Persian Trip in Iran [Part II]
Oct. 2016
ต่อจากเรื่องเล่าคราวเที่ยวอิหร่านตอนแรก Friendly Iran [Part I] ทริปเที่ยวอิหร่าน 10 วัน เดินทางไป 3 วัน เที่ยวไป 2 เมืองแล้วคือ เที่ยวแถบคาชาน กับชีราซ ตอน 2 จะไปเที่ยวต่อที่ อิสฟาฮาน แล้วนั่งรถต่อไปซานานดาจ
รถบัสมาถึงอิสฟาฮานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี วันนี้โชคดีที่โรงแรมที่ตั้งเป้าไว้มีห้องว่าง ไม่ต้องเตร็ดเตร่ไปหาที่อื่นอีก พักผ่อนเอาแรงนิดหน่อยก็ออกสำรวจอิสฟาฮานกันเลย
l วันที่ 4 | Isfahan, اصفهان
มาถึงอิสฟาฮาน นึกแผนการณ์อะไรไม่ออกให้มาเริ่มต้นที่ Imam Square ศูนย์รวมวัยรุ่น,วัยตกกระ,นักท่องเที่ยวและทุกคนๆของเมือง แต่อิหม่ามสแควร์ไม่เหมือนสยามสแควร์ อิหม่ามสแควร์เป็นจตุรัสกลางเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยอาคารประวัติศาสตร์ต่างๆ มัสยิด พระราชวัง ไปจนถึงตลาด พื้นที่ขนาด 8 หมื่นกว่าตร.ม.นี้ได้ชื่อว่าเป็นจตุรัสกลางเมืองที่มีขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่งในโลก มีบ่อน้ำอยู่กลางลาน มีเปิดน้ำพุยิงข้ามฝั่งไปมา ตอนเย็นๆมีเปิดไฟสวยงามพอสมควร รอบๆสระน้ำเป็นสนามหญ้ามีต้นไม้ดอกไม้จัดตกแต่งได้สวยงามพอสมควรทีเดียว พ วกเรามาสำรวจกันช่วงเช้า พบว่ามันเงียบเหงาไร้ผู้คน นักท่องเที่ยวก็ยังไม่มาก สิ่งที่เห็นคือรถม้าวิ่งดังกั่บๆรอบๆจตุรัส มีนักท่องเที่ยวนั่งเล่นอยู่บ้าง เดาว่าเย็นๆรถม้าคงวิ่งกันคึกคักกว่านี้ ยิ่งสายแดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะแห้งตายกันก่อน เลยต้องเปลี่ยนแผนไปที่อื่นแทนก่อน ค่อยกลับมาใช้เวลาที่ Imam square ช่วงเย็น
Naqsh e Jahan Square
มาถึงอิสฟาฮาน นึกแผนการณ์อะไรไม่ออกให้มาเริ่มต้นที่ Naqsh e Jahan Square หรือที่นักท่องเที่ยวเรียกกันง่ายๆติดปากว่า Imam Square ศูนย์รวมวัยรุ่น,วัยตกกระ,นักท่องเที่ยวและทุกคนๆของเมือง แต่อิหม่ามสแควร์ไม่เหมือนสยามสแควร์ อิหม่ามสแควร์เป็นจตุรัสกลางเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยอาคารประวัติศาสตร์ต่างๆ มัสยิด พระราชวัง ไปจนถึงตลาด พื้นที่ขนาด 8 หมื่นกว่าตร.ม.นี้ได้ชื่อว่าเป็นจตุรัสกลางเมืองที่มีขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่งในโลก มีบ่อน้ำอยู่กลางลาน มีเปิดน้ำพุยิงข้ามฝั่งไปมา ตอนเย็นๆมีเปิดไฟสวยงามพอสมควร รอบๆสระน้ำเป็นสนามหญ้ามีต้นไม้ดอกไม้จัดตกแต่งได้สวยงามพอสมควรทีเดียว พวกเรามาสำรวจกันช่วงเช้า พบว่ามันเงียบเหงาไร้ผู้คน นักท่องเที่ยวก็ยังไม่มาก สิ่งที่เห็นคือรถม้าวิ่งดังกั่บๆรอบๆจตุรัส มีนักท่องเที่ยวนั่งเล่นอยู่บ้าง เดาว่าเย็นๆรถม้าคงวิ่งกันคึกคักกว่านี้ ยิ่งสายแดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะแห้งตายกันก่อน เลยต้องเปลี่ยนแผนไปที่อื่นแทนก่อน ค่อยกลับมาใช้เวลาที่ Imam square ช่วงเย็น




อิหม่ามแสควร์ช่วงกลางวันค่อนข้างเงียบ แม้แต่นักท่องเที่ยวก็ไม่ค่อยมาเที่ยว
Jameh Mosque
มัสยิดจาเมห์เค้าว่ากันว่าเป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดของอิสฟาฮาน มีความเก่าแก่ระดับ 1000 กว่าปี โดดเด่นที่หอมินาเร็ตคู่ที่สูงมองเห็นแต่ไกล มัสยิดยังใช้ประกอบพิธีทางศาสนาอยู่ในปัจจุบัน กางแผนที่แล้วเดินไปก็ได้ แต่ไกลอยู่ พวกเราไปด้วยแท้กซี่ 100,000 เรียล ราคามาตรฐานของนักท่องเที่ยวจะไกลจะใกล้พี่แกเรียกแสนนึงทุกที (วันรุ่งขึ้นเรามาเก็บภาพอีกครั้งให้คนอิหร่านเรียกรถให้เหลือ 50,000 กันเลยทีเดียว) ค่าเข้าระดับ 200,000 เรียลเพราะเป็นมรดกโลก ด้านในมีส่วนที่คล้ายพิพิธภัณฑ์บอกเล่าความเป็นมา มองเห็นผนังเห็นเสาที่เก่าแก่สมัยหลายร้อยปีได้ใกล้ๆ เดินออกไปสู่ลานด้านนอก แหงนคอมองหอคอยคู่ ยามบ่ายมันย้อนแสงพอสมควร เก็บภาพไม่ได้ดี เลยเดินเข้าด้านใน สวยงามด้วยผนังและเสาสลักลวดลายละเอียดยิบไปยันเพดาน ถ้ามีเวลาพอก็เดินให้ทั่วๆทั้ง 4 ด้าน ด้วยว่ามัสยิดหลักตรงหอคอยคู่ย้อนแสง พวกเราเลยอยากกลับมาใหม่ช่วงเช้า เลยไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตรงห้องขายตั๋ว พี่ชายหนวดงามบอก ได้เลย เอาตั๋วมาเซนต์สลักหลังให้ พรุ่งนี้มาถ้าไม่เจอไอ ยูบอกคนตรวจตั๋วเลยนะว่าไออนุญาต พี่แกใจดีจริงๆ




Vank Cathedral
จากมัสยิดจาเมห์พวกเราเกิดอยากไปโบสถ์แวงค์ ดูแผนที่แล้วอยู่คนละฟากเมือง เดินออกมาลองไปสุ่มเสี่ยงนั่งรถเมล์ เพราะตอนขามาพี่แท้กซี่พาไปส่งตรงท่ารถเมล์ซึ่งอยู่ใต้ดินต้องเดินขึ้นบันได้มามัสยิด พวกเราไปยืนทำหน้ามึนๆจนนายท่าสมเพชเวทนาเข้ามาสอบถาม แล้วพาไปขึ้นรถบอกว่าขึ้นสายนี้นะ นั่งไปเลยถึงแน่บอกคนขับให้แล้วด้วย คราวนี้เลยนั่งสบายราคาประหยัด นั่งชมวิวข้ามเมืองไปถึงป้ายที่คนขับบอกตรงนี้ๆ ลงแล้วต้องหมุนหาทิศเดินหาป้ายบอกทางเพื่อเข้าซอยไปอีกหน่อย โบส์แวงค์นี้เป็นโบสถ์คริสต์ นิกายออร์โธดอกซ์ สร้างโดยชาวอาเมเนียนที่มาตั้งรกรากอยู่ที่อิสฟาฮาน โบสถ์แวงค์นี่มองจากด้านนอกอาจหลงคิดว่าเป็นมัสยิดเอาได้ เพราะมีโดมแบบมัสยิดของศาสนาอิสลามเลย แต่ด้านในมีแท่นบูชามีรูปปั้นพระเยชู ผนังด้านในวาดรูปคริสตประวัติสวยงาม ออกจากตัวโบสถ์เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ที่ตึกข้างๆได้ไม่เสียเงิน มีของจัดแสดงอยู่พอสมควร เห็นคนต่อแถวกันเข้าไปส่องกล้องจุลทรรศน์ ควรไปต่อแถวดูเพราะเป็น เส้นผมเส้นเล็กมากๆที่เอาปากกาหัวเพชรเขียนตัวหนังสือไว้ สุดยอดจริงๆ





Seosipol Bridge
ระหว่างนั่งรถเมล์ข้ามเมืองจากมัสยิดจาเมห์มาโบสถ์แวงค์ต้องข้ามสะพานข้ามแม่น้ำซายานเดห์ (Zayandeh River) จึงตกลงกันทันทีว่าเย็นย่ำวันนี้พวกเราจะไปจบวันกันที่สะพานนี่แหละ ที่อิสฟาฮานนี่สะพานถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งของนักท่องเที่ยวกันเลย เพราะมีถึง 11 สะพานสวยงามต่างกันไป ถ้ามีเวลาก็นั่งรถเมล์ตะลอนไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้ สะพานที่อิสฟาฮานจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างจากอิฐและหิน ไม่ใช่สะพานข้ามแม่น้ำโครงสร้างเหล็กแบบบ้านเรา สะพานที่พวกเราไปคือ สะพานซิโยเซะโพล หรือชื่อเต็มๆคือ Allahverdi Khan Bridge เป็นหนึ่งในสะพานที่ออกแบบและก่อสร้างตามศิลปะของราชวงศ์ซาฟาวิยะห์ (Safavid) สะพานอยู่ในย่านคึกคักของอิสฟาฮาน เพราะเป็นชุมทางรถเมล์หลายสาย ร้านค้าก็เยอะ ตอนเย็นๆจะมีผู้คนจะมารวมตัวทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ทั้งเดินข้ามสะพานไปมา ทั้งมานั่งเล่นกันริมแม่น้ำ (ที่ไม่มีน้ำสักหยด) บ้างก็มาปั่นจักรยาน บ้างก็มาจับกลุ่มตั้งสภาชา (คล้ายๆสภากาแฟ)ในคาเฟ่ตามตึกริมถนน พวกเราก็นั่งเล่นกันไปจนพระอาทิตย์ลับฟ้า ก็นั่งรถเมล์กลับที่พัก



อาหารเย็นวันนี้ แก้เบื่อด้วยการกินพิซซ่า เจอร้านพิซซ่าที่อร่อยมาก เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดของทริปนี้เลยก็ว่าได้
l วันที่ 5 | เก็บตกอิสฟาฮาน
วันสุดท้ายในอิสฟาฮาน มีเวลาอยู่เต็มๆวัน แล้วไปนอนบนรถบัสเพื่อไปเช้าที่ซานานดาจ (Sanandaj) เช้านี้ภาระกิจแรกคือไปตีซ้ำที่มัสยิดจาเมห์ เพื่อถ่ายรูปมัดยิดหลักแบบไม่ย้อนแสง ใช้บัตรเก่าเข้าได้ตามที่จนท.บอกไว้ แต่เข้าไปแล้วก็พบว่า ทิศทางแสงก็ยังไม่ได้ตามต้องการ แสงไม่เข้าด้านตัวมัสยิดหลัก สรุปมาเช้ามาบ่ายแสงไม่ดีทั้ง 2 ช่วง ก็ถ่ายรูปกันไปตามสภาพแสงที่มี แล้วออกไปนั่งรถเมล์อู่เดิม
Hakim Mosque
มัสยิดฮาคิมอยู่กลางทางระหว่างมัสยิดจาเมห์กับอิหม่ามสแควร์ ที่พวกเราเห็นตอนนั่งรถเมล์ผ่านเมื่อวาน วันนี้เลยนั่งรถเมล์มาลงง่ายเลย ที่นี่ไม่มีคนเก็บค่าเข้า เดินเข้าไปสงบเงียบมาก เจอนักท่องเที่ยว 2-3 คน คงเหมือนวัดทั่วไปที่บ้านเรา ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตคนก็จะมาเพื่อทำศาสนกิจกันจริงๆ ด้านในมัสยิดทุกที่คล้ายๆกัน มีลานกว้างล้อมรอบด้วยอาคารต่างๆ ที่นี่มีบ่อน้ำอยู่กลางลาน ตามผนังมีลวดลายเขียนสีสวยงามพอใช้ได้ หากมีเวลาก็แวะได้ไม่เสียเปล่า


Ali’Qoli Aqa Bathhouse โรงอาบน้ำแห่งอิสฟาฮาน
ช่วงเช้ายังมีเวลาเหลือ เลยเลือกจะไปโรงอาบน้ำกันอีกครั้ง เพื่อเทียบดูกับเมืองชีราซ จากมัสยิดฮาคิมพวกเราเลือกจะเดินไป มันไม่ใช่จะใกล้แต่ก็ไม่ไกลมากจนเดินไม่ไหว ถือโอกาสเดินชมเมืองไปเรื่อยเปื่อย แดดแรงใช้ได้ทีเดียว เหงื่อพอซึมๆหลังก็เริ่มหลง จริงๆไม่ได้หลงแต่หาทางเลี้ยวไม่เจอ อาศัยอิหร่านใจดี 3-4 คน จนสุดท้ายเจอพี่สาวใจดีบอกตามฉันมา ฉันเข้าซอยนั้นพอดี นางพาเดินเลี้ยวเข้าไปและส่งถึงหน้าโรงอาบน้ำเลย ใจดีที่สุด โรงอาบน้ำที่อิสฟาฮานมีองค์ประกอบเหมือนกับที่ชีราซ แต่ที่นี่ใหญ่กว่าสวยงามหรูหรากว่า คงเพราะเป็นเมืองที่มีความสำคัญในอดีต เคยเจริญรุ่งเรืองมากๆ เดินเที่ยวด้านในจนครบในเวลาราว 45 นาที แล้วแต่จะถ่ายรูปมากหรือน้อย อย่าลืมขาตั้งเด็ดขาดเพราะข้างในถึงจะมีไฟแต่ก็ไม่สว่างมากนัก



เจาะลึก Imam Square
Imam Square ยามบ่ายเป็นไปตามที่พวกเราคาดจริงๆ เป็นศูนย์รวมวัยรุ่น วัยตกกระ นักท่องเที่ยวและทุกคนๆของเมือง เดินกันเต็มพื้นที่ รถม้าชมสวนวิ่งวนรอบจตุรัสดังกั่บๆๆตลอดเวลา ควรมีเวลาให้อิหม่ามสแควร์สักครึ่งวัน ยิ่งเย็นคนยิ่งเยอะ ฝรั่งทั้งเมืองคงมาอยู่ที่นี่



- Isfahan Grand Bazaar
เที่ยวเดินตลาดดูข้าวของ เสื้อผ้า รองเท้า พรม ผ้าห่ม ของกิน ไปถึงจานชามหม้อไห ที่นี่มีของฝากให้ซื้อเยอะที่สุดเท่าที่เราเจอ เยอะว่าที่เตหะรานบาร์ซาด้วยซ้ำ เหนื่อยหรือเมื่อยล้าอยากจิบกาแฟ ที่นี่มีร้านกาแฟแบบตะวันตกนั่งจิบพร้อมขนมเค้กขนมปัง จริงๆแล้วร้านขายของมีอยู่รอบจตุรัส ก็ถือเป็นตลาดเหมือนกัน



- The Shah Mosque (Imam Mosque)
แต่อย่าโอ้เอ้กับตลาดมากนัก เพราะมัสยิดและวังรอบจตุรัสมีเวลาปิด ควรรีบเดินไปเที่ยวชมพวกนั้นก่อน เริ่มจาก The Shah Mosque (Imam Mosque) มัสยิดหลักแห่งหนึ่งของอิสฟาฮาน มีความใหญ่โตสมกับความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ซาฟาวิดผู้ครองเปอร์เซียในยุคนั้น จะมองเห็นโดมและหอคอยคู่ได้แต่ไกล ช่วงที่เราไป (ตุลาคม 2017) มัสยิดมีการซ่อมแซมอยู่ได้ภาพโดมที่มีนั่งร้านประกอบมาด้วยสวยงาม 55 แต่ด้านในมัสยิดยังคงความสวยงามอยู่ นักท่องเที่ยวเยอะมาก ใช้เวลาในการเดินชมพอสมควรถ้าสนใจลวดลายสวยๆของผนังอิฐ ผนังกระเบื้องเคลือบสีสวยงาม หรือกระเบิ้องพื้นสี(เคย)สวยแต่ลวดลายงดงามอย่างมาก




- Masjed-e Sheykh Loţfollāh
ออกมายืนหน้า Imam Mosque มองไปทางขวาจะมีมัสยิดที่เล็กกว่าอีกแห่ง Masjed-e Sheykh Loţfollāh ส่วนทาง ซ้ายจะเป็นพระราชวัง Alī Qāpū Palaceเราไปมัสยิดก่อนดีกว่า มัสยิดเล็กนี้ก่อสร้างมาสำหรับใช้เป็นมัสยิดเฉพาะของพระมหากษัตริย์และราชวงศ์จึงมีขนาดไม่ใหญ่โตมากแต่สวยงามวิจิตบรรจงไม่น้อย ที่นี่ก็เสียค่าเข้าเท่ามัสยิดใหญ่ แต่ด้านในเล็กกว่ามาก ความสวยงามอยู่ผนังด้านในสวยงามแต่ค่อนข้างมืด และเล็กแคบ ต้องใช้ขาตั้งกล้อง แต่วางได้เค้าไม่ว่าก็เลยได้ถ่ายมาบ้าง ถือโอกาสนั่งพักหลบแดดไปในตัว



- Alī Qāpū Palace
จุดสุดท้ายที่ต้องรีบเดินข้ามไปคือพระราชวังที่ใกล้เวลาปิดแล้ว Alī Qāpū Palace ปิด 5 โมงเย็น ควรเข้าไปก่อน 4.30 นะ จะได้มีเวลชิลๆด้านใน เข้าไปด้านในมีร้านกาแฟน่านั่งในสวน แต่เราไม่มีเวลาจะนั่ง รีบเดินไต่บันไดวนขึ้นด้านบนไปจนถึงชั้น 5 ออกไปที่ระเบียงด้านนอก เป็นระเบียงที่มีเสาเกือบ 20 ต้นรับโครงหลังคาสูงสวยงาม แต่ก่อน ใช้เป็นที่ออกมาชมเมือง เป็นจุดที่วิวสวยมาก มองเห็นจตุรัสได้ทั่ว ยิ่งมาตอนเย็นๆแสงยิ่งสวย แต่คงอยู่ถึงพระอาทิตย์ตกไม่ได้ เลยประวิงเวลามาให้เย็นที่สุดก่อนปิด ตอนที่ไปก็กำลังบูรณะซ่อมแซมอยู่แต่ยังออกไปดูได้ จากระเบียง เดินเข้าด้านในขึ้นบันไดไปชั้นบนได้อีก จะมีห้องดนตรีที่สมัยก่อนไว้จัดเลี้ยง แหงนคอดูฝ้าด้วย เรียกกันว่าฝ้ารวงผึ้ง มันสวยงามละลานตาแบบรวงผึ้งยักษ์จริงๆ






วิวจากระเบียง Ali Qapu Palace
เวลาช่วงสุดท้ายในอิสฟาฮาน ก็คือการเดินเล่นไปเรื่อยๆ เมื่อยามเย็นมาถึงในจตุรัสจะคึกคักมีเสน่ห์ไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งชาวอิหร่านและนักท่องเที่ยว แค่เดินเล่นรอบๆ ก็เพลินมากแล้ว พอเริ่มมืด บ่อน้ำพุตรงกลางที่เราเคยมาเดินตากแดดถ่ายรูปตัวแสบยิบๆตอนเช้า จะสวยงามด้วยแสงสี ถ่ายรูปได้ไม่เบื่อ ไม่นับว่ามีรถม้าวิ่งกั่บๆเป็นฉากหน้าฉากหลังให้ถ่ายรูปสนุกสนานไป




ลาอิสฟาฮานกันเมื่อฟ้ามืดสนิท กลับโรงแรมทำความสดชื่นให้ร่างกายกันหน่อย เพราะจากคืนนี้เราจะเร่ร่อนกันยาว กว่าจะได้เข้าที่พักอีกครั้ง โรงแรมเรียกแท้กซี่ไปส่งสถานีรถบัสได้ราคาแสนถูกกว่าเราเรียกเองเยอะเลย ฮ่าๆๆๆ นอนหลับยาวๆไปตื่นที่ซานานดาจกันตอนเช้า
l วันที่ 6 – วันเดียวเที่ยวซานาดาจ | Sanandaj, سنندج
ซานานดาจ เมืองที่อยู่ไปทางตะวันตกฉียงเหนือของอิหร่าน ถ้าดูจากแผนที่จะเห็นว่าห่างจากชายแดนอิรัคนิดเดียว พวกเรามาทำอะไรกันนี่ ฮ่าๆๆ หัวหน้าทริปบอกว่าจะพาไปดูหมู่บ้านหิน ชื่อว่า Palangan ลงจากรถแต่เช้าตรู่ สถานีรถเหมือนสถานีตามต่างจังหวัด โชคดีเจอพี่แท็กซี่พูดภาษาอังกฤษได้ คุยกันรู้เรื่อง เลยได้พี่แกพาไปหาที่ล้างหน้าล้างตา พาไปกินข้าวแล้ว ออกเที่ยวกันเลย
Palangan, پلنگان
พวกเราเช่าเหมารถแท้กซี่จากท่ารถเมืองซานาดาจกันไปเลย นั่งรถออกไปทางเมือง Kamyaran แล้วแยกออกไปอีกราวๆ 50 กม. ชาวบ้านในหมู่บ้านเป็นชาวเคิร์ด ซึ่งก็คือกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนอิรัค อิหร่าน ตุรกี ซีเรีย บางช่วงก็มีเอกราชเป็นของตัวเองเหมือนๆจะตั้งประเทศได้ สุดท้ายก็โดนตีแตก ชาวเคิร์ดเลยกระจัดกระจายอยู่หลายที่ตามแนวชายแดน เด็กสาวๆสวยตาคมผมดำขลับ เด็กผู้ชายหน้าตาออกไปทางตุรกีหน่อยๆ ผู้หญิงใส่เสื้อผ้าสีสดใส ผู้ชายใส่สีเรียบๆชุดหลวมๆกางเกงพองๆ บ้านของชาวพาลังกานเป็นบ้านที่สร้างด้วยหินใช้ดินผสมฟางแทนซีเมนต์ทั้งก่อทั้งฉาบ สร้างลดหลั่นกันตามเชิงเขา หลังคาบ้านจะเป็นชานหน้าบ้านของบ้านข้างบน เชื่อมต่อกันไปเป็นขั้นๆทั้ง 2 ฝั่งเขา มีแม่น้ำ Tangi ไหลผ่าน แบ่งฝั่งเป็นบ้านเก่าและบ้านใหม่ มีสะพานปูนข้ามไปมาได้ ผู้คนเป็นมิตรมากๆ เด็กๆน่ารัก อาหารที่ทานกันก็ไม่พ้นประเภทปลา เพราะมีแม่น้ำไหลผ่าน ผลไม้ก็มีแอ้ปเปิ้ลกับทับทิมหวานเจี๊ยบ พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่เต็มวันเลย ประทับใจ






ได้เวลาร่ำลาสาวๆชาวเคิร์ด พี่คนขับพากลับมาส่งที่สถานีรถ เพื่อเราจะนอนต่อในรถคืนนี้ ไปตื่นอีกทีที่เมืองทาบริซ
