Altitude Sickness โรคแพ้ที่สูง

ได้ทราบข่าวการจากไปของพี่สาวคนหนึ่งที่ได้ไปเดินขึ้น Everest Base Camp (EBC) แต่พี่ไปไม่ถึงและพี่ก็จากไปด้วยอาการปอดติดเชื้อ น้ำท่วมปอด ซึ่งล้วนแต่เป็นอาการจาก High altitude sickness ในระดับความสูงที่ 5,200 ม.จากระดับน้ำทะเล

R.I.P. พี่แต้วที่รักของน้อง

High Altitude Sickness หรือโรคแพ้ที่สูง เกิดจากการที่ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เนื่องจากในที่สูงออกซิเจนในอากาศจะน้อยลง และความดันอากาศจะลดต่ำลง ส่งผลให้ความดันออกซิเจนในเลือดต่ำลงด้วย แถมด้วยในที่อากาศหนาวเย็น จะส่งผลให้ร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้นเพื่อสร้างพลังงานสำหรับคงอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สรุปคือยิ่งอยู่ในพื้นที่สูงอากาศหนาวเย็น ออกซิเจนในอากาศจะมีน้อยลงในขณะที่ร่างกายเรากลับต้องการมากขึ้น เช่น พื้นที่สูง 3000 ม.จากระดับน้ำทะเล จะมีออกซิเจนเหลือเพียง 70% จากปกติ เมื่อ % ออกซิเจนในอากาศมีน้อยลง ทำให้การหายใจของเราได้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายน้อยกว่าปกติ ว่ากันตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ร่างกายมนุษย์ต้องการออกซิเจนเพื่อแปลงเป็นพลังงานในการดำรงชีพ เมื่อได้รับออกซิเจนน้อย เราก็จะสร้างพลังงานได้น้อยลง

สำหรับคนไทยทั่วไป ระดับความสูงประมาณ 2,500 ม.จากระดับน้ำทะเลน่าจะไม่มีผลกระทบ เทียบเอาจากดอยอินทนนท์ที่สูง 2,500 ม. จากระดับน้ำทะเล ใครๆก็ไปเที่ยวได้ ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าใครไปเที่ยวยอดดอยอินทนนท์แล้วปวดหัว เหนื่อยง่าย ก็พึงระวังไว้ว่า คุณมีความเสี่ยงสูงมากในการไปในที่สูงกว่านี้ ประเทศท่องเที่ยวที่คนนิยมไปและควรต้องระวังโรคแพ้ความสูง เช่น ธิเบต (3,500 ม.), เปรู (Cusco 3,300 ม. / Machu Picchu 2,800 ม.), เลห์-ลาดัค (3,500 ม.), หลายมณฑลของประเทศจีน อยู่ในระดับความสูง 2,500 – 3,000 ม. หรือการไปปีนเขาสูงในประเทศต่างๆ

อาการแพ้ที่สูง จะเกิดขึ้นหลังจากการขึ้นไปอยู่ในที่สูงแล้วราวๆ 5-6 ชม. อาการที่เป็นกันบ่อยๆ คือ ปวดศีรษะ เหนื่อยง่าย ใจสั่น เหล่านี้เป็นเพียงอาการเริ่มต้น สามารถรอให้ร่างกายปรับตัว 1-2 วันก็สามารถใช้ชีวิตหรือท่องเที่ยวได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นและยังไม่เดินทางลงมาที่ระดับต่ำกว่า อาจมีอาการต่อเนื่องรุนแรงถึงชีวิตได้ โดยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้น คลื่นไส้ อาเจียน ทรงตัวไม่ได้ น้ำท่วมปอด ตามมาด้วยอาการสมองบวม ก้านสมองกดทับแกนสมองทำให้เกิดอาการชัก สมองขาดออกซิเจนในที่สุด

อาการแพ้ที่สูง ไม่ได้ขึ้น กับอายุ เพศ ความแข็งแรง คนที่เคยไปที่สูงแล้วไม่เกิดอาการ ก็อาจเกิดอาการได้ในครั้งต่อไป คนแข็งแรงออกกำลังกายตลอดก็อาจเกิดอาการได้ คนอายุมากไม่เกิดอาการเลยก็มี มันมีองค์ประกอบปลีกย่อยของร่างกายมากมาย รวมทั้งสภาพร่างกายในช่วงนั้น และพฤติกรรมในตอนนั้นๆด้วย อีกอย่างคือโรคประจำตัว คนที่มีโรคประจำตัว เช่น ธาลัสซีเมีย จะมีอัตราการได้รับออกซิเจนน้อยกว่าปกติ ต้องระวังมากกว่าคนทั่วไป คนเป็นโรคหอบหืด(หนักๆ) เป็นโรคทางเดินหายใจ โรคปอด แม้แต่เป็นหวัดในช่วงก่อนไป ไม่ควรเดินทาง เพราะจะทำให้ปอดทำงานหนักกว่าปกติและอาจรับไม่ไหว

เตรียมพร้อมก่อนไปเที่ยวในพื้นที่สูง

ความจริงแล้วร่างกายมนุษย์มีความสามารถในการปรับสภาพร่างกายให้อยู่ได้ในสภาวะต่างๆ (ไม่เช่นนั้นชาวเปรูจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร) แต่การจะปรับสภาพร่างกายให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ก็ต้องใช้เวลา การท่องเที่ยวไปในพื้นที่สูงจึงต้องมีเวลาเพื่อให้ร่างกายปรับสภาพ การวางแผนที่ดี ควรค่อยๆเดินทาง ขยับระดับความสูงขึ้นไปและแวะพักเป็นช่วงๆ ไม่ควรบินไปลงที่จุดหมายปลายทางเลยในครั้งเดียว แม้บางครั้งจะต้องมีการบินไปที่ปลายทางเลย เมื่อไปถึงต้องประเมินสภาพร่างกายตัวเองทันทีว่ารับได้หรือไม่ แต่ถึงแม้ร่างกายจะรับไหวก็ต้องหยุดพักที่นั้นเพื่อรอให้ร่างกายปรับสภาพ แล้วถึงจะเริ่มออกเที่ยวกัน

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แนะนำการปฏิบัติตัวในการไปอยู่ในพื้นที่สูงแบบง่ายๆดังนี้ เคลื่อนไหวให้ช้า เดินช้า ลุกนั่งให้ช้า / สูดหายใจลึกๆตลอดเวลา / จิบน้ำบ่อยๆ / งดของมึนเมา / พกออกซิเจนกระป๋องติดตัว สูดอยู่เรื่อยๆ ไม่ต้องรอให้มึนหัวก่อนค่อยสูด / เวลานอนอย่านอนราบ ให้หนุนหัวสูงไว้ จะหายใจได้สะดวกกว่า

สุดท้าย ยา Diamox ช่วยได้ แต่ควรกินป้องกันตั้งแต่ก่อนเดินทางขึ้นที่สูง 1-2 วัน และทานต่อเนื่อง ทางที่ดีไปปรึกษาแพทย์ ถึงปริมาณการใช้

ที่บอกข้างบนมาจากประสบการณ์ผ่านความสูงมาบ้าง 2-3 ทริป

ไป Yading Nature Reserve มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ความสูง 3,900 ม. กลางคืนในที่พักนอนไม่หลับเลย ล้มตัวลงนอนเหมือนจะขาดใจตาย หายใจไม่ได้เต็มปอด มาคุยกับไกด์จีนตอนเช้า ไกด์บอกว่าลืมแนะนำว่าอย่านอนราบ ให้นอนหนุนหัวสูงหรือครึ่งนั่งครึ่งนอนเพราะการนอนราบจะทำให้ปอดแฟบ เราทดลองในคืนอื่นๆแล้วดีขึ้นจริงๆ และเพราะนอนไม่เพียงพอ การเข้าไปเที่ยวในอุทยานวันรุ่งขึ้นและยังไปวิ่งรอบทะเลสาบที่ความสูง 4,100 ม. เพื่อทำเวลาถ่ายรูป ทำให้ทรุดลงไปกองข้างทะเลสาบ โชคดีที่พี่ๆผู้ชายในกลุ่มเห็นแล้วช่วยกันหิ้วปีกออกมาจนถึงม้าเพราะเดินไม่ได้เลย แล้วได้เด็กจูงม้าช่วยดึงช่วยดันออกมาจนถึงจุดจอดรถได้ในที่สุด โชคดีที่กลับออกมาได้ นอนพักในรถและกลับมานอนที่โรงแรมแล้วโชคดีที่ฟื้นตัวกลับมาได้ในคืนเดียว ดังนั้นจำไว้ ห้ามวิ่งเด็ดขาด

ในเมืองอื่นๆก็รู้สึกได้ถึงความไม่ปกติของร่างกาย เพราะเมืองเซี่ยงเฉิง | Xiangchen หรือเต้าเฉิง | Daochen ก็สูงมากกว่า 3,700 ม. ลงรถมาเดินถ่ายรูปก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยง่ายแล้วแม้จะพยายามเดินช้าๆ และจุดชมวิวระหว่างทางก็มีจุดที่สูงถึง 4,700 ม.จากระดับน้ำทะเล ตรงนี้เดิน 4 – 5 ก้าวก็เหนื่อยแล้ว

เมื่อมีประสบการแพ้ความสูงมาบ้าง ทริปนี้เราระมัดระวังตัวมาก เดินช้า กินช้า ในตัวเมืองเลห์ก็สูง 3,500 ม.แล้ว ได้ห้องพักอยู่ชั้น 3 ขึ้น 3 ขั้นหยุด 4 ขั้นหยุด เพราะหายใจได้ไม่เต็มปอดเลย แต่ก็ปกติดีตลอดจนวันที่นั่งรถผ่าน Shangla Pass (5,300 ม.) ขาไปได้ลงไปเดินถ่ายรูป ยังระวังตัวเดินช้าๆ ถ่ายรูปแต่พอสมควร สภาพร่างกายปกติ ข้ามไปถึง Pangong Lake (4,350 ม.) สวยงามจนพากันลืมตัว ไปกระโดดถ่ายรูปหน้าทะเลสาบ คิดว่าได้รูปกิ๊บเก๋ สภาพคือ พอขึ้นรถกลับปวดมึนหัว ตอนรถผ่าน Shangla Pass ปวดหัวตุ๊บๆเหมือนเส้นเลือดจะแตกกันเลยทีเดียว โชคดีอีกครั้งที่กลับถึงที่พักแล้วได้นอนพักร่างกายก็ฟื้นตัว

ระมัดระวังตัวมากเช่นเคย เดินช้า กินช้า ถ่ายรูปก็ช้า สูดออกซิเจนกระป๋องเรื่อยๆตั้งแต่วันแรก และรอดปลอดภัยตลอดทริป ในตัวเมืองสาซา ความสูงประมาณ 3,500 ม. เดินขึ้นเที่ยวแต่ละวัดก็เหนื่อยพอสมควร แต่ระวังตัวตลอดเลยไม่เป็นอะไรมาก กินได้ นอนหลับ แต่ระหว่างทางนั่งรถไปเมือง ชิกาซึ | Shigatse มีจุดชมวิวที่ Kambala Pass เขาว่ากันว่าสูงร่วมๆ 5,000 ม.จากน้ำทะเล การลงมาเดินเล่นถ่ายรูปจึงต้องใช้วิธีย่องๆเพื่อความปลอดภัยของปอดและหัวใจ อีกจุดหนึ่ง Kharola Glacier ป้ายบอกความสูงที่ 5,020 ม. รถจอดให้ลงไปชมธารน้ำแข็งข้างทาง ก็ต้องลงมาเดินแบบนับก้าวเอาเหมือนเดิม

ประเทศภูฎานบริเวณหุบเขาตอนกลางของประเทศ มีระดับความสูง 1,100-2,600 ม. และบริเวณตอนใต้ มีระดับความสูง 300-1,600 ม. ไม่มีปัญหากับสภาพร่างกายแต่อย่างใด แต่จะมีวันที่ไปวัดทักซัง (TaktshangGoemba) หรือ รังเสือ (Tiger Nest) ที่ภูเขาโชโมละลี ( Jomolhari Mountain ) ซึ่งภูเขานี้สูงที่สุดในภูฎาน มีความสูงอยู่ที่ 7,326 เมตร ตัววัดทักซังตั้งอยู่บนหน้าผาสูง 900 เมตร รถจะไปส่งตรงจุดเริ่มเดินที่ระดับ 2,300 เมตร พวกเราต้องเดินขึ้นไปที่ยอดเขาความสูง 3,100 เมตร ช่วงแรกจะนั่งม้าขึ้นไป ช่วงสุดท้ายต้องเดิน ก็เหนื่อยพอสมควร แต่ไม่เกิดอาการอะไรมากนัก ไม่มีปวดหัว เหนื่อยก็แค่นั่งพัก แต่ก็มีบางคนในกรุ๊ปพกออกซิเจนกระป๋องคอยสูดไปด้วย

สุดท้ายขอสรุปอีกรอบ การเดินทางไปในพื้นที่สูง พึงตระหนักถึงความปลอดภัย เตรียมตัวให้พร้อม สุขภาพสำคัญแน่นอน เป็นหวัดหรือภูมิแพ้กำเริบไม่ควรไป แต่การประเมินสภาพตัวเองสำคัญที่สุด อย่านึกว่าแข็งแรงแล้วไม่ระวังตัว หาข้อมูลสถานที่ๆจะไปให้มากๆเตรียมพร้อมในทุกด้าน ทำประกันสุขภาพ ประกันการเดินทาง และขอให้โชคดี

อยากอ่านเรื่องโรคแพ้ความสูงแบบมีหลักการศัพท์แสงวิชาการเชิญที่เวบนี้ได้
https://www.thaitravelclinic.com/…/altitude-sickness1.html