาน่าน” ที่ทำทางเดินไม้ไผ่ผ่านทุ่งนาไปที่ร้าน



จากวัดก๋ง ที่ท่าวังผา สามารถขับรถต่อไปเพื่อเข้าเมืองน่านก็ได้ แต่พวกเราขับย้อนกลับมาทางเดิม เพราะอยากแวะเข้าไป “วังศิลาแลง” กับ “ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ” เข้าไปดูที่วังศิลาแลงก่อน เป็นโตรกหินมีลำน้ำกัดเซาะผ่าน สวยงามพอสมควร เดินเข้าไปได้มีจุดชมหลายจุด แต่พวกเราเดินแค่จุดแรกก็พอแล้ว ขี้เกียจ ถ่ายรูปเล่นนิดหน่อยก็ออกมาแวะที่ฟาร์มเห็ด ตั้งใจว่าจะหาอะไรเย็นๆดื่มสักหน่อย ถ้ารอไม่นานจะสั่งพิซซ่าเห็ดมาชิมกัน ปรากฏว่า รถล้นลานจอดอีกเช่นกัน และก็ถามคนที่กลับออกมาได้ความว่ารอนานอย่างที่เล่าด้านบน แต่ก็โชคดีอีกล่ะ ได้ที่จอดก็เลยว่าขอเข้าไปดูหน่อย ที่แค้นใจคือเก็บค่าจอด 20 บาทนะ เดินเข้าไปในบริเวณร้านก็มั่นใจว่าคงไม่ได้กินอะไร เพราะคนรอคิวเยอะมาก ไม่ได้ที่นั่งก็สั่งอะไรไม่ได้ จะสั่งเครื่องดื่มแบบเอากลับยังไม่กล้าสั่งเพราะไม่อยากรอ ก็เลยเดินเล่นดูบรรยากาศ คือบรรยากาศดีมาก น่านั่ง วิวก็ดี มีหลายคนที่มารับคิวแล้วเดินลงเนินไปเที่ยววังศิลาแลงแล้วค่อยเดินกลับมายังทัน เสีย 20 บาท เลยเดินชมวิวถ่ายรูปเล่นแล้วเดินไปดูโรงเพาะเห็ดสักหน่อย 🍄




ถึงตัวเมืองน่านตอนแดดร่มลมตกพอดี ตั้งใจไปนั่งจิบอะไรชิลๆที่ “สุดกองดี” แต่วันนี้มีงาน เครื่องชงกาแฟถึงกับร้อนเกิน บอกว่าต้องพักเครื่อง เบียร์ก็ยังขายไม่ได้ แล้วจะจิบอะไรได้ เสียดาย บรรยากาศร้านน่ารักดี เลยย้ายไปนั่งจิบกาแฟร้าน “ฮักน่านคาเฟ่” แทน





คินนี้นอนที่ “น่าน เกสเฮาส์” ที่พักเล็กๆในซอยแคบๆกลางเมืองน่าน คืนวันเสาร์มีถนนคนเดิน แต่ครั้งนี้พวกเราไม่ได้ไป เพราะมีนัดกับลูกน้องเก่าที่ลาออกกลับมาอยู่ที่น่าน ไปเฮฮาตามประสาพี่น้องๆ
เช้าวันอาทิตย์ในตัวเมืองน่านปลายเดือนพฤศจิกายน อากาศเย็นสบายมาก เดินออกมาจากที่พักไปนิดเดียวก็เจอหอคำ หรือพิพิธภัณฑ์น่านแล้ว อุโมงค์ต้นลั่นทมที่ลานด้านหน้าวันนี้แห้งโกร๋นไม่มีใบ แต่ก็ยังสวยงามด้วยรูปทรงของแนวต้นไม้ที่ยาวเป็นอุโมงค์ นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาถ่ายรูปกันแต่เช้า เดินชมบรรยากาศอุโมงค์ต้นไม้ ไปด้านหน้าวัดภูมินทร์ แล้ววนกลับผ่านหน้าวัดช้างล้อม ถือเป็นการทักทายเมืองน่านอย่างเป็นทางการ
ที่พักมีอาหารเช้าให้ เป็นข้าวต้มอีกแล้ว เบื่อจริงจังแต่ก็กินเพราะขี้เกียจออกไปกินที่อื่น เรียบร้อยก็ออกเดินทางกันต่อ คืนนี้จะไปนอนที่แพร่ เมืองพี่เมืองน้องกับน่าน
เริ่มต้นวันด้วยการไป “วัดพระธาตุแช่แห้ง” วันนี้องค์พระธาตุกำลังบูรณะมีนั่งร้านอยู่รอบ มีคนเข้ามากราบ มาเดินเวียนเทียนอยู่ไม่น้อย อากาศช่วงเช้ายังเย็นสบายไม่ร้อน
ออกจากตัวเมืองขับรถไปอ.เวียงสา ตั้งใจไป“ร้านกาแฟจ๊างน่าน” อยากไปชิมกาแฟมณีพฤกษ์ เมล็ดกาแฟจากอ.ทุ่งช้าง ทางตอนเหนือของน่าน ร้านกาแฟเป็นเรือนไม้เก่า สวยดี ด้านในเปิดโล่ง มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ให้นั่งจิบกาแฟแกล้มครัวซองทำมือนุ่มๆ เช้านี้อากาศกำลังเย็นสบาย นั่งเพลินกันเลย




จากนั้นออกเดินทางต่อไปเที่ยวแพร่ เอาไว้เล่าต่อตอนไปแพร่ >> เที่ยวแพร่ แค่1วันกับ1คืน <<