เที่ยวใกล้ขั้วโลกที่มูร์มันสค์

Murmansk and around, Russia

Apr. 2023

จากมอสโกเมืองหลวงขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 1,900 กม. ถ้านั่งรถไฟก็ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนกว่าจะถึง เราเลือกนั่งเครื่องภายในประเทศ ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. จากมอสโกก็มาถึงสนามบินเล็กๆของเมืองมูมันสค์ จากอุณหภูมิหนาวน้อยๆ 10°C ที่มอสโก มาเจอกับอุณหภูมิติดลบ มีร่องรอยหิมะให้เห็นตั้งแต่สนามบิน พวกเราจะเที่ยวในแถบนี้ 4 วัน 4 คืน พักอยู่ที่ตัวเมืองมูร์มันสค์ ออกเที่ยวเมืองรอบๆในช่วงกลางวัน แล้วออกล่าแสงเหนือในช่วงกลางคืน >> อ่านเรื่องล่าแสงเหนือที่มูร์มันส์ <<

การมาดูแสงเหนือใช้เวลาแต่ช่วงกลางคืน ช่วงกลางวันก็เลือกได้เลยว่าอยากทำอะไร บางคนอาจจะเหนื่อย ง่วงนอน ไม่อยากทำอะไร แค่อยู่ในเมืองเที่ยวเล่น ชมวิว อะไรไปก็ได้ แต่ไหนๆมาไกลขนาดนี้แล้ว เราก็เลยเลือกซื้อทัวร์แบบเต็มๆไปเลย คือกลางวันเที่ยว กลางคืนล่าแสงเหนือ ขอบอกว่าเหนื่อยและง่วงมาก แต่คิดว่าคุ้มค่าตั๋วเครื่องบิน ไว้กลับไปนอนที่บ้าน

โปรแกรมเที่ยว 4 วันที่เราเลือก เป็นมาตรฐานทั่วไป คือ City tour Murmansk / Khibiny Mt. / Teriberka / Sami Village แต่ถ้าใครไม่อยากเที่ยวทุกวันก็เลือกซื้อเอาได้ มีแบบ Day tour ให้เลือกหลายอย่าง ถ้าพลังเยอะ จะเลือกแบบไปเล่นสกี ไปปีนเขาก็ยังได้นะ ลองสอบถามโปรแกรมจากบริษัททัวร์ดูได้

Day tour – 1 เที่ยวเมืองมูร์มันสค์

Murmansk City | Му́рманск

มูร์มันสค์ หรือ เมอร์มันสค์ เป็นเมืองท่าสำคัญทางตอนเหนือของรัสเซีย บริเวณคาบสมุทรโคล่า (Kola Peninsula) บางคนให้ฉายาว่าเป็นเหมืองหลวงแห่งอาร์คติค เพราะมีทางออกสู่มหาสมุทรอาร์คติค (Arctic Ocean) ก่อนมาเรานึกภาพว่าเป็นเมืองบ้านนอกเล็กๆ แต่ความจริงแล้วมูร์มันสค์เป็นเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีท่าเรือน้ำลึกที่มีเรือตัดน้ำแข็งสามารถตัดน้ำแข็งแล่นไปถึงขั้วโลกเหนือได้ภายใน 4 วัน

มูร์มันสค์เป็นเมืองสำคัญของรัสเซียในเขตอาร์คติคโซน มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ลอยน้ำแห่งแรกของโลกที่ทำพิธีเปิดไปเมื่อปี 1997 และเรือตัดน้ำแข็งที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ลำแรกของโลกก็อยู่ที่นี่ด้วย

ที่เที่ยวในตัวเมืองมูร์มันสค์มีไม่มากมายนัก ส่วนมากเป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างเป็นที่ระลึกให้กับนักเดินเรือ ให้วีรบุรุษจากสงคราม และจุดชมวิวสวยๆ เวลาที่เหลือเดินเล่นในตัวเมือง เข้าร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ไปช้อปปิ้งใน Murmansk Mall ที่ใหญ่โตเท่าห้างใหญ่กลางเมืองบ้านเราก็ยังได้

Alyosha | Алёша

“Alyosha Monument” อนุสาวรีย์ที่สูงที่สุดในรัสเซีย สร้างอยู่บนเนินเขาริมอ่าวโคล่า สูง 35.5 ม. หนัก 5,000 ตัน สร้างอุทิศให้ทหารในกองทัพโซเวียตที่สามารถตรึงกองกำลังกองทัพเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไว้ได้ ขึ้นมาบนนี้จะมองเห็นเวิ้งอ่าวโคล่า | Kola Bay ได้มุมมองสวยงาม

ชมอนุสาวรีย์แล้วก็ชมวิวอ่าว Kola Bay กับท่าเรือขนาดใหญ่ด้านล่าง

Lake Semyonovskoye | Семеновское озеро ทะเลสาบกลางเมืองยังคงเป็นน้ำแข็ง มองจากบนเนินเขา

Nuclear-Powered icebreaker “Lenin” | “Ленин”

ความภาคภูมิใจของรัสเซียอย่างหนึ่งคือ เรือตัดน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์ ที่สร้างได้เป็นลำแรกของโลก แถมเป็นครั้งแรกที่นำเอาพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ในการผลิตพลังงานขับเคลื่อน (ไม่ใช่เอามายิงน้ำแข็งนะ) แล้วเสร็จใช้งานในปี 1959 หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่นาน โดย โจเซฟ สตาลิน ตั้งชื่อเรือว่า “เลนิน” เพื่อเป็นเกียรติแก่ วลาดิเมียร์ เลนิน เรือเลนินใช้งานอยู่ร่วม 30 ปี จนปลดระวางมาจอดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนได้เข้าชม

ธรรมเนียมการคล้องกุญแจมีทั่วโลก

ตามที่เล่าไว้แล้วว่า ทางตอนเหนือของรัสเซียติดกับมหาสมุทรอาร์คติค ซึ่งฤดูหนาวน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้ไม่สามารถเดินเรือได้ สหภาพโซเวียต(ในตอนนั้น)จึงคิดสร้างเรือตัดน้ำแข็ง ใช้เทคโนโลยี่สุดล้ำ วัสดุแข็งแรงพิเศษ และใช้พลังงานขับเคลื่อนจากนิวเคลียร์ที่มากเพียงพอให้เรือเคลื่อนไปและทำให้แผ่นน้ำแข็งแตกออกได้ เป็นการนำร่องให้เรือต่างๆ ล่องตามไปได้ (บนเรือมีไกด์รัสเซียอธิบายภาษารัสเซียน้ำไหลไฟดับ แล้วไกดฺอดัมมาเล่าต่อเป็นภาษาอังกฤษ ก็จับใจความได้ประมาณนี้นะ) ตอนที่สร้างเรือยังเป็นยุครุ่งเรืองของสพภาพโซเวียต สิ่งที่สร้างจึงต้องยิ่งใหญ่หรูหรา ดังนั้นเรือเลนิน นอกจากประสิทธิภาพสูงแล้วยังตกแต่งด้านในสวยเหมือนเรือสำราญ พื้นผนังเป็นไม้สวยงาม นอกเหนือจากห้องทั่วไป อย่างห้องอาหาร ห้องประชุม ห้องทำฟัน ห้องพยาบาล ไปถึงห้องผ่าตัด แล้วยังก็มีห้องดนตรี ห้องเต้นรำ ห้องหนังสือด้วย

Monument of Kursk submarine | Рубка атомной подводной лодки “Курск”

อนุสรณ์สถานที่ทำไว้ให้ระลึกถึงเหตุการณ์เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 141-Kursk เกิดอุบัติเหตุจมลงในปี 2000 ทำให้ลูกเรือ 118 ชีวิตตายทั้งหมด มีชิ้นส่วนเรือดำน้ำของจริงมาวางไว้เป็นอนุสรณ์ ขึ้นเนินไปอีกหน่อยจะเป็น Church of the Saviour on the Waters | Cerkov Spasa na vodah สีขาวโคมทอง นอกจากอนุสรณ์สถานกับโบสถ์แล้วยังมีประภาคารกับสมอเรือของจริงวางอยู่ตรงจุดชมวิวเมืองมูร์มันสค์ด้วย

Monument of Kursk submarine | Рубка атомной подводной лодки “Курск” & Church of the Saviour on the Waters | Cerkov Spasa na vodah

Yakor’ | якорь

View Point & Monument women awaiting her husband | Skul’ptura Zhdushchaya

อดัมพาแวะอีกจุด ที่เป็นจุดชมวิว มีรูปปั้นหญิงสาวยืนโบกหันหน้าออกไปที่อ่าว อดัมเล่าว่ารูปปั้นนี้คือสัญญลักษณ์ของภรรยาที่มายืนคอยสามี เมื่อสามีกลับเข้าฝั่งก็จะต้องเห็นภรรยามาคอยรับ ใครไม่เห็นภรรยามารอรับครอบครัวต้องมีปัญหาแน่ๆ ทำนองนั้น

It was said that if a sailor went to sea, and there was no girl waiting for him to return, that he probably would not return!

Skul’ptura Zhdushchaya | Скульптура ждущая

จุดชมวิวอ่าวโคล่า

Tree of Love ที่อดัมบอกว่าใครก็ทำใบไม้สลักชื่อมาแขวนได้ พัฒนาไปกว่าการคล้องกุญแจ

จุดท่องเที่ยวในเมืองมูมันสค์มีไม่มากมายอะไร บ่ายแก่ๆก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพื่อรอออกล่าแสงเหนือตอนกลางคืน ใครอยากไปเดินเล่นก็เดินได้ อยากช้อปปิ้งก็ไป Murmansk Mall ที่ใหญ่โตอย่างคาดไม่ถึง ร้านแบรนด์เนมก็มี ร้านกาแฟก็เยอะ ร้านอุปกรณ์กันหนาวยี่ห้อดังก็มีราคาถูกด้วย

ตอนเย็นเราเดินไปทานร้านอาหารชื่อดังของเมือง Тундра, Grill & Bar ที่หลายๆคนแนะนำ เมนูแนะนำคือสเต็ก และอาหารทะเล อย่าง King Crab หอย กุ้ง ปลา เทียบกับคุณภาพแล้วราคาไม่แพงเลย ความยากลำบากอยู่ที่การสั่งอาหาร เพราะสื่อสารกันยากเพราะไม่มีพนักงานพูดอังกฤษได้เลย แต่น้องน่ารักมาก ต่างคนก็ Google Translate กันไปมา กว่าจะสั่งได้ มึนไปตามๆกัน แต่อร่อยคุ้มค่า แนะนำเลยร้านนี้

จากที่พักไปร้านอาหาร 1 กม.กว่าๆ ก็เดินไป ถือว่าชมเมือง หิมะเริ่มละลายแล้ว อากาศไม่หนาวจัดก็เดินได้สบายๆ ถ้าหนาวจัดคงเดินไม่ไหว

Тундра, Grill & Bar : แนะนำให้โทรจอง เพราะคนจองเต็มตลอด ไปเลยก็ได้แต่ต้องรอโต๊ะ วันนี้พวกเรามากัน 6 คน รอโต๊ะไป 40 นาที แต่ก็คุ้มค่าแก่การรอ สั่งอาหารกันหลายอย่าง รูปถ่ายมีไม่ครบ King Crab สั่ง 2 set แถม Wine แดงอีก 1 ขวด คิดเงินมาตามรูป หารกันแล้ว ถือว่าไม่แพง เมื่อเทียบกับคุณภาพและความอร่อย ซึ่งอร่อยทุกอย่างจริงๆ

Day tour – 2 เทอร์ริเบอร์กาประตูสู่อาร์คติค

Teriberka | Тери́берка

Day trip อีกวันที่ต้องนั่งรถออกจากตัวเมืองมูร์มันสค์ไป 140 กม.ไปหมู่บ้านชาวประมงทางเหนือขึ้นไปอีก เทอร์ริเบอร์กาตั้งอยู่ริม Barents Sea และเชื่อมต่อกับ Arctic Ocean ต้องนั่งรถราว 2 ชม.กว่าๆ ระหว่างทางไกด์จอดรถให้ลงไปลุยหิมะข้างทางกันได้ตามแต่จะบอก ชอบตรงไหนจอดตรงนั้น เพิ่งเคยเจอหิมะสูงเป็นเมตร จากที่รถกวาดหิมะลุยเปิดทางถนนไว้ให้ ต้องปีนกำแพงหิมะกันขึ้นไป แถบนี้ในฤดูร้อนจะเป็นทุ่งหญ้าทุนดร้า หญ้าที่เป็นอาหารโปรดของกวางเรนเดียร์ ตอนนี้มีแต่หิมะสุดลูกหูลูกตา ในเมืองมูร์มันสค์เริ่มละลายแล้ว แต่แถบนี้ยังไม่ละลาย

ไกด์เดนิสสุดหล่อเป็นคนขับรถพาเราเที่ยววันนี้

ก่อนถึงตัวหมู่บ้าน ถนนแย่สุดๆ

Teriberka เมืองเก่าแก่ย้อนไปได้ร้อยกว่าปี เป็นเมืองเล็กๆที่น่ารักมากมาย บ้านชาวประมงแต่ละหลังน่าจะจมหิมะในช่วงหน้าหนาว ตอนนี้ก็ยังมีหิมะล้อมบ้านอยู่ เข้าไปเดินเยี่ยมชมนิดๆหน่อยๆ แล้วทานอาหารกลางวันที่ร้านบรรยากาศดีอาหารอร่อย ประทับใจ อยากมานอนที่เมืองนี้สักคืน ถ้าถ่ายรูปแสงเหนือที่นี่น่าจะได้ฉากสวยๆกับกระท่อมเหมือนแถบไอซ์แลนด์ได้เหมือนกัน

ร้านอาหารที่บรรยากาศก็ดี อาหารก็อร่อย

กิจกรรมที่คนมาถึง Teriberka ควรต้องทำคือการไปเที่ยว Teriberka Nature Park ต้องนั่งรถออกจากหมู่บ้านไปอีกหน่อย แล้วไปนั่งรถลาก ที่มี Snow Mobile ลากผ่านทุ่งกว้างที่หิมะขาวโพลนกับทะเลสาบที่ยังเป็นน้ำแข็งอยู่ หนาวจนแก้มตึงแต่ประทับใจมาก นั่งไปสักพักจอดแล้วลงเดินอีกไม่ไกลเพื่อไปตรงหน้าผาที่เดนิสชี้ให้ดูว่ามีน้ำตกชื่อ Battery fall อยู่ตรงนี้ เป็นน้ำจากทะเลสาบ Battery Lake ไหลมาลง Barents Sea แล้วไหลไปลงมหาสมุทรอาร์คติคอีกที แต่ตอนนี้เห็นเป็นน้ำแข็งและทะเลสาบนั้นคือพื้นที่พวกเราเดินกันมานั่นแหละ ถามว่าปลอดภัยที่จะเดินมั๊ย คือระบบเขาค่อนข้างดี มีเจ้าหน้าที่คอยสกีเพื่อตรวจสอบความแข็งของผืนน้ำแข็งตลอดเวลา

Battery Lake ทะเลสาบน้ำแข็งที่เราต้องเดินผ่าน

Battery fall วันนี้มีแต่น้ำแข็ง

Stone Beach : ขากลับรถแวะให้พวกเราลงไปชมหาดหินกลม ที่ไกด์บอกว่ามันชื่อ Dragon Egg Beach สวยแปลกตาดี สมชื่อไข่มังกร แต่ลมแรงมาก หนาวจนมือแข็งเลย

กลับเข้าเมืองมาชมวิว ชมหาด แวะร้านคาเฟ๋ที่ตกใจมากว่าเมืองเล็กๆแค่ 20 ครัวเรือนแต่มีร้านใหญ่ๆสวยเก๋แบบนี้ด้วย เดนิสว่าคนมาเที่ยวที่นี่กันเยอะ บางคนมาปีนเขา บางคนมาล่องเรือ มาดำน้ำ มาตกปลา มาสกี อีกกิจกรรมคือมาดูวาฬ แถบนี้มีวาฬให้ได้เห็นบ่อยมาก บางทียืนอยู่บนฝั่งก็เห็นได้ด้วยซ้ำ ไกด์บอก

Cedar Grass คาเฟ่สุดเก๋วิวสวยของที่พักชื่อเดียวกัน

Graveyard of Ship

เมืองเล็กๆอย่าง Teriberka ยังมีแบ่งเป็นย่านเมืองเก่ากับเมืองใหม่ Staraya Teriberka เป็นย่านเมืองเก่า มีบ้านไม้ ท่าเรือ ยุคดั้งเดิม ส่วน Lodeynoye เป็นย่านเมืองใหม่ที่มีอาคารที่สร้างยุคโซเวียตเพิ่มขึ้นมา

Peschanyy Plyazh หาดทรายที่ทรายไม่สวยเหมือนบ้านเรา แต่บรรยากาศก็ดี มาเดินเล่นถ่ายรูปได้

Day tour – 3 เทือกเขาคิบินี่เมืองแห่งสกีรีสอร์ท

Khibiny Mt. | Хиби́ны in Kirovsk | Кировск

วันที่ 3 ไกด์อดัมกลับมาเป็นคนพาพวกเราเที่ยววันนี้ ออกจากมูร์มันสค์ลงใต้ 215 กม. มาที่เมืองคิรอฟ | Kirovsk เมืองอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของรัสเซีย เป้าหมายคือเลยออกนอกเมืองไปที่ยอดเขาคิบินี่ | Khibiny ยอดเขาที่สูงที่สุดในแคว้นมูมันสค์

ระหว่างทางไป คุยกับไกด์อดัมว่าพวกเราอยากเห็นคนตกปลาในน้ำแข็ง ถ้าเจอให้แวะพาดูหน่อย อดัมก็พาแวะทะเลสาบข้างทาง มีคนมาเจาะรูแล้วตกปลากันเยอะเลย

ใช้เวลา 2 ชม.ก็มาถึงเมืองคืรอฟ ดูเป็นเมืองใหญ่พอสมควร ผู้คนคึกคักมาก เพราะวันที่ไปเป็นวันเสาร์ อดัมบอกว่าคนขับรถมาสกีรีสอร์ทกันเยอะ

นักท่องเที่ยวส่วนมากมาที่เทือกเขา Khibiny เพื่อกิจกรรมฤดูหนาว ที่นี่มีสกีรีสอร์ทดีๆหลายที่ ไกด์อดัมพาเราไปแวะสกีรีสอร์ท แล้วนั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบนเพื่อชมวิว ได้เห็นคนรัสเซียมาสกีกันเยอะมาก เพราะอากาศดี ไม่หนาวมากแต่หิมะยังเยอะ ด้านล่างมีลานดนตรี สกีเสร็จก็มานั่งจิบเครื่องดื่มฟังเพลง เพลิดเพลินน่าอิจฉามากๆ

นั่งกะเช้าขึ้นมาข้างบนมีร้านอาหารนะ ซื้อเครื่องดื่ม เอามาจิบชมวิวได้

ปีนต่ออีกหน่อยขึ้นยอดสูงสุด วิวแจ่มใช้ได้เลย

Snow Village

จุดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมไปอีกจุดคือ หมู่บ้านหิมะ ที่สร้างจากหิมะและน้ำแข็ง ชื่อหมู่บ้านแต่ความจริงเป็นเหมือนอุโมง ที่สร้างเป็นห้องต่างๆ ตกแต่งด้วยหิมะกับน้ำแข็งสลัก อารมณ์เหมือนน้ำแข็งสลักงานแต่งงานแต่เยอะและสวยกว่า มีส่วนที่เป็นห้องโถงมีบาร์เครื่องดื่มยาวๆ ที่สามารถมาเช่าจัดเลี้ยงได้ด้วย

หมู่บ้านหิมะที่นี่ได้บันทึกใน The Russian Record Book ว่าเป็นหมู่บ้านที่สร้างจากหิมะใหญ่ที่สุด (ในไหนก็ไม่รู้) แต่ละปีก็จะสร้างออกมาไม่เหมือนกัน ใกล้หน้าร้อนแล้วอีกไม่นานก็จะละลายไปหมด รอสร้างใหม่ปีหน้า

ดู Snow Village แล้ว อดัมก็พาพวกเรานั่ง Snow Bus ฮีเรียกงั้น เพราะเป็นเหมือนรถบัสที่ลากโดยรถตีนตะขาบ พาเข้าไปชมวิวด้านใน ก็สวยงามพอสมควร จอดให้ลงไปเดินเล่น ไปถ่ายรูป ไปกลิ้งเกลือกกับหิมะ 2-3 จุด

Snow bus ที่อดัมบอกหน้าตาแบบนี้ นั่งชมวิวเพลินๆไป

ไกด์ดูรื่นเริงกว่าพวกเราอีกนะเนี่ย แต่อากาศมันดีจริงๆ มีแดดอุ่น แต่ยังมีหิมะได้ลุย

รถมาจอดให้ดูอะไรเหมือนจอมปลวก เฉลยคือ น้ำพุ มันคือน้ำที่พุ่งออกมาแต่มันแข็งกลายเป็นภูเขาเล็กๆ แปลกดี

ไอ้หนูนี่พยายามจะกินน้ำพุ

นอกจากนั่ง Snow bus แล้ว ยังมีเครื่องเล่นอื่นๆให้เล่นอีก อย่างนั่งเรือกล้วยลุยหิมะ หรือนั่งห่วงยางที่เรียกว่า Inflatable Sledge ทุกอย่างนั่นต้องจ่ายเพิ่มเอาถ้าจะขี่ Snow Mobile ต้องแจ้งล่วงหน้า ต้องจองมาก่อน พวกเราก็เลยอด

Day tour – 4 เยี่ยมเยือนหมู่บ้านชนเผ่า

Sami Village | Sam-syit at Lovozero | Лово́зеро

วันสุดท้ายในมูร์มันสค์ เที่ยวแบบชิลๆ ไกด์อดัมเป็นคนพาทัวร์ พวกเราต้องออกจากตัวเมืองมูร์มันสค์ไปเมือง Lovozero เมืองที่ได้ชื่อว่า เมืองหลวงของแลปแลนด์แห่งรัสเซีย เพื่อไปทำความรู้จักชนเผ่าดั้งเดิมในพื้นที่คือชาวซามี่ | Samii ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในแลปแลนด์มาหลายร้อยปีแล้ว อาศัยอยู่ในกระโจม เรียกว่า Lavvu มีการย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆในแถบเหนือของยุโรป โดยปกติชาวซามีก็ยิงนก ตกปลา เก็บผลไม้ มาเลี้ยงชีพ และเลี้ยงกวางเรนเดียร์กันเหมือนคนไทยเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย จะฆ่ามันเมื่อต้องการใช้ประโยชน์ หนังมาทำเสื้อผ้าเครื่องใช้ เขากวางเอามาทำเครื่องใช้ ทำอาวุธ เนื้อเอามากิน

ชีวิตชาวซามี่เปลี่ยนไปเมื่อมีการเข้ามาของชาวเมือง ทั้งนอรเวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และรัสเซีย เทียบเคียงได้กับอินเดียนแดงที่อยู่ดีๆก็โดนยึดพื้นที่ แล้วจัดสรรที่อยู่ให้อย่างจำกัด ชีวิตของชาวซามีเปลี่ยนไปกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ดั้งเดิมของตัวเอง

วัฒนธรรมและประเพณีของชาวซามีค่อยๆเลือนหายไป เด็กๆโดนบังคับให้เข้าโรงเรียน ไม่ให้ใช้ภาษาท้องถิ่น เทคนิคการเลี้ยงการล่าเรนเดียร์ก็ไม่ได้สืบทอดกันอีกต่อไป ชาวซามีจึงก่อตั้ง Sami Village เพื่อให้วัฒนธรรมประเพณียังคงอยู่ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตดั้งเดิม

Lavvu บ้านแบบกระโจมของชาวซามี่

คุณลุงที่เห็นหน้าทุกเวปแนะนำเที่ยวหมู่บ้านซามี่ อดัมบอกว่าลุงเป็นเจ้าของที่นี่ด้วย ในวันที่นักท่องเที่ยวน้อยลุงลงมาทำเองทุกอย่าง ลุงก็เริ่มจากมาเล่าอะไรยาวยืดฟังไม่รู้เรื่อง อดัมสรุปให้ฟังคร่าวๆว่าอธิบายการใช้ชัวิตของชาวซามี่ แนะนำข้าวของเครื่องใช้

มีชุดชนเผ่าซามี่ให้ใส่เล่นกัน ลองดมดูกับดูความสะอาดแล้วพอได้ก็เลยใส่สักหน่อยให้เข้าบรรยากาศ

เสาอันนี้ อดัมบอกว่าให้เอาเหรียญไปอธิษฐานแล้วโยนไว้ที่โคนเสา โดย 4 เสาแรก แทนธาตุของแต่ละคน ดิน น้ำ ลม ไฟ นับจากวันเดือนปีเกิด ก็ต้องไปถามลุงเอาว่าใครธาตุอะไร ส่วนอีก 5 เสา แทนเรื่อง ความรัก โชคดี ร่ำรวย ความสุข สุขภาพ (ตามที่ลุงพูดเลยนะ ใช่ ลุงพูดภาษาไทย คนไทยน่าจะมาเยอะจริงแฮะ) จะอธิษฐานเรื่องอะไรก็ไปขอ

เด็กๆน่าจะชอบที่นี่เพราะมีกิจกรรม ให้อาหารกระต่าย มีไปเล่นกับฮัสกี้ และให้อาหารกวางเรนเดียร์

พวกนี้เป็นกระต่ายป่า ขนจะไม่เหมือนกระต่ายเลี้ยงในบ้านเรา

เจ้าฮัสกี้น่ารัก แต่โดนล่ามไว้ ไม่ได้นั่งฮัสกี้ลากเลื่อน ลุงบอกว่าหิมะน้อยเกินไป (ทำไมก็ไม่รู้)

เดินต่อไปที่บริเวณเลี้ยงกวางเรนเดียร์ มองไปรอบแรกนึกว่าฝูงวัว เพราะมีแต่เขาปุ่มๆ เพิ่งจะรู้ว่าเรนเดียร์จะผลัดเขาทุกปี เขาจะงอกขึ้นเรื่อยๆแล้วแผ่กิ่งสวยเอาช่วงหน้าหนาวปลายๆปี พร้อมพาซานต้าไปส่งของขวัญทั่วโลก

เรนเดียร์ไม่มีเขามันคือวัวชัดๆ

ลุงเอาหญ้าทุนดร้ามาแจก ให้ป้อนเรนเดียร์ หญ้าทุนดร้าเป็นหญ้าชนิดพิเศษเกิดในภูมิประเทศเฉพาะที่เรียกว่าทุ่งทุนดร้า เป็นหญ้าที่เรนเดียร์ชอบ ชาวซามีจะเก็บหญ้าจากตอนฤดูร้อนไว้เป็นอาหารเรนเดียร์ในช่วงฤดูหนาวที่ทุ่งหญ้าจมหิมะหมด

อาหารเที่ยงรวมในค่าเข้าแล้ว มื้อนี้มีซุปปลา เนื้อกวางเรนเดียร์ผัด กินกับช้าว รู้สึกแปลกพิลึก เพิ่งให้อาหารกันมาหมาดๆ มากินกันซะแล้ว

ช่วงบ่ายลุงแนะนำการละเล่นของชาวซามี่คือการโยนห่วง เป็นกีฬาสำหรับผู้หญิง เถาวัลย์มัดเป็นห่วงโยนให้เข้าเป้า 5 ครั้ง เข้ากี่ครั้งก็จะบอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไร เช่น ทำอาหารเก่ง ทำงานบ้านเก่ง อะไรแบบนี้ ซึ่งเรานั้นไม่เข้าเลย เหอๆ ส้วนผู้ชายเป็นการโยนบ่วงเชือก 5 ครั้งเหมือนกัน

กิจกรรมสุดท้ายน่าจะสนุกสุด คือการนั่งลากเลื่อนโดยเรนเดียร์ ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้นั่งลากเลื่อนนึกว่าจะลากเข้าไปในป่า แต่ความจริงแล้วเป็นสนามพาวิ่งวนเป็นรอบๆ อารมณ์เหมือนนั่งรถแข่งในสนามพัทยาเซอร์กิต ลุงเป็นคนบังคับเรนเดียร์เอง ยิ่งพวกเรากรี๊ด ลุงยิ่งเร่งให้เรนเดียร์วิ่งเร็วเพิ่มไปอีก เข้าโค้งทีตัวแทบหลุดออกจากลากเลื่อน กวางเรนเดียร์นี่วิ่งเร็วกว่าที่คิดจริงๆ ลุงน่าจะชอบพวกเรา ปกติวิ่งกันคนละ 3 รอบ ลุงแถมให้พวกเราเป็น 4 รอบ ยังไม่หมดแค่นี้ มีนั่งเรือกล้วยยอดนิยมอีกคนละ 3 รอบ ลุงขับ Snow mobile ให้อีกเช่นเคย ซิ่งสุดๆเช่นเคยด้วย

จบกิจกรรม Day trip วันที่ 4 อดัมจะไปส่งพวกเราที่สนามบินเพื่อบินกลับมอสโกเย็นนี้เลย ระหว่างทาง อดัมภูมิใจนำเสนอสำธารสวยๆให้พวกเราลงไปถ่ายรูป ฮีว่าฮีเคยมาจอดแวะฉี่ แล้วเห็นว่าวิวสวยจังวุ้ย ฮา…..

ลุยหิมะกันเป็นการสั่งลา

สนามบินมูร์มันส์ เป็นสนามบินเล็กๆ แต่ผู้คนเดินทางเยอะคึกคักมาก มีร้านขายของที่ระลึก ของฝากอยู่พอสมควร ร้านกาแฟก็พอมีแต่มีตู้กดกาแฟ (เต่าบินรัสเซีย) หลายตู้มากไม่ต้องกลัวอด แต่มีโรงอาหารที่เดียวด้านใน จบทริปแสนเหนื่อย แต่สนุกสุดคุ้ม

OTOP Murmansk ปลาและคาเวียร์

กลับถึงมอสโกมืดๆ นอน 1 คืน แล้วรุ่งขึ้นเก็บตกมอสโกอีก 1 วัน ก่อนจะบินกลับไทยด้วยสายการบิน Oman Air เที่ยวห้าทุ่มกว่า สรุปว่าได้เที่ยวมอสโกวันแรกกับวันสุดท้ายรวม 2 วัน อ่านเรื่อง >> 2 Days in Moscow <<

ตามล่าหาแสงเหนือที่มูร์มันสค์

Aurora Hunting in Murmansk, Russia

Mid Apr. 2023

จากมอสโกเมืองหลวงขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 1,900 กม. ถ้านั่งรถไฟก็ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนกว่าจะถึง เราเลือกนั่งเครื่องภายในประเทศ ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. จากมอสโกก็มาถึงสนามบินเล็กๆของเมืองมูมันสค์ จากอุณหภูมิหนาวน้อยๆ 10°C ที่มอสโก มาเจอกับอุณหภูมิติดลบ มีร่องรอยหิมะให้เห็นตั้งแต่สนามบิน พวกเราจะเที่ยวในแถบนี้ 4 วัน 4 คืน พักอยู่ที่ตัวเมืองมูร์มันสค์ ออกเที่ยวเมืองรอบๆในช่วงกลางวัน แล้วออกล่าแสงเหนือในช่วงกลางคืน

ตามล่าหาแสงเหนือ | Aurora Hunting

ภาพแสงสีเขียวมลังเมลืองบนท้องฟ้ายามค่ำคืน เป็นภาพที่คนอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรอย่างเราๆ ไม่มีโอกาสจะได้เห็นกับตา ถ้าไม่ขวนขวายตะเกียกตะกายเดินทางไปให้ใกล้ขั้วโลก เพราะ Aurora เป็นปรากฏารณ์ธรรมชาติ มีความเกี่ยวเนื่องกับแนวขั้วโลก ดังนั้นจะพบเห็นแสงได้ในบริเวณแถบขั้วโลก ถ้าใกล้ขั้วโลกเหนือ ก็เรียกแสงเหนือ ถ้าใกล้ขั้วโลกใต้ก็เป็น แสงใต้ ตรงๆตัวเลย แต่ที่คนออกตามล่า(ดู)แสงเหนือกัน เพราะมีพื้นที่อยู่อาศัยอยู่ใกล้แถบขั้วโลกเหนือให้ไปเที่ยวกันได้ เช่น ไอซ์แลนด์ ประเทศยอดนิยมในการดูแสงเหนือ หรือ สวีเดน ฟินแลนด์ และรัสเซียทางตอนเหนือ อย่างเมืองมูร์มันสค์ ที่เราไป ส่วนขั้วโลกใต้ ไม่มีพื้นที่อยู่อาศัยให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันก็เลยไม่มีใครได้ไปดูแสงใต้

แสงขั้วโลกเกิดจากอนุภาคพลังงานสูงซึ่งถูกปลดปล่อยจากดวงอาทิตย์ขณะที่กำลังหมุน อนุภาคเหล่านี้เคลื่อนที่มากับลมสุริยะ มุ่งหน้าเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก เนื่องจากสนามแม่เหล็กบนผิวโลก ในขณะที่อนุภาคเคลื่อนที่ผ่านชั้นบรรยากาศโลกที่ระดับความสูง 80-640 กิโลเมตรจากพื้นดิน จะชนกับโมเลกุลของก๊าซในชั้นบรรยากาศ และปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงที่ตามนุษย์มองเห็นได้

ที่มา : https://www.nstda.or.th/sci2pub/aurora-polaris/ (เพจสาระวิทย์อธิบายเข้าใจง่ายสุดแล้ว ถ้าอยากรู้ก็เข้าไปอ่าน)

เวปนี้ก็ดีแต่เป็นภาษาอังกฤษ https://capturetheatlas.com/what-are-the-northern-lights/ อธิบายละเอียดแต่เข้าใจได้

แสงเหนือมีหลายสี เขียว ชมพู แดง เหลือง ม่วง ขึ้นกับความสูงในการเกิดและความเข้มข้นของก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจน สีที่เห็นกันบ่อยสุดก็คือ สีเขียว เป็นสีที่เกิดในช่วง 100-200 กม.จากพื้นโลก มีโมเลกุลของออกซิเจนเข้มข้น ถ้าเกิดในระยะมากกว่า 200 กม.ขึ้นไป ก็จะมีสีแดง เป็นต้น ใครเจอจังหวะที่ความเข้มแรง ได้เห็นหลายๆสี ก็ถือว่าโชคดีสุดๆ

บริเวณไหนที่สามารถเห็นแสงเหนือได้มาก

ชื่อว่าแสงเหนือ ประเทศที่มีโอกาสเห็นแสงเหนือก็ต้องอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ เช่น ไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ สแกนดิเนเวีย โดยเฉพาะแถบแลปแลนด์ ทำความเข้าใจกันใหม่ก่อนว่า แลปแลนด์ | Lapland ไม่ได้อยู่ในประเทศฟินแลนด์ ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งของฟินแลนด์อยู่ในเขตแลปแลนด์ต่างหาก เพราะแลปแลนด์เป็นเขตพื้นที่ในแถบยุโรปเหนือ ติดกับเขต Arctic circle ครอบคุลมพื้นที่ตอนเหนือของ นอรเวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และรัสเซีย เป็นที่อยู่อาศัยของชาวซามี่ | Sami ชนเผ่าดั้งเดิมในพื้นที่ แลปแลนด์มีภูมิประเทศเหมาะแก่การไปดูแสงเหนือ เราจึงเลือกไปที่ มูมันสค์ ทางตอนเหนือของรัสเซีย ด้วยเหตุผลง่ายๆคือ ค่าใช้จ่ายถูกกว่าที่อื่น

เราสามารถไปหาดูแสงเหนือเองได้ง่ายๆหรือไม่?

เคยอ่านเจอว่า แค่คุณโหลดแอพที่บอกค่า KP มา ว่าพื่นที่ๆจะไปที KP เท่าไหร่ ถ้า KP สูงๆ อย่าง 4-5 เราก็ไปได้เลย แค่เดินทางไปเมืองใกล้ๆขั้วโลกเหนือก็จะเห็นแสงเหนือ นั่นก็ไม่ถูกต้อง 100% ไม่แน่ว่าจะได้เห็น เพราะการจะเห็นแสงเหนือมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ทิศทาง ช่วงเวลา ทัศนวิสัย นอกจากนั้นต้องนึกถึงความปลอดภัยในจุดที่จะไปเฝ้าดูด้วย เพราะถ้าคุณอยู่ในเมืองที่มีแสงสว่างเยอะ ก็อาจจะมองไม่เห็น ความจริงแล้วแสงเหนือมีให้เห็นได้ตลอดเวลา เพียงแต่ช่วงกลางวันที่ฟ้าสว่างก็จะมองไม่เห็น เปรียบเทียบง่ายๆว่า คืนข้างขึ้นที่พระจันทร์สว่าง เราก็จะไม่เห็นดวงดาว ทั้งที่ดาวมันก็สว่างเหมือนเคยนั่นแหละ ดังนั้นคุณก็ต้องออกไปนอกตัวเมืองให้พ้นจากแสงสว่าง ความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย

จะเห็นหรือไม่ อย่างน้อยควรได้ตามนี้

  1. สถานที่ : ใกล้ขั้วโลกเหนือ เช่น แถบแลปแลนด์ หรือยุโรปตอนเหนือ
  2. ช่วงเวลา : ประมาณ ตุลาคม-เมษายน คือช่วงฤดูหนาวที่มีกลางคืนนานกว่ากลางวัน จะมีช่วงเวลาให้เฝ้าดูได้นาน
  3. สภาพแวดล้อม : ท้องฟ้าเปิด และไม่มีแสงรบกวน จึงควรออกนอกตัวเมือง
  4. KP Index : เลือกช่วงที่ KP Index สูงๆ (ค่าบอกความเข้มของ aurora ในกรณีที่มองเห็น)
  5. บุญวาสนา และโชคชะตา

การถ่ายรูปแสงเหนือ

ไม่อยากเขียนเรื่องนี่เท่าไหร่นัก เพราะไม่มีความรู้เลย แต่ก็อ่านคำแนะนำจากหลายๆเวปและลองถ่ายออกมา ก็แค่พอใช้ได้ การตั้งค่ากล้องคือ ใช้ ISO 1600-3200 / Mode M / S 2”-4” / F กว้างสุดที่มี (ไม่ควรเกิน F4) และใช้ Manual Focus ซึ่งจะมองไม่เห็นและโฟกัสไม่ได้ หลายคนจึงแนะนำให้หมุนเลนส์ไปที่ infinity แต่มีเคล็ดนิดหน่อยว่าในอากาศหนาว ควรหมุนไว้ก่อน infinity หน่อยนึงเพราะในอากาศเย็นชิ้นเลนส์มันจะหดตัว (เขาว่างั้นนะ) ตั้งค่าแบบนี้เลย ไม่ต้องเข้าใจอะไรมาก กดชัตเตอร์ไปแล้วก็ดู ถ้ามันสว่างไปก็ลดเวลาถ่ายลงหน่อย ถ้ามืดไปก็เพิ่มเวลาขึ้นหน่อย แต่ยิ่งใช้เวลานาน แสงเหนือจะแผ่กระจาย ถ้าชอบแสงเหนือเป็นสายเป็นเส้นก็ใช้เวลาให้น้อยลง หรือจะปรับค่า ISO ก็ได้ ประมาณนั้น

ส่วนการถ่ายรูปแสงเหนือด้วยมือถือ ต้องใช้มือถือที่มีโหมด Pro และควรมีขาตั้งกล้อง ตั้งค่าคล้ายๆกล้อง ต้องทดลองดู หรือถ่ายเป็นคลิปก็ได้ถ้ามือถือเลนส์ดีๆ ถ่ายได้ในระดับน่าพอใจ

สิ่งที่ต้องเข้าใจอีกอย่างคือ เราจะไม่ได้เห็นแสงบนฟ้าสีเขียวมลังเมลืองเมื่อแหงนมองท้องฟ้า แต่จะเห็นเป็นแถบขาวๆเหมือนทางช้างเผือก แต่จะปรากฏเป็นสีในกล้องถ่ายรูป จึงต้องมีประสบการณ์ในการมองว่าตอนนี้มีแสงเหนือเกิด (หลังจากวันแรก เราก็พอมองออกแหละ) ยกเว้นว่าเจอแสงเหนือแบบ KP สูงมากๆ จะมองเห็นเป็นสีขึ้นบนฟ้าได้เลยเหมือนกัน

เราออกล่าแสงเหนือ 3 คืน ในแต่ละคืนดูค่า KP จากแอพแล้ว KP อยู่ประมาณ 2 – 3 – 4 ซึ่งไม่ได้เป็น KP index ที่สูงนัก ต้อง KP 4 หรือ 5 ถึงจะเรียกว่าค่าสูง ซึ่งแสงจะเข้มมาก น่าจะอลังการงานสร้างมาก ช่วงที่เราไปคือ ช่วงกลางเดือนเมษายน ถือว่าเป็นช่วงท้ายฤดูล่าแสงเหนือแล้ว เพราะกำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อนแล้ว พระอาทิตย์ตก 22:30 กว่าจะมืดสนิทก็ห้าทุ่มกว่า พอตี 2 แสงก็เริ่มมาแล้ว เหลือเวลาให้ล่าแสงเหนือไม่กี่ชั่วโมง แต่เราก็ได้เจอแสงเหนือทั้ง 3 คืน

1

คืนแรก เราออกกันตอน 23:00 มีสมาชิกทั้งคนไทยและรัสเซียรวม 7 คน นั่งรถจากตัวเมืองมูร์มังส์ไปนอกเมืองประมาณ 45 นาที ไกด์อดัมก็จอดรถ บอกว่าลงมารอดูได้แล้ว ไกด์อดัมก็อาศัยดูแอพและประสบการณ์ มีแสงเหนือออกมาพอสมควรเลย ถ่ายรูปกันสนุกสนาน ไกด์ถ่ายรูปลูกทัวร์กับแสงเหนือให้ด้วย คืนนี้ถือว่าโชคดี เจอเร็ว ออกเยอะ และแสงเข้มพอสมควร อากาศก็ชิลๆ -8°C แค่นั้นเอง – -“

ถ่ายภาพแสงเหนือครั้งแรกในชัวิต ตั้งค่าตามที่อ่านมานั่นแหละ แสงสีพอได้อยู่นะ แต่ความคมชัดยังไม่ดี กล้อง Nikon Zfc + Lens Zigma 10-20 mm. F 4-5.6 กล้องใหม่แต่เลนส์เก่ามาก มีแค่นี้แหละ

อยู่กันริมถนนแบบนี้เลย

มือถือสเปคต่ำสุด Iphone 12 mini ไม่มีโหมด pro ด้วยซ้ำ ถ่ายออกมาไม่เลวนะ (ไม่ได้ปรับแสงสีเพิ่ม)

รูปจากมือถือเพื่อนสเปคสูงกว่าของเรา Iphone 14 pro max ออกมาแสงสีสวยเลย

ฝีมือไกด์อดัม ถ่ายรูปให้ลูกทัวร์ทุกคน สาวรัสเซียนางสวยนะ แต่เบลอหน้าให้นางหน่อยกลัวโดน PDPA แหะๆ (Camera : Sony Alpha7S)

ไกด์อดัมกับชุดสะท้อนแสง ที่นึกว่ามาขุดถนน

2

คืนที่ 2 เปลี่ยนเป็นไกด์เดนิส มีสมาชิกไทยและรัสเซีย 8 คน เต็มรถตู้พอดี วันนี้ดวงไม่ค่อยดี วนหาอยู่นาน แสงไม่โผล่ นอนรอในรถกันจนหลับ ไกด์เดนนิสมาเรียกให้ลงไปดูตอนตี 1 กว่าเกือบตี 2 แล้ว และแสงออกน้อยมาก แต่มีจังหวะที่แสงเข้ม ออกสีชมพูม่วงแซมสีเขียวมาด้วย สวยอยู่เหมือนกัน แต่ถ่ายรูปกันได้ไม่นานเพราะใกล้สว่างแล้ว

รอนานจนหลับ ไกด์เดนิสมาปลุกตื่นมางัวเงียสุดๆ คว้าไอโฟนมาถ่าย จับสีได้บางๆ แต่มีสีม่วงอมชมพูด้วย

คืนที่ 2 นี่ออกน้อย แต่เราว่ามันก็สวยใช้ได้อยู่นะ

ไกด์เดนิสถ่ายรูปสวยมาก เสียดายว่าคืนที่ออกล่าแสง มันออกน้อยไปหน่อย แต่ไกด์มีความตั้งใจและความพยายามมาก ลูกทัวร์หลับเกลี้ยงเลย ไกด์เฝ้าแสงยันตี 2

3

คืนที่ 3 คืนสุดท้าย เหลือเรา 2 คนที่ออกล่าแสงเหนือ เราก็ไปกับไกด์อดัม ซึ่งอดัมบอกว่าเราเป็น 2 คนสุดท้ายของฤดูกาลเลย จากนี้เขาไม่เปิดทัวร์ดูแสงเหนือแล้วเพราะเหลือเวลากลางคืนน้อย จนกลัวว่าลูกทัวร์จะไม่เห็น เหลือแค่ 2 คนไกด์เลยเอารถส่วนตัวมารับตอนห้าทุ่ม ขับรถออกไปทางเดิมที่ไปวันแรก ไม่ถึงเที่ยงคืน อดัมก็ชี้ให้ดูว่าเจอแล้ว รีบเลี้ยวรถเข้าหาถนนเงียบๆ ลงรถแล้วแหงนหน้าดู โอ้โห… วันนี้แสงออกเต็มฟ้า ออกเยอะพาดข้ามหัวไปมา เยอะจนถ่ายรูปไม่ถูก ฝีมือก็ไม่มีเท่าไหร่ด้วย อดัมบอกว่าวันนี้ออโรร่าสวยมาก ทั้งไกด์ทั้งเราถ่ายรูปกันสนุกสนาน นับว่าเป็นการปิดฤดูกาลล่าแสงเหนือที่ดีของไกด์และของเรา คืนนี้แสงเหนือแรงและเยอะ จนสามารถเห็นได้จากในตัวเมือง อดัมเอารูปให้ดูว่ามีคนในเมืองถ่ายรูปจากคอนโดมาสีเขียวสวยเต็มฟ้าเลย

คืนที่ 3 แสงออกเข้มมาก จนแหงนหน้ามองเห็นสีเขียวบนฟ้าได้เลย มือถือถ่ายได้เข้มประมาณนี้เลย

คืนสุดท้ายประทับใจที่สุด รูปที่ถ่ายมาไม่สวยเท่าตาเห็น (ตั้งค่าเหมือนๆเดิมแหละ แอบคิดว่าถ่ายเก่งขึ้น หรือเพราะมันออกเยอะเลยถ่ายง่ายก็ไม่รู้)

ไกด์อดัม ขยันขันแข็งในการถ่ายรูปให้เราเหมือนเดิม ยิ่งไปกันแค่ 2 คน ฮียิ่งถ่ายให้อย่างสนุกสนาน แค่ถ่ายรูปแสงเหนือเรายังไม่ค่อยได้เรื่องเลย ให้ถ่ายรูปคนกับแสงเหนือยิ่งไปกันใหญ่ กะแสงไม่ถูก รูปคนจึงมีแต่ที่อดัมถ่ายให้ รูปนี้ลองกดมาดูตอนอดัมจัดแสงถ่ายคน ก็ได้รูปประมาณนี้

การมาดูแสงเหนือใช้เวลาแต่ช่วงกลางคืน ช่วงกลางวันก็เลือกได้เลยว่าอยากทำอะไร บางคนอาจจะเหนื่อย ง่วงนอน ไม่อยากทำอะไร แค่อยู่ในเมืองเที่ยวเล่น ชมวิว อะไรไปก็ได้ แต่ไหนๆมาไกลขนาดนี้แล้ว เราก็เลยเลือกซื้อทัวร์แบบเต็มๆไปเลย คือกลางวันเที่ยว กลางคืนล่าแสงเหนือ ขอบอกว่าเหนื่อยและง่วงมาก แต่คิดว่าคุ้มค่าตั๋วเครื่องบิน ไว้กลับไปนอนที่บ้าน

➡️ อ่านเรื่องเที่ยว Murmansk & Around 4 วัน [City tour Murmansk / Khibiny Mt. / Teriberka / Sami Village] >> เที่ยวใกล้ขั้วโลกที่มูร์มันสค์ <<

🟥 อ่านเรื่องเที่ยวมอสโก 2 วัน >> 2 Days in Moscow <<

Website Built with WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: