เก็บตกศรีลังกา

มหากาพย์ 11 วันในศรีลังกาก็จบลงแล้วนะคะ ทริปข้ามปีใหม่ 2018-2019 ที่ผ่านมา กลับมาค่อยๆทำรูปค่อยๆเล่าไป 3 เดือน เขียนจากความจำผสมรายละเอียดจากรูปที่ถ่ายมา เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจในการไปเที่ยวศรีลังกาสำหรับคนชอบเที่ยวแนวนี้ มีบางคนเขียนมาถามว่าศรีลังกาอันตรายมั๊ย ตอบตรงนี้อีกครั้งว่า ไม่อันตรายค่ะ ถ้า… เรารู้จักระมัดระวังตัวเองไม่เอาตัวเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่นเดินในที่เปลี่ยวตอนกลางคืน หรือแม้แต่กลางวันก็เถอะ ไม่แต่งตัวล่อเป้าล่อสายตา โดยตัวของคนศรีลังกาเองแล้ว เท่าที่เจอมาใน 11 วัน เป็นคนใจดี หน้าตาอาจจะดุแต่ลองคุยกับเขาดูจะพบว่าคนศรีลังกาใจดีกว่าที่คาดค่ะ

ศรีลังกาเป็นประเทศที่คนไทยต้องขอ Visa แต่การของ่ายมาก แนะนำให้ทำ Online Application ที่ ETA official website of the Department of Immigration & Emigration (DI&E) of the Democratic Socialist Republic of Sri Lanka. เข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัวและรายละเอียดแผนการท่องเที่ยวนิดหน่อย จ่ายค่า Visa online ไป 35$ โดยการตัดบัตรเครดิตไป หรืออยากไปทำ Visa On Arrival ที่สนามบินก็ได้ ก็อาจจะเสียเวลาหน่อย Apply Application แล้ว จ่ายเงินเรียบร้อย อีก 24 ชม. จะมี Email ยืนยันกลับมาว่าVisa approve ให้ Print email นั้นไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจด้วย

ศรีลังกาเป็นเมืองพุทธ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากเกี่ยวพันกับความเชื่อและศาสนา การแต่งกายจึงควรสุภาพตามสมควร อาจจะดูเป็นเมืองร้อน แต่ก็ไม่ได้ร้อนจัดมากสำหรับคนเอเชียอย่างเรา จึงไม่เห็นความจำเป็นในการแต่งตัวสั้นจู๋สายเดี่ยวหรือผ้าบางจนเห็นไส้เป็นขดๆ ปล่อยชาวยุโรปเขาไปค่ะ การเข้าไปในวัดหากเตรียมการไปได้ก็ควรใส่ชุดสีขาว หรือสีสุภาพ คนศรีลังกาจะใส่สีขาวเข้าวัดกันค่ะ นักท่องเที่ยวก็จะเดินแล้วดูแปลกแยกชัดเจน เขาไม่ว่าหรอกค่ะ แต่เราใส่สีสุภาพเพื่อเป็นการเคารพสถานที่

ศรีลังกามีสุกลเงินของตัวเองเป็น ศรีลังการูปี (Rs. or LKR) ไม่มีร้านรับแลกเงินในไทยที่มีเงินรูปีศรีลังกาให้แลก ต้องเอาเงินสกุลหลักเช่น US$ / Euro € / JPY ¥ / Thai฿ ไปแลกที่สนามบิน รับกระเป๋าออกมาด้านนอกจะมีเคาเตอร์รับแลกเงินหลายที่ (อัตราแลกเปลี่ยน ณ ธันวาคม 2561 > 1$ : 180.5Rs. / 1฿ : 5LKR.)

เล่าเรื่องที่พัก

ที่พักในศรีลังกาถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน มีทั้งหรูหรา 5 ดาว ไปถึงโฮมสเตย์ จองที่พักได้ผ่านเวปจองที่พักทั่วไป หรือ email ไปจองตรงกับที่พัก ตัวอย่างที่พักที่เราไปพัก จองล่วงหน้าไปทั้งหมด เลือกจากสถานที่เป็นหลักเช้นเคย อย่างบางที่อยากอยู่ใกล้ที่เที่ยว หรือบางที่อยากอยู่ใกล้สถานีรถไฟจะได้เดินไปกลับสะดวก ก็แล้วแต่แผนการเดินทางของแต่ละคนประเมินความดีงามของที่พักจากรีวิว ทำจองออนไลน์แล้วไปจ่ายเงินที่โน่น พักทั้งโรงแรม ทั้งเกสเฮาส์ ทั้งโฮมสเตย์ โดยรวมแล้วดีหมด

  • Colombo: C1 Hotel, Fort
  • Galle: Be Relaxing @ NO. 1 Galle City
  • Tissa: The Cool Nest Yala Hotel
  • Ella: Tunnel Gap Homestay
  • Kandy: Hotel Blue Pillars Kandy
  • Dambulla: Hotel Gala Addara
  • Anuradhapura: Amsterdam Tourist Rest

C1 Hotel, Fort
ที่พักทำเลดี อยู่ในย่าน Fort Colombo มีตึกสวยๆ ร้านเก๋ๆ ให้เดินเล่น อยู่ใกล้ Ministry of crab
ราคา 8,370 Rs. นอน 3 คน ห้องพักสะอาดใช้ได้ มี wifi มีทีวี ตู้เย็น มีลิฟต์ รวมอาหารเช้า
ห้องอาหารชั้นดาดฟ้า วิวเมือง
Be Relaxing @ No.1 Galle City
ที่พักลักษณะ Air bnb เจ้าของเป็นพนักงานธนาคารนิสัยดีมากๆ มีบ้านมาเปิดให้เช่าพัก
ทำเลอยู่ใกล้สถานีรถไฟ จะไปเที่ยวใน Galle Fort ต้องนั่งรถไป
ราคา 13,000Rs. ได้บ้านทั้งหลัง 2 ห้องนอน สะอาด อุปกรณ์ครบครัน ทีวี ตู้เย็น ห้องครัว เครื่องซักผ้า
ข้อเสียคือหายากหน่อย ไม่มีป้ายชื่อ ต้องหาจากเลขที่บ้าน No.1
The Cool Nest Yala Hotel
ที่พักในเมืองเล็กๆ Tissa ราคา 11,800 รูปี แต่บ้านพักหลังใหญ่ สะอาด พร้อมห้องนั่งเล่นห้องครัว
พนักงานพูดอังกฤษได้ดี ติดต่อซาฟารีทัวร์ให้ได้ มีอาหารง่ายๆให้สั่ง เช่น ข้าวผัด
อยู่ไม่ไกลจากกลางเมือง เดินเข้าเมืองได้ไม่ไกลมาก
Tunnel Gap Homestay
ที่พักลักษณะ Homestay พักอยู่กับเจ้าของบ้าน มีห้องให้เช่าอยู่ 4 ห้อง มีห้องน้ำในตัว
ห้องที่เราพักมี 2 เตียงนอนได้ 4 คน ราคาคืนละ 8,000 รูปี/ห้อง นอนที่นี่ 3 คืน
Suda และครอบครัวเจ้าของบ้านน่ารัก เป็นกันเอง ใจดี ช่วยเหลือดีมาก อาหารเช้าเต็มโต๊ะ
บ้านอยู่บนเนินเขา ต้องเดินขึ้นลง มีไร่ชาของครอบครัวอยู่ติดกัน
เพราะที่พักอยู่บนเนินเขา ทำให้วิวดีใช้ได้ มีน้ำชากาแฟพร้อมขนมให้กินตลอดเวลา
Hotel Blue Pillars Kandy
บูทิคโฮเทลเก๋ๆ ห้องพักดี วิวดี แต่ไม่ได้อยู่กลางเมือง ต้องเรียกรถมาจากสถานีรถบัสหรือรถไฟ
อาคาร 3 ชั้น ไม่มีลิฟต์ ราคาห้อง 2 คน 8,000 รูปีต่อคืน (ไม่รวมอาหารเช้า) ห้องอาหารชั้นบนสุด วิวดีเหลือร้าย
Hotel Gala Addara
ที่พักในสวน มีห้องพักแค่ 4 ห้อง Welcome Drink เป็นน้ำฝรั่งจากสวน หวานอร่อย
ที่พักสะอาด ดี ตามมาตรฐาน ราคา 5,800 รูปีต่อห้อง 2 คน รวมอาหารเช้า
เมือง Dambulla ค่อนข้างเงียบ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไปพักที่ Sigiriya
Amsterdam Tourist Rest
ที่พักดี บริหารงานด้วยครอบครัว พ่อแม่ลูก อยู่ไม่ไกลจากเมืองโบราณ
คุณพ่อผู่เป็นผู้จัดการ ช่วยเหลือในการวางแผนการท่องเที่ยวและเดินทางดีมาก
คุณแม่เป็นแม่ครัวทำอาหารอร่อยใช้ได้ แต่ทำอาหารเป็นเวลา สั่งอาหารนอกเวลาไม่ได้
หัวค่ำยุงเยอะมาก และยังมียุงมากวนตลอดคืน ที่พักจึงมีมุ้ง ห้องพัก 3 คน ราคา 8,370 รูปี รวมอาหารเช้า

เล่าเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม

อาหารศรีลังกา ลักษณะคล้ายอาหารอินเดีย คือมีเครื่องเทศ มีข้าว มีโรตี มีแกงกระหรี่ แกงเผ็ด คนไทยน่าจะกินได้อยู่ ราคาอาหารไม่ได้แพงมาก แล้วแต่ร้านที่คุณเลือก ถ้าเป็นแหล่งท่องเที่ยวก็ราคาบวกเพิ่มไปหน่อย ถ้าเป็นระดับภัตตาคารก็บวกเพิ่มไปอีก

อาหารศรีลังกาชุดพื้นฐานจะมี ข้าว แกง และเครื่องเคียง ข้าวแต่ละเมืองก็ไม่เหมือนกัน มีทั้งเม็ดสั้น เม็ดยาว แต่ไม่นุ่มอร่อยเหมือนข้าวหอมมะลิบ้านเรา

“Ministry of Crab” ร้านดังในโคลอมโบ ใครอยากไปชิมปูศรีลังกาที่ร้านนี้ให้โทรจองก่อน เพราะมีคน Walk in แล้วไม่ได้โต๊ะก็หลายคนอยู่

ร้านอร่อยที่ Ella

Matey Hut ร้านอาหารศรีลังกาใน Ella อยู่ใกล้อุโมงลอดใต้ทางรถไฟ ร้านติดดาวใน TripAdvisor ไปลองตามรีวิวโดยแท้ และยอมรับว่าอร่อยจริง แถมราคาถูก ร้านเล็กๆมีที่นั่งไม่เกิน 15 ที่ ไม่รู้ตอนนี้จะขยายรับลูกค้ามากขึ้นหรือเปล่าเพราะผลังวันปีใหม่ปิดปรับปรุงร้าน 3-4 วัน เจ้าของร้านมนุษย์สัมพันธ์ดีเยี่ยม ฝรั่งต่อแถวยาวทุกวัน ไม่อยากรอนาน ก็ไปหัววันหน่อย ฝรั่งจะมามืดๆ

Halpe’ Tea Restaurant เป็นร้านอาหารของโรงงานชา Halpe’ Tea ร้านดูหรูหราหน่อย ราคาก็ตามสถานที่ มีอาหารฝรั่งเป็นหลัก อร่อยใช้ได้เลย ฝรั่งแน่นตอนมื้อดึก ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศจาก ข้าว โรตี แกง ก็มาลองร้านนี้ได้ อยู่เลยจากกลางเมืองมาทางจะไป Little Adam’s Peak เดินมาตอนเย็นๆอากาศดี แต่ขากลับจะมืดหน่อย ติดไฟฉายมาด้วยก็ดี ยกเว้นว่าจะพักอยู่แถวๆนี้

ร้านอาหารใน Kandy

เจ้าของร้าน Jewelry ข้างๆวัดพระเขี้ยวแก้ว แนะนำร้านอาหารที่คนท้องถิ่นกิน “Midland Deli” อยู่ฝั่งตรงข้ามร้าน Jewelry นั่นแหละเหมือนร้านข้าวแกง สั่งตักราดข้าว หรือจะสั่งอาหารจากเมนูก็ได้ มีอาหารหลากหลายนอกจากโรตีกับแกง ก็มีพวกหมี่ผัด สลัดผักด้วย อร่อยดี ราคามิตรภาพมากๆ

The Empire Cafe’ ร้านอาหารในอาคารเก่าที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกในเมือง Kandy ร้านสวยคลาสสิค อาหารอร่อย มีทั้งอาหารตะวันตกและอาหารศรีลังกา อยู่ข้างวัดพระเขี้ยวแก้วเลย คนแน่นทุกวัน ส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาหารฝรั่งหน้าตาดูดี รสชาติใช้ได้ บรรยากาศเยี่ยม ราคาภัตตาคาร

ร้านอาหาร Dambulla / Sigiriya

เมือง Dambulla เป็นเมืองเงียบๆคนพักเมืองนี้น้อย ส่วนมากไปพักที่ Sigiriya มากกว่า ถามที่พักและคนขับตุ๊กๆ ต่างบอกให้ไปกินข้าวที่ Marco Polo ชื่อร้านดูหรูหรา แต่ไม่ได้หรูหราเท่าชื่อหรอก มีอาหารศรีลังกาเป็นหลัก ข้าว โรตี แกง แต่มีไก้ทอดให้สั่ง มื้อเย็นมีไก่ย่างด้วย

หลังจากไปปีน Sigiriya Rock (Lion Rock) ตั้งแต่เช้า กลับลงมาตอนสาย นั่งรถกลับที่พักที่ Dambulla เจอร้านนี้ระหว่างทาง R2R : Road to Rock ตั้งใจแวะจิบกาแฟ พบว่าร้านดีเกินคาด ขายอาหารหลายอย่าง ลอง Club sandwich กับ Springroll อร่อยใช้ได้ มีชา กาแฟสด มี souvenir shop ให้ขาช็อปด้วย เหมือนเจอโอเอซิสกลางทะเลทราย

เล่าเรื่องการเดินทาง

การเดินทางในศรีลังกา ไม่ยากเลย มีทั้งรถบัส รถไฟ หรือเหมารถ ถามว่ารถไฟต้องจองหรือไม่ ตามจริงแล้วถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลก็ไม่ต้องจองได้ ดวงแย่สุดก็ยืนเอา อย่างที่เล่าในหลายๆตอน ยืนบ้างนั่งบ้าง รถบัสก็เหมือนกันไปซื้อตั๋วที่ท่ารถได้เลย แต่ถ้าให้ดีก็ไปซื้อล่วงหน้า 1 วันก็จะทำให้แผนการเดินทางไม่ผิดพลาด

จากสนามบิน Bandaranaike International Airport เมือง Nekombo ไป Colombo ระยะทาง 30 กม. นั่งรถ Shuttle bus 187 เข้าเมือง ออกมาหน้าสนามบินก็เจอป้ายรถเลย สะดวกสบายมาก ค่ารถ 200 รูปี มีออกทุกๆชั่วโมง รถไปจอดที่ท่ารถ Colombo Bus Station ซึ่งอยู่ใกล้ๆหัวลำโพงศรีลังกา Fort Railway Station
บางเมืองมีทั้ง Bus และ Mini Bus ให้เลือก ราคาไม่ต่างกันเท่าไหร่
เรานั่งมินิบัสจากคันดี้ไปดัมบุลลาในราคา 220 รูปี
รถบัสระหว่างเมืองกับรถเมล์ในศรีลังกาดูแล้วแยกไม่ออกเลย ต้องอาศัยดูจากป้ายว่าวิ่งจากไหนไปไหน

ว่าด้วยเรื่องรถไฟ เป็นการเดินทางที่สะดวกสบายพอสมควร ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวนิยมนั่งกันเพราะราคาถูกและได้ชมวิวสวยๆ ถ้าไม่กลัวว่าจะต้องยืนก็ไปซื้อที่สถานีได้เลย แต่รถไฟสายยอดนิยมอย่างรถไฟสายชา ช่วง Ella <-> Kandy ถ้าต้องการนั่งชั้น 1 หรือ ชั้น 2 ควรจองไปล่วงหน้า มีเว็บรับจองหลายที่ เช่น visitsrilankatours หรือ seat61.com ลองเทียบราคาดู เพราะจะมีค่าธรรมเนียมการจองไม่เท่ากัน

ทางรถไฟในศรีลังกามี 3 เส้นทางหลักคือ
Coastal Line คือทางรถไฟวิ่งเลาะชายฝั่ง เป็นเส้นทางสวยงามไม่น้อยเลย โดยมีวิ่งจาก Colombo ลงใต้เลาะชายทะเลไป Galle และ Mattara กับออกจาก Colombo วิ่งเลียบชายฝั่งขึ้นไป Pattalam
East Line เริ่มต้นจาก Colombo ออกไปทางตะวันออก แยกที Peradeniya เป็น 2 สายไป Badulla และ Matale ทางรถไฟสายนี้สวยงามเพราะเป็นเส้นทางหุบเขา ผ่านไร่ชาและป่าสน มีสายหมอกปกคลุม เส้นทางยอดนิยมคือ เส้นระหว่าง Ella ผ่าน Nuwara Eliya ถึง Kandy
Northern Line เป็นเส้นทางขึ้นเหนือ จาก Colombo ขึ้นเหนือไปแตกแขนงออกเป็นหลายเส้นทาง ไป Anuradhapura, Mannar ขึ้นไปถึง Jaffna ตอนเหนือของศรีลังกา และมีอีกทางที่แยกไป Trincomalee และ Batticoloa เมืองชายทะเลยอดนิยมทางฝั่งตะวันออกด้วย

สามารถตรวจสอบตารางเวลาการเดินรถได้ที่ Srilanka Railways

ถ้าอยากรู้จักศรีลังกาให้นั่งชั้น 3
ที่นั้งชั้น 2 ระบุเลขที่นั่ง ไม่มีแอร์ บางขบวนมีพัดลม บางขบวนก็ไม่มี ที่นั่งเป็นเบาะนั่งได้พอสบาย
คนท้องถิ่นนิยมนั่งชั้น 3 นักท่องเที่ยวก็ด้วย ถ้านั่งเที่ยวเล่นใกล้ๆ ก็ไปชั้น 3 ไม่มีที่นั่งก็ยืนรับลมกันสนุกสนาน
ตารางรถเวลาเดินรถยังเป็นระบบมืออยู่ เพราะมีแค่ไม่กี่สาย ไม่กี่ขบวน
ทางรถไฟสาย Coast Line วิ่งเลาะเลียบชายทะเล พวกเรานั่งจาก Colombo ลงใต้ไป Galle
ไปซื้อตั๋วที่สถานี เป็นรถนั่งชั้น 2 ราคา 240 รูปี
East Line Train สายยอดนิยมของนั่งท่องเที่ยว
พวกเรานั่งจาก Ella ขึ้นเหนือไป Kandy ตั๋วนั่งชั้น 2 ราคา 600 รูปี
Northern Line ทางรถไฟผ่านทุ่งนาเขียวขจี
นั่งจาก Anuradhapura กลับลงมา Colombo ตั๋วนั่งชั้น 2 ราคา 500 รูปี

ว่าด้วยเรื่องตุ๊กๆในศรีลังกา ก็คงเหมือนเมืองท่องเที่ยวทั่วโลก มีทั้งดีและร้าย ที่ร้ายนี้คือบอกราคาแพงกว่าปกติ 2-3 เท่า แต่ราคาที่เป็นปกติคือระยะทางประมาณ 3 กม. 120 รูปี อันนี้ราคาตามมิเตอร์เลยนะ เจอตุ๊กตุ๊กติดมิเตอร์วันแรกวันเดียว นอกนั้นไม่เจออีกเลย แต่ก็พอรู้ราคามาตรฐานแล้ว ก็ต่อรองราคาประมาณนี้ ลองคำนวณระยะทางดูตอนเรียกรถ คนศรีลังกาส่วนมากพูดภาษาอังกฤษได้ดี ก็เพราะเคยมีอังกฤษเข้ามาบริหารประเทศอยู่ยาวนาน

ต่อรองราคาตุ๊กตุ๊ก เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล
ข้อดีของการนั่งตุ๊กตุ๊กเที่ยวคือ ได้ครบทุกอรรถรส รูป รส กลิ่น เสียง แถมควันและฝุ่นด้วย

สรุปรวดยอดให้อีกครั้ง 11 วันในศรีลังกา แบ่งเป็น 8 ภาค กับอีก 1 โพสต์เรื่องชาซีลอน   

  • SriLanka Part-1 [Galle]
    • ศรีลังกา วันที่ ๑ : ผ่านเมืองหลวงลงใต้ไปเที่ยวทะเล
    • ศรีลังกา วันที่ ๒ : Galle ทะเลใสๆกับกลิ่นอายชาวดัชต์
  • SriLanka Part-4 [Ella]
    • ศรีลังกาวันที่ ๓ Ella เมืองแห่งชา
    • ศรีลังกาวันที่ ๔ สวัสดีปีใหม่กลางไร่ชา
    • ศรีลังกาวันที่ ๕ ทำความรู้จักกับชาซีลอน
  • SriLanka Part-5 [Kandy]
    • ศรีลังกาวันที่ ๖ นั่งรถไฟสายชาจาก Ella สู่ Kandy
    • ศรีลังกาวันที่ ๗ เที่ยวแบบหวานเย็นในเมืองชื่อเหมือนลูกอม Kandy
  • SriLanka Part-6 [Dambulla-Sigiriya]
    • ศรีลังกาวันที่ ๘ เที่ยวถ้ำ Dambulla
    • ศรีลังกาวันที่ ๙ Sigiriya วังลอยฟ้าที่น่าเศร้า
  • SriLanka Part-7 [Anuradhapura]
    • ศรีลังกาวันที่ ๙ Anuradhapura เมืองเก่าของเราแต่ก่อน
  • SriLanka Part-8 [Colombo]
    • ศรีลังกาวันที่ ๑๐ นั่งรถไฟไป Colombo
    • ศรีลังกาวันที่ ๑๑ ลาทีศรีลังกา

SriLanka Part-8 [Colombo]

Colombo then go home

ศรีลังกาวันที่ ๑๐ นั่งรถไฟไปโคลอมโบ

ยามเช้าในอนุราธปุระ อากาศเย็นสบายผิดกับช่วงบ่ายเมื่อวาน พวกเรายังคงสรุปว่า เพราะศรีลังกามีต้นไม้เยอะ ยังมีพื้นที่ป่าอยู่มาก อากาศถึงได้เย็นสบาย จิบกาแฟพร้อมอาหารเช้าชุดใหญ่ที่ๆพักจัดให้ แถมด้วยกล้วยอีก 1 หวีที่คุณพ่อเจ้าของที่พักคะยั้นคะยอให้พวกเราเอาไปเป็นเสบียงในระหว่างนั่งรถไฟ

Anurathpura Train Station ใหญ่โตแต่เงียบเหงา ตัวอาคารสถานีสวยงามพอสมควร ระหว่างรอรถไฟก็เดินถ่ายรูปเล่นได้ไม่เบื่อ รถไฟขบวน 4018 เป็นรถไฟรุ่นเก่า มาถึงสถานีช้ากว่าเวลา 9:02 ตามตารางนิดหน่อย Reserve Car มีคนนั่งเต็มเกือบทุกที่นั่ง รถไฟสายนี้เหมือนรถไฟไทยมากที่สุด มีคนหิ้วของขึ้นมาขายตลอดเวลา ทั้งขนม ของว่าง ผลไม้ ชา กาแฟ ขาดก็แต่ไก่ย่าง

ไม่ว่าจะเป็นรถไฟสายไหน ก็ยังคงมีที่จับหนาแน่นเหมือนกัน

จาก Anurathpura ไป Colombo เป็นคนละอารมณ์กับรถไฟ 2 ช่วงที่เรานั่งมา จาก Colombo ไป Galle เป็นทางรถไฟเลียบทะเล จาก Ella ไป Kandy เป็นทางรถไฟผ่านหุบเขาไร่ชาและป่าสน แต่ทางรถไฟจาก Anurathpura ไป Colombo นี้เป็นทางรถไฟผ่านสวนผักและทุ่งนา

เริ่มเห็นตึกแล้ว ก็แสดงว่าถึงเมืองแล้วจ้า

ยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงอากาศก็ยิ่งร้อน เหมือนกันไปหมดทุกประเทศ เพราะความแออัดของคน ของอาคาร และยานพาหนะ รถไฟสุดทางที่ Fort Railway Station แบกกระเป๋าออกหาตุ๊กๆนอกสถานีเหมือนเดิม ไม่ต้องต่อรองกันมาก ราคามิตรภาพกว่ารถที่จอดรอในสถานีแน่นอน น้องนิ่มหัวหน้าทีมเลือกที่พักแถวๆ Fort ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของ Colombo จะได้เดินเที่ยวเล่นได้สะดวก พวกเราไม่ได้มีแผนเที่ยวใน Colombo ตั้งใจแค่มาแวะพักก่อนขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย แค่มาทำความรู้จักเมืองหลวงนิดๆหน่อยๆ

บ่ายแก่ๆ เดินเล่นในย่านที่พัก มีตึกสวยๆให้ถ่ายรูป มีร้านกาแฟดีๆให้เข้าไปนั่งหลบร้อน มี Spa shop ดีๆให้เข้าไปเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ มีร้านเก๋ๆให้เดินเที่ยวก็เยอะ เดินทะลุหอนาฬิกาไป ก็จะถึงท่าเรือ หรือเดินเลาะซ้ายไปเรื่อยๆไป Colombo Walk ก็ทะลุออกไป World Trade Center ได้ ไปเดินดูชีวิตชาวเมืองกันหน่อย

นั่งตุ๊กๆไปร้าน Barefoot ร้านขายของเสื้อผ้า เครื่องใช้ มีดีไซน์เก๋ๆที่ Galle street เพราะเป็นร้านใหญ่

เย็นนี้พวกเราทุบหม้อข้าวด้วยการจอง Ministry of Crab มาศรีลังกาทั้งทีต้องลองปูศรีลังกา มื้อนี้แพงกว่าค่าอาหารทั้งทริป แต่ก็ประทับใจในความอร่อย ใครอยากไปชิมปูศรีลังกาที่ร้านนี้ให้จองก่อนนะคะ เพราะมีคน Walk in แล้วไม่ได้โต๊ะก็หลายคนอยู่

วันที่ ๑๑ ลาทีศรีลังกา

เช้าสุดท้ายในศรีลังกา ขึ้นดาดฟ้าโรงแรมไปทานอาหารเช้า ยังคงได้รับลมเย็นๆยามเช้า แม้จะอยู่ในเมืองหลวงที่กลางวันร้อนมากมาย วันนี้พวกเราจะกลับบ้านกันด้วยสายการบิน Srilankan Airline เหมือนเดิมในตอนบ่าย จึงมีเวลาเก็บตกใน Colombo ครึ่งวัน ได้เดินดูตึกสวยๆแถวย่าน Colombo Fort มีตึกเก่าเป็นร้อยๆปีเพียบเลย แถมได้ซื้อของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆจากร้านขายส่งใกล้ๆที่พัก พอเป็นของฝากเพื่อนๆได้ และใช้เวลาที่เหลือในการไปจิบชาใน Tea room ให้สมกับมาศรีลังกาเมืองแห่งชา

ถึงตึกจะเก่าแต่ Solar Cell เพียบเลย
เป็นร้าน KFC ที่สวยสุดที่เคยเจอล่ะ

ร่ำลาศรีลังกากันได้ครบรสทีเดียว อาจเที่ยวไม่ครบทุกจุด ไม่ได้ไปทุกแห่ง แต่ก็ถือว่าได้รู้จักศรีลังกาในหลายมุมมอง ในหลายบรรยากาศ สนุกดีค่ะ

SriLanka Part-7 [Anuradhapura]

Anuradhapura
The Golden Era of SriLanka

ศรีลังกาวันที่ ๙ Anuradhapura เมืองเก่าของเราแต่ก่อน

ช่วงเช้าไปปีน Lion Rock ขึ้น Sigiriya พระราชวังลอยฟ้าเสร็จแล้วกลับที่พักเก็บข้าวของเพื่อไปต่อ พี่ตุ๊กๆพาพวกเรามารอรถที่จุดเดิมที่เราลงเมื่อวาน เราก็อยากจะขึ้นรถบัสใหญ่ (ยังพยายาม) แต่พี่ตุ๊กไม่ยอม 555 พี่แกว่ามันไม่สบาย มันไม่มีแอร์ มันมีแต่คนท้องถิ่น และรถมินิบัสมันมาบ่อยกว่า และจอดน้อยกว่า พวกเราก็เออนะ ได้ๆ ยังถ่ายรูปเล่นกันอยู่เลยรถก็มาจอด ถ้ารอบัสใหญ่ไม่รู้ต้องรอถึงกี่โมง ก็เลยเอาวะ ไปๆๆ พวกเราจะนั่งจาก Dambulla ไป Anuradhapura ระยะทาง 65 กม. ใช้เวลาราวๆ 2 ชม. พอๆกับตอนที่เรานั่งจาก Kandy มาที่นี่ ราคาค่ารถเลยเท่ากันที่ 220 รูปี และไม่เสียค่าวางกระเป๋าด้วย

ไปต่อกันอีก 2 ชม.

นั่งเพลินๆไม่นานก็ถึง ลงรถมายืนงงๆเหมือนเคย เพราะรถส่งลงข้างถนน เหมือนหมู่บ้านเล็กๆตามตจว. ตุ๊กๆก็เข้ามาเสนอตัวด้วยราคาแพงกว่าที่ควร (เหมือนเดิม) แต่เราก็รู้ทัน (เหมือนเดิม) เดินกันมาเรื่อยๆก่อน ให้พ้นจากจุดลงรถ แล้วถึงเรียกรถตุ๊กๆ

ถึงแล้ว Anuradhapura ดูเหมือนอำเภอไกลๆตามต่างจังหวัดบ้านเรา

ถ้าให้เปรียบ Anuradhapura ก็ต้องว่าเหมือนอยุธยา เพราะเป็นเมืองหลวงเก่าแก่มาตั้งแต่ 1600 กว่าปีโน่น มีวัดและเจดีย์มากมาย การจะเที่ยวเมืองเก่า Sacred City นี้ทำได้ทั้งเช่ารถตุ๊กๆ หรือเช่าจักรยานปั่นเที่ยวเอง แต่ถึงแม้ว่า Anuradhapura จะเป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดในทริปของเรา แต่มันกลับร้อน ร้อนมาก แดดฆ่ากันได้เลยนะ ถ้ามิตรรักนักปั่นสู้แดดไหวก็เชิญเลย พวกเราขอเลือกเหมาตุ๊กๆเที่ยวดีกว่า

Malvathu River ไหลผ่านกลางเมืองอนุราธปุระ

ที่พักวันนี้ ดูดีมากๆ เมื่อเทียบกับเมืองที่ดูธรรมดาๆ “Amsterdam Tourist Rest” บริหารงานแบบครอบครัว มีคุณพ่อเป็นผู้จัดการ มีคุณแม่เป็นแม่ครัว ลูกชายวัยรุ่น ขยันขันแข็งช่วยพวกเราแบกกระเป๋าขึ้นมาทำการ Check-in คุยกันให้ที่พักหาตุ๊กๆให้ พักผ่อนนิดหน่อยก็ออกลุยกันเลย

ที่แรกที่พี่ตุ๊กพาเราไปคือ “วัดสุรุมุณิยะ” (Isurumuniya Rajamaha Viharaya)  ต้องเสียค่าเข้า 200 รูปี วัดมีประวัติศาสตร์ยาวนาน สร้างมาตั้งแต่พุทธศตวรรตที่ 3 โดยกษัตริย์ Devanmpiyatissa เพื่อเป็นที่พำนักของนักบวชในวรรณะชั้นสูง 500 รูป รวมทั้งพระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ทรงผนวชเป็นภิกษุณีที่นี่ด้วย เข้าไปจะเห็นมีเทวสถานขนาดเล็กติดริมเชิงเขา เข้าไปนมัสการพระพุทธรูปได้ ข้างๆมีภาพสลักบนหน้าผา เป็นภาพการเสด็จลงจากสวรรค์ของแม่พระคงคา ถัดไปมีส่วนโบสถ์สร้างใหม่ และ Isurumuniya Archaeological Museum อาคารพิพิธภัณฑ์ที่เก็บภาพแกะสลักและรูปสลักอยู่บ้างพอสมควร  อันที่ได้รับความสนใจมากๆคือ รูปสลักหินคู่รัก (The Lover) จุดเด่นของวัดอีกอย่างคือ เจดีย์สีขาวอยู่บนเนินเขาหลังโบสถ์ เดินขึ้นไปด้านบนได้ มองเห็นวิวได้ไกลๆด้วย

จากนั้น แวะเข้าไปที่ Abhayagiri Museum สามารถซื้อตั๋วเข้า Sacred City ได้ที่นี่ ราคาบัตร 13,800 รูปี หรือ 25$ การเข้าไปเที่ยวใน Sacred City of Anuradhapura อารมณ์คล้ายเข้าไปเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์บ้านเรานั่นแหละ ในส่วนเมืองโบราณนี้มี ทั้งเขตพระราชฐาน มีทั้งวัด ทั้งเจดีย์ กระจัดกระจายอยู่มากมาย ความจริงก็ปั่นจักรยายเที่ยวได้เพราะในบริเวณนี้มีต้นไม้ใหญ่เยอะ ร่มรื่นพอสมควร (ไอ้ที่บอกว่าร้อนนั่นคือ กว่าจะปั่นจากที่พักมาถึงที่นี่น่ะร้อนหัวแตก) ซื้อตั๋วเสร็จแล้ว เดินดูในพิพิธภัณฑ์ด้วย เพราะมีรูปสลัก รูปปั้น ข้าวของโบราณให้ดู แถมด้วยห้องแสดงภาพเก่าของโบราณสถานต่างๆที่เราจะไปดูของจริงต่อไป

ออกจากพิพิธภัณฑ์ ที่ต่อไป พี่ตุ๊กพาไปที่ เจดีย์เชตะวัน (Jethawa Stupa) เป็นเจดีย์อิฐขนาดใหญ่ยักษ์ สมกับที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในโลก

จุดต่อไปที่จอดให้ลงไปดูคือ บ่อคู่แฝด Kuttam Pokuna เป็นสถานที่อาบน้ำของพระภิกษุสงฆ์ในสมัยโบราณ บ่อน้ำนี้มีอายุมากกว่า 1700 ปี เดินดูรอบๆจะมีประติมากรรมหินสลักตามบันไดทางลง เป็นรูปพระยานาค,หัวสิงห์และคนโฑ

รถพาวิ่งผ่านหมู่แมกไม้ไปอีกไม่ไกลก็จอดให้พวกเราลง พี่คนขับชี้ให้เดินไปนมัสการพระพุทธรูป พวกเราเดินเข้าไปพร้อมป้าศรีลังกากลุ่มใหญ่ในชุดสีขาวสะอาด ที่ต่างก็เข้าไปก้มกราบสักการะองค์พระพุทธรูปหินทรายที่สลักไว้ได้สวยงามมากๆ  The Samadhi Buddha องค์นี้ มีอายุกว่า 2500 ปี พี่คนขับบอกว่าให้เดินดูทั้งด้านซ้ายและด้านขวาจะเห็นหน้าท่านไม่เหมือนกัน คือมีทั้งด้านสุขและด้านเศร้า

จุดต่อไปที่แวะคือ เจดีย์อภัยคีรี (Abhayagiri Stupa) เป็นเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเจดีย์เชตวัน ดูแล้วรูปทรงคล้ายกันมากๆ ถ้าไม่ได้ถ่ายรูปป้ายชื่อไว้ก็คงจำสลับกันได้ เจดีย์อภัยคีรีนี้ถูกสร้างโดยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย เมื่อ 2100 ปีที่แล้ว

พี่ตุ๊กของเราวันนี้ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำขลับตามแบบฉบับศรีลังกาแท้ ความรู้ดีมากๆ พี่แกอธิบายได้อย่างไกด์ แต่พวกเราเนี่ย ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง

วนรถต่อไปอีกหน่อย พี่คนขับพาเราไปดู Moonstone ที่บริเวณทางเข้า Abhayagiri Monastery พวกเราก็เพิ่งรู้ว่าแผ่นหินครึ่งวงกลมแกะสลักบริเวณทางเข้าศาสนสถานต่างๆนี้เรียก Moonstone ซึ่งพวกเราเจอในทุกวัดที่เราไป ตอนแรกก็ไม่กล้าเหยียบเพราะว่าเป็นภาพแกะสลักสวยงามทุกที่ แต่เห็นชาวศรีลังกาเดินเหยียบกันเป็นปกติ ก็เลยกล้าเดินเหยียบบ้าง Moonstone ที่พี่ตุ๊กพามาดูนี้ เขาว่ากันว่าเป็น Moonstone ที่สมบูรณ์ที่สุดในศรีลังกา

ใกล้ๆกันมีรูปแกะสลักทวารบาลเฝ้าทางขึ้น Polonnaruwa Vatadage ซึ่งตอนนี้เหลือแต่โครงเสาและองค์พระ รูปปั้นทวารบาล Guardstone (Mulagara) เป็นศิลปะแบบสิงหลโบราณ แกะสลักสวยงามมาก

ที่สุดท้ายที่พวกเราแวะในอุทยานประวัติศาสตร์ คือ “เจดีย์ถูปาราม” (Thuparama Stupa) เป็นเจดีย์ทางพุทธศาสนาองค์แรกของประเทศศรีลังกา สร้างโดยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ในราว พ.ศ. 300 เพื่อประดิษฐานกระดูกพระรากขวัญ(ไหปลาร้า) เบื้องขวาของพระพุทธเจ้า องค์เจดีย์ได้รับการบูรณะหลายครั้งจึงดูใหม่มากๆ

ออกนอกเขตอุทยานประวัติศาสตร์ พวกเรามาแวะสถานที่สำคัญมากๆอีกแห่งในอนุราธปุระ พระศรีมหาโพธิ์ (Sri Maha Bodhi) ถือว่าเป็นต้นโพธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตามประวัติบอกว่า พระนางเถรีสังฆมิตตา พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงผนวชเป็นภิกษุณีอยู่ที่วัดสุรุมุณิยะ (ที่เราไปแวะที่แรกนั่นแหละ) เป็นผู้นำต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้มาจากพุทธคยา ในประเทศอินเดีย เมื่อ 2,500 กว่าปีที่แล้ว จะเข้าที่นี่ต้องจอดรถไว้ด้านนอก แล้วเดินเข้าไปตามทาง เข้าไปด้านในจะแน่นขนัดไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่เข้ามากราบไหว้ศรีมหาโพธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคล และผู้คนอีกมากมายที่มานั่งสวดมนต์ มานั่งสมาธิ พวกเราได้แต่เดินรอบๆ และรู้สึกได้ถึงแรงศรัทธาของชาวพุทธ พี่คนขับชี้ให้พวกเราดูว่าต้นไหนที่ถือว่าเป็นต้นดั้งเดิมที่แท้จริง เราก็ไม่รู้หรอกว่าต้นจริงต้นไม่จริงคืออะไร แต่ไม่ว่าอย่างไร ต้นศรีมหาโพธิ์นี้ก็เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายไว้ได้

พี่ตุ๊กๆเก็บดอกลั่นทมให้พวกเราบอกว่าเอาไปถวายพระด้านใน
พร้อมอธิบายความหมายว่า ลั่นทมมี 5 กลีบ มีความหมายเหมือนศีล 5
ต้นโพธิ์ที่ว่ากันว่าเป็นต้นดั้งเดิมจากพุทธคยา ต้องทั้งค้ำทั้งยันไว้

ถึงมีเวลาไม่มากนัก แต่ก็พอได้รู้จักอนุราธปุระ มาถึงพระศรีมหาโพธิ์ตอนบ่ายแก่ๆแล้วพวกเราก็ขอจบการเที่ยวแต่เพียงเท่านี้ พี่คนขับรู้สึกไม่สบายใจมากๆที่พวกเราบอกว่าพอแล้ว ขอกลับที่พัก เพราะยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายที่ๆพี่แกอยากพาไป แต่พวกเราก็เหนื่อยเกินกว่าจะไปต่อ

นั่งตุ๊กตุ๊กเที่ยวก็เพลิดเพลินประมาณนี้

หลังอาหารเย็นที่ให้คุณภรรยาเจ้าของที่พักเป็นคนทำอาหารให้ พวกเราก็นอนหลับสลบกันอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะรีบตื่นแต่เช้า จับรถไฟกลับโคลอมโบ

SriLanka Part-6 [Dambulla-Sigiriya]

Dambulla – Sigiriya

ศรีลังกาวันที่ ๘ เที่ยวถ้ำ Dambulla

วันนี้ย้ายเมืองอีกครั้ง จาก Kandy จะนั่งรถบัสไป Dambulla เรียกตุ๊กๆจากที่พักบอกไปส่ง Kandy Bus Station ได้ราคามาตรฐาน ดีใจไม่ต้องต่อ นั่งตุ๊กไปถึงแถวๆสถานีรถไฟแล้วเลยไปหน่อยนึงก็ปล่อยพวกเราลง ซึ่งก็น่าจะถูกต้อง เพราะที่ทำการบ้านมา สถานีรถบัสก็อยู่ใกล้ๆสถานีรถไฟ แต่มองไปมองมา มันเป็นท่ารถเมล์นี่หว่า โชคดีเจอคนใจดีอีกล่ะ ท่าทางจะเป็นนายท่าที่นั่งในป้อมเห็นพวกเราแบกเป้ทำท่างุนงง เลยเดินมาถามว่า ยูจาไปหนาย พอบอกว่าจะไป Dambulla พี่แกก็ยิ้มฟันขาวบอกว่า ต้องเดินไปอีกตรงโน้น เดินไปถึงไฟแดงแล้วเลี้ยวขวา ตรงนี้ไม่ใช่นะเธอ… ว่าแล้วเชียว

ในที่สุดก็ไปถึงท่ารถจนได้ เห็นรถบัส กับรถตู้ เขียน Dambulla  / Sigiriya ใช่แล้ว เป้าหมายที่เราจะไป เดินไปถามดู เด็กรถชี้ให้ขึ้นรถมินิบัส แต่เราอยากขึ้นรถบัสใหญ่มากกว่า แต่รถบัสไม่รู้เมื่อไหร่จะออก แต่มินิบัสบอกเต็มแล้วออกเลย เด็กรถบอกเรา 300 รูปี ขอขึ้นรถไปดูหน่อยว่าเป็นยังไง ก็ว่าใช้ได้อยู่แต่เป้เราใหญ่คนขับบอกว่าต้องซื้ออีกที่ไว้วางเป๋านะเธอ วาง 3 ใบเลย ก็ตกลง คนละ 220 รูปี เอ้า! ถูกกว่าอิเด็กรถบอกอีก รวมค่าวางกระเป๋าเป็น 880 พอดี

ไม่นานรถก็เต็ม เกินครึ่งเป็นนักท่องเที่ยว แต่ทำไมนักท่องเที่ยวมาทีหลังไม่ต้องจ่ายค่าวางกระเป๋าวะ แถมเอามาวางทับกระเป๋าเราอีก กลายเป็นเราออกค่าที่วางกระเป๋าให้ทุกคนบนรถซะงั้น แต่เอาเถอะ 220 รูปี 40 บาท เอง มินิบัสวิ่งระหว่างเมือง แวะรับคนตามป้ายแล้วแต่จะโบก ชาวศรีลังกาขึ้นๆลงๆกันตลอดทาง สักพักรถก็เต็ม แต่เขามีเก้าอี้เสริม เก้าอี้พลาสติคกลมจัดมานั่งตรงกลาง โชคดี(หรือโชคร้าย) ที่เรานั่งเบาะหน้าเลย ตรงประตู ไม่มีเก้าอี้เสริม แต่มีคนยืน ตูดสาวศรีลังกาอยู่ระดับหน้าเราพอดิบพอดี

จาก Kandy ไป Dambulla นั่งเบียดๆไป 2 ชม. เห็นป้ายอีกทีก็ Dambulla แล้ว คนขับหันมาพยักเพยิดให้ลง ก็แบกของกันลงมายืนงง (เหมือนเดิม) หันไปหันมาเจอตุ๊กๆหน้าซื่อๆ เลยถามราคาดู ตุ๊กๆ บอก 100 รูปี!! เฮ้ย! 20 บาท! ถูกจนต่อไม่ได้ 555 เอาๆ นั่งรถไปก็ไม่ไกลมาก เลี้ยวขวาเข้าไปที่พัก พวกเราซาบซึ้งในราคาที่ถูกแสนถูก เลยถามว่าถ้าจะเหมารถไปเที่ยวคิดราคายังไง คุยไปคุยมา จนสรุปว่าเดี๋ยวบ่ายนี้ให้พาเราไป Dambulla Cave แล้วไป Sigiriya แต่ยังไม่ขึ้น Sigiriya Palace นะ ไปขึ้น Small Rock ก่อน เพื่อชมวิว Sigiriya กับพระอาทิตย์ตกดิน ต่อรองราคากันได้ที่ 2000 รูปี นับเป็นกลยุทธการขายที่น่าประทับใจจริง บอกราคาส่งโรงแรมแสนถูก แบบวัดใจกันเลย และไม่ได้เสนอขายทัวร์ให้เรารำคาญใจ เอาเป็นว่าเราแพ้ความดีของเธอ 555

ถ้ำ Dambulla อยู่บนเขา ที่ต้องปีนป่ายขึ้นเนินไปพอเหงื่อซึม แต่ขอให้บรรจุในโปรแกรมการท่องเที่ยวศรีลังกาอย่างพลาดไม่ได้ เพราะเราประทับใจที่นี่มาก ตัววัดอยู่ที่เชิงเขา พวกเราไม่ได้แวะตัววัด แต่ให้พี่ตุ๊กขับขึ้นไปทางเดินขึ้นถ้ำด้านบนเลย ถ้าใครแวะเที่ยววัดก่อนก็เดินขึ้นจากวัดไปถ้ำได้เลยเหมือนกันแต่เดินไกลกว่า จากจุดจอนรถก็เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ เหนื่อยนักก็หันกลับมามองวิวภูเขาที่เขียวสบายตา ไม่นานก็ขึ้นไปถึงด้านบน จ่ายเงินค่าเข้า คนละ 1500 รูปี และต้องฝากรองเท้าอีกเช่นเคย แล้วเดินเข้าด้านใน จะเห็นทางเดินเหมือนระเบียงยาวขนานเชิงเขา ซึ่งจะมีการเจาะเขาเป็นถ้ำเข้าไป แบ่งเป็น 5 ถ้ำ เป็นถ้ำตื้นๆ แต่ยาวตามแนวเขา ด้านในมีพระพุทธรูป มีภาพวาดฝาผนังที่สวยงามประทับใจมาก

เดินกันยาวไปตามเชิงเขา มี 5 โถงให้เข้าไปได้
พระพุทธรูปหินอ่อนปางปรินิพพานในถ้ำที่ 1

ถ้ำแรก (Deva Raja Viharaya) เป็นถ้ำมีขนาดเล็กมีพระนอนองค์ใหญ่เต็มโถงถ้ำเป็นถ้ำที่เก่าแก่ที่สุด แต่ถ้ำที่เราประทับใจสุดคือถ้ำที่ 2 (Maha Raja Viharaya) ซึ่งมีโถงถ้ำขนาดใหญ่ที่สุดด้วย ภาพเขียนสีบนฝาผนังและบนเพดานถ้ำสวยงามมาก สีสรรค์ยังสดใสอยู่อย่างน่าประหลาดใจ มีพระพุทธรูปวางเรียงรอบโถงถ้ำ แล้วยังมีรูปปั้นของพระเจ้าวาลา กัมบา (Walagambahu) ซึ่งเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่อุปถัมภ์พุทธสถานแห่งนี้

ถ้ำที่ 2 เป็นถ้ำใหญ่ สวยงามสุดๆ

ถ้ำที่ 3 (Maha Alut Viharaya) เป็นถ้ำขนาดกลาง มีพระนอนขนาดใหญ่ 30 ฟุต และพระพุทธรูปนั่งและยืนอยู่รอบๆ แล้วก็มีรูปปั้นของพระเจ้ากีรติศรีราชสิงเห ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างถ้ำนี้ด้วย

ต่อไปที่ถ้ำที่ 4 (Paschima Viharaya) ขนาดไม่ใหญ่นัก ด้านในมีพระพุทธรูปวางเรียงล้อมรอบเจดีย์ ภาพฝาผนังก็สวย แต่มืดและแคบ ถ่ายรูปยาก ถ้าสุดท้ายถ้ำที่ 5 (Devana Alut Viharaya) มีพระนอนองค์ใหญ่นอนเต็มความกว้างถ้ำ

ด้านในถ้าที่ 4
พระนอนในถ้ำที่ 5

ในถ้ำค่อนข้างมืดถ่ายรูปยากแต่ให้เอาขาตั้งกล้องเข้าได้ ก็พอได้ถ่ายรูป แต่ก็ถ่ายยากพอสมควร และในถ้ำร้อนมาก อบอ้าว เหงื่อไหลตัวเปียกกันเลย เดินถ่ายรูปวนไปวนมา สุดท้ายออกมานั่งรับลมด้านนอกให้เหงื่อแห้ง ก่อนจะไต่กลับลงมา

จาก Dambulla นั่งรถไปเมือง Sigiriya ที่ห่างออกไป 17 กม. ใช้เวลาประมาณ 20 นาที Sigiriya เป็นเมืองท่องเที่ยวคึกคักมากกว่า Dambulla มีนักท่องเที่ยวมาพักที่นี่ค่อนข้างเยอะ เพราะจุดเด่นของที่นี่คือพระราชวังลอยฟ้า Sigiriya ที่สร้างอยู่บน Lion Rock ซึ่งขึ้นเที่ยวตอนเช้าก็ได้ ตอนบ่ายก็ดี วันนี้เรานั่งรถเลยแยกทางเข้า Lion Rock ไปที่ Pidurangala Rock หรือเรียกง่ายๆว่า Small Rock ก่อน

จอดรถแล้วพี่ตุ๊กๆนำทีมเดินขึ้นเขามาด้วย จ่ายค่าขึ้น คนละ 500 รูปี เดินขึ้นไปจะเจอวัดก่อน เข้าไปไหว้พระนอนเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนจะ เดินขึ้นเขากันต่อไป

ขึ้นมาเจอวัดก่อน เข้าไปนมัสการพระนอนด้านในเอาฤกษ์เอาชัยก่อนหน่อย

จากนั้นก็เดินขึ้นเขา เป็นการขึ้นเขาที่ไม่ต่างจาก Little Adam’s Peak ที่ Ella เลย แถมร้อนกว่า เหงื่อโชกตั้งแต่ครึ่งทาง ค่อยๆไต่ไปเรื่อยๆจนถึง พระนอนองค์ใหญ่ แสดงว่าใกล้ถึงแล้ว จากตรงนั้นไป ต้องปีนป่ายมุดหินกันพอสมควร เริ่มมีคนสวนทางกลับลงมาเรื่อยๆ ส่วนมากเป็นคนท้องถิ่น เพราะเป็นวันอาทิตย์ ยิ่งช่วงเกือบถึงยอดเขา เรียกว่าคนติด คนขึ้นต้องรอ ให้คนลงๆกันมาก่อน เพราะมีทางปีนขึ้นปีนลงอยู่ซอกเดียว ช่วยกันอุ้มกันแบกคุณย่าคุณยายในส่าหรีกันอย่างสนุกสนาน

ทางขึ้นชันพอได้เหงื่อจริงๆ เริ่มเห็นสิ่งก่อสร้างอะไรไกลๆ
มาถึงพระนอน แสดงว่าใกล้ถึงยอดเขาแล้วล่ะ
ไหว้พระนอนแล้วหันหลังกลับมานะ เขียวสุดสายตาแบบนี้เห็นแล้วหายเหนื่อย

ขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว ลืมความเหนื่อยยากหมดสิ้น มุมมอง 360° ช่างน่าประทับใจ ลมแรงแทบกลิ้ง ยอดเขานี้ยังบริสุทธิ์ ไม่มีป้าย ไม่มีรั้ว ทุกคนระวังตัวเอง อย่าโลดโผน อย่าเสี่ยง นั่งมองป่าเขียวๆสุดลูกหูลูกตาไม่ว่าจะเดินไปมุมไหน แต่มุมสุดท้ายที่ทุกๆคนมานั่งคือมุมที่มองเห็น Lion Rock พระอาทิตย์ลูกกลมโต ด้านขวาค่อยๆลดแสงและเคลื่อนต่ำลง มันงามจนบรรยายไม่ถูก ภาพจากกล้องที่บันทึกไว้ สวยไม่ได้ครึ่งหนึ่งของภาพจริง

นั่งมอง Lion Rock จาก Small Rock

พวกเรานั่งมองจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แล้วก็พากันปีนลงพร้อมนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มใหญ่ เริ่มต้องเปิดมือถือหาแสงส่องทางกันบ้าง ก็ลงมาถึงที่จอดรถตอนเริ่มมืดพอดี ขอขอบคุณพี่ตุ๊กๆที่ดูแลพวกเราอย่างดีตลอดทาง

วันที่ ๙ Sigiriya วังลอยฟ้าที่น่าเศร้า

หกโมงเช้าตุ๊กๆเจ้าเก่า มารับพวกเราออกจากที่พัก มุ่งหน้าไป Sigiriya อีกรอบ คราวนี้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ Lion Rock เพื่อปีนขึ้นไปชมพระราชวังลอยฟ้า ที่พวกเรานั่งมองมาจาก Small Rock เมื่อวานตอนเย็น

พระราชวังลอยฟ้าที่เรียกกันว่า Sigiriya เหมือนชื่อเมือง สร้างอยู่บนยอดเขาที่ว่ากันว่ามีรูปทรงคล้ายสิงโต โดยพระเจ้ากัสสปะ กษัตริย์ลังกาเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว เรื่องน่าเศร้าของพระราชวังลอยฟ้านี้เล่าต่อกันมาว่า พระเจ้ากัสสปะทรงสร้างวังแห่งนี้หลังจากปลงพระชนม์พระบิดาที่ทรงคิดจะมอบราชบัลลังค์ให้พระอนุชาและยึดอำนาจมา สร้างวังบนยอดเขาที่สวยงามดังอยู่ในสรวงสวรรค์ ภายหลังพระอนุชายกกองทัพมาทวงคืนราชบัลลังค์โดยล้อมเขาไว้จนพระเจ้ากัสสปะหมดทางสู้ และตัดสินใจปลงพระชนชีพตัวเองบนพระราชวังแห่งนี้ ช่างเป็นบาปเป็นกรรมจริงๆ

ก่อนขึ้นเขาต้องไปซื้อบัตรราคาแสนแพง คนละ 5520 Rs. หรือ 30$ ถ้าซื้อบัตรออนไลน์มาก่อนก็จะเร็วขึ้นเพราะนักท่องเที่ยวเยอะ ต่อแถวกันซื้อตั๋วยาวเหยียด พวกเราว่ารีบมาแต่เช้าแล้วก็ยังต้องต่อแถวอยู่สักพัก เพราะทุกคนก็คิดเหมือนๆกันว่ารีบมาเช้าจะได้ไม่ร้อน

ได้ตั๋วแล้วก็เดินผ่านทางเดินยาวมุ่งหน้าไป Sigiriya Rock หรือ Lion Rock จะเจอบ่อน้ำขนาดใหญ่ขนาบซ้ายขวา ตามผังเมืองทั่วไปที่ต้องมีบ่อน้ำ หรือ บาราย เดินผ่านไปจนถึงจุดตรวจบัตรแรก ก็เริ่มเป็นบันได เดินขึ้นไปพอเหงื่อซึม

มาแต่เช้าๆแดดจะได้ไม่แรงมาก แต่ถ่ายรูปก็อาจจะไม่ได้ดั่งใจเพราะมีด้านมืดด้านสว่าง

มีป้ายบอกให้ระวังผึ้ง เพราะมีระผึ้งอยู่ตามซอกหิน เตือนว่าอย่าส่งเสียงดังให้ผึ้งรำคาญ

ไต่บันไดขึ้นมาสักพัก ก็เดินระเบียงเลาะหน้าผาไปเพื่อไต่ขึ้นบันไดวนไปจุดตรวจบัตรรอบ 2 จากนั้นต้องปีนขึ้นบันไดเวียนไปเพื่อชมภาพเขียนสีบนผนังหิน เป็นรูปนางอัปสร งดงามชดช้อยเหมือนนางอัปสราที่นครวัด แถมยังมีสีสวยสดอยู่เลย บริเวณนี้มีเจ้าหน้าที่นั่งเฝ้าอยู่เพราะห้ามถ่ายรูป ว่ากันว่าเป็นสีธรรมชาติที่วาดลงบนผนังที่ยังไม่แห้งดี สีจึงติดทนนาน

เดินบันไดวนกลับลงมา จุดต่อไปที่จะเดินผ่านคือ Mirror Wall ซึ่งเราเดินผ่านแบบไม่ได้สนใจเลย มาอ่านคำอธิบายทีหลังว่า เมื่อก่อนผนังมันจะเงาวับ ชนิดว่ากษัตริย์เดินผ่านตรงนี้ก็ส่องกระจกดูตัวเองได้ นัยว่าดูการแต่งองค์ทรงเครื่องของตัวเองได้ว่าสวยงามครบถ้วนหรือไม่ ตอนนี้มันหมองๆมัวๆ

Mirror Wall ซ้ายมือ ที่เราเดินผ่านไปเลยไม่ได้สนใจ แต่ถ่ายรูปเพราะหินด้านขวาสวยดี 55

ผ่านไปอีกหน่อยก็จะถึงทางเริ่มต้นขึ้นสู่พระราชวังจริงๆแล้ว ตรงนี้เป็นจุดที่ใครๆก็ต้องมาถ่ายรูปเพราะทางขึ้นจะมีหินแกะสลักรูปเท้าสิงห์ใหญ่ยักษ์ขนาบบันไดทางขึ้น ว่ากันว่าส่วนอื่นของสิงห์ได้หักพังตามกาลเวลาเหลือไว้แต่เท้า 2 ข้างนี้แหละที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระราชวังลอยฟ้านี้

แสงลงฝั่งเดียว เท้าสิงห์เลยสว่างข้างมืดข้าง

เดินผ่านเท้าสิงห์ขึ้นบันไดไปเรื่อยๆพอให้เหงื่อซึมอีกรอบ ถึงด้านบน คือส่วนพระราชวังลอยฟ้าอันเหมือนวิมานบนสวรรค์ที่ตอนนี้เหลือเพียงซากปรักหักพังเกินกว่าเราจะจินตนาการได้ว่าสมัยนั้นมันสวยงามขนาดไหน ในตอนนี้คงเหลือแต่ทิวทัศน์มหัศจรรย์ 360° ที่เราประทับใจ เหมือนตอนขึ้น Small rock เมื่อวาน วันนี้ได้บรรยากาศเช้า ถึงแดดจะแรงแต่ลมพัดเย็น นั่งชมวิวเพลินไป

หันกลับไปเห็น Small Rock ที่พวกเราปีนขึ้นไปนั่งชมวิวเมื่อวาน
ซูมกันชัดๆ Small Rock
หลงเหลือให้พวกเราจินตนาการเพียงแค่นี้
นั่งพักเหนื่อย ชมวิวกันไปไม่รู้เบื่อ
มองกลับไปจากมุมนี้ เหมือนเป็นฐานสิงห์หมอบนะ

ป้ายตั้งไว้ว่าเป็น Throne น่าจะเป็นพระแท่นหรือบัลลังของกษัตริย์ที่ไว้นั่งชมวิวหรือชมการแสดงพวกระบำรำฟ้อน เพราะมีข้อมูลบอกว่าบนวังลอยฟ้านี้ มีแต่กษัตริย์ พระชายา และนางสนม

กลับลงมา นั่งตุ๊กๆเพื่อกลับที่พักที่ Dambulla แต่ระหว่างทางรู้สึกต้องการเพิ่มคาเฟอีนสักหน่อย เลยมองหาที่แวะ น้องนิ่มหัวหน้าทริปผู้แสนรอบรู้และตาไวบอกว่าขามาเห็นร้านนึงน่าสนใจ เลยมองหากันจนเจอ Road to Rock ชื่อเหมือนผับ ด้านหน้าดูเรียบๆเงียบๆ ให้พี่ตุ๊กๆแวะ พอเข้าด้านในไป โอ้โห… เหมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย เห็นเครื่องชงกาแฟแล้วน้ำตาจะไหล เพราะในละแวก Dambulla – Sigiriya นี้หาได้แค่กาแฟซอง

กลับที่พักที่ Dambulla อาบน้ำแต่งตัวแล้วให้พี่ตุ๊กคนเดิมมารับไปส่งจุดขึ้นรถที่จะไป Anurathpura พี่ตุ๊กๆพาพวกเรามารอรถที่จุดเดิมที่เราลง รอส่งพวกเราขึ้นรถอย่างเรียบร้อย เป็นตุ๊กๆที่สุภาพและดูแลพวกเราดีที่สุดในทริปศรีลังกาเลยจ้า

SriLanka Part-5 [Kandy]

Train to Kandy

ศรีลังกาวันที่ ๖ นั่งรถไฟสายชาจาก Ella สู่ Kandy

ทำไมเรียก “รถไฟสายชา” น่ะเหรอ ก็เพราะทางรถไฟสายนี้วิ่งผ่านหุบเขาที่เป็นแหล่งปลูกชาชั้นยอดของศรีลังกา หรือของโลกก็ว่าได้ ทางรถไฟของศรีลังกาเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1864 โดยรัฐบาลอังกฤษสร้างไว้เพื่อใช้ในการขนส่งเมล็ดกาแฟ จากหุบเขาตอนกลางของประเทศไปโคลอมโบ แต่ธุรกิจกาแฟตกต่ำลงจนอยู่ได้ไม่นาน จากไร่กาแฟก็เปลี่ยนเป็นไร่ชา และธุรกิจไร่ชาประสบความสำเร็จอย่างสูง จนดังไปทั่วโลก ทางรถไฟสายนี้จึงใช้ขนส่งใบชาเป็นล่ำเป็นสันมาแต่ครั้งอดีต ดังนั้นจะเรียกทางรถไฟสายชาก็คงไม่ผิด

ระหว่างทางจะผ่านไร่ชาบนเนินเขา ผ่านหมู่บ้านบนเขาสูง ไปจนถึงหุบเขาที่มีที่พักหรูหราแบบอังกฤษ บางช่วงเป็นป่าสน มีหมอกลอยอ้อยอิ่ง อากาศหนาวเย็นตลอดปี ทำให้ทางรถไฟสายนี้เป็นสายยอดนิยมของนักท่องเที่ยว

ทางรถไฟสายยอดนิยมคนก็จะแน่นเป็นปกติ

พวกเราเลือกนั่งรถไฟจาก Ella ไปเมือง Kandy ที่อยู่ทางเหนือขึ้นไปอีก ใช้เวลาในรถไฟร่วม 7 ชั่วโมง ในช่วงแรก รถไฟจะวิ่งอยู่ในหุบเขามีไร่ชาตามเชิงเขาขนาบรางรถไฟไปตลอด จากนั้นทางจะขึ้นเขาสูงขึ้นไป เริ่มมีป่าสน มีหมอกปกคลุมบางช่วง มั่นใจว่าสูงแน่นอน เพราะมีกุหลาบพันปีสีแดงสดให้เห็นตามข้างทาง

ทางรถไฟจะวิ่งเลาะเลียบไร่ชาไปตลอดทาง
เริ่มขึ้นสูงไปเรื่อยๆหมอกบางๆอากาศเย็นๆ

เราจะผ่านจุดที่สูงที่สุดของรถไฟเส้นนี้ ที่อยู่ใกล้ๆสถานี Pattipola Station ด้วย จะมีป้ายบอกว่าตรงนี้คือจุดที่สูงที่สุด 1898.1 ม. เหนือระดับน้ำทะเล (ถ้านั่งมาจาก Kandy ผ่านสถานี Pattipola ออกไปจะมีป้าย ถ้ามาจาก Ella อย่างเรา ป้ายจะอยู่ก่อนถึงสถานี Pattipola หน่อยนึง พอผ่านสถานี Ohiya แล้ว เล็งข้างทางได้เลย แต่ที่เราได้รูปมานั่นคือบังเอิญสุดๆ ไปยืนถ่ายรูปตรงประตูพอดี)

กำลังมายืนถ่ายวิวภูเขา เห็นป้ายไกลๆคิดว่าใช่แน่
จุดที่สูงที่สุดของทางรถไฟสายนี้ 1898.1 ม. เหนือระดับน้ำทะเล
Pattipola Station สถานีรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในศรีลังกา 1891 ม.จากระดับน้ำทะเล

จากนั้นทางจะเริ่มลดระดับลง แต่จะผ่านหุบเขาที่มองไปเห็นแต่ไร่ชา สวยงามสุดๆ รถไฟจอดหลายสถานี นักท่องเที่ยวก็ลงตามสถานีต่างๆ คงแวะเที่ยวหรือพักกันตามเมืองต่างๆ สถานีที่นักท่องเที่ยวลงเยอะคือ Nano Oya เพราะสามารถต่อรถไปเมือง Nuwara Eliya เมืองดังอีกเมือง สำหรับการเที่ยวชมไร่ชา

จาก Valley of Tea ทางรถไฟก็เริ่มลดระดับลงเรื่อย เป็นการวิ่งขึ้นเหนือแต่ความสูงต่ำลง อากาศหนาวเย็นเริ่มหายไป แต่ก็ไม่ร้อนมากมาย

ข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากไร่ชาเป็นนาข้าว เป็นสวนผัก
ถึงแล้ว Kandy

เวลา 7 ชม.จาก Ella มาถึง Kandy หมดไปกับการ ลุกๆนั่งๆ วิ่งถ่ายรูปจากหน้าต่างบ้างประตูบ้าง ข้อแนะนำคือ ควรจองตู้ชั้น 3 แต่ให้จองล่วงหน้าแบบ Reserve seat จะได้ไม่ต้องคอยวิ่งแย่งที่นั่ง แต่ถ้านั่งระยะสั้นไม่กี่ชั่วโมง จะพอใจไปซื้อตั๋วที่สถานีแบบไม่ระบุที่นั่งก็ได้ เสี่ยงดวงมีที่ว่างก็นั่ง ไม่มีก็ยืน แต่พวกเราเดินทาง 7 ชม.ขอมีที่นั่งจะดีกว่า สาเหตุที่ให้จองชั้น 3 เพราะ ประตูรถไฟจะเปิดตลอดไม่มีล็อค ก็จะไปถ่ายรูปรถไฟเวลาวิ่งโค้งอ้อมเขาได้สวยงามมาก เหมือนที่เคยเห็นๆรูปกัน แถมเราอาจจะถ่ายรูปตัวเองกับแนวโค้งได้ด้วย ส่วนตู้ชั้น 2 พนักงานจะดูแลความปลอดภัยดีเกิน คอยล็อคประตูตลอด จะถ่ายรูปขบวนรถไฟต้องยื่นกล้องออกทางหน้าต่างแทน เลยได้แต่รูปรถไฟ ไม่ได้รูปคน แต่ขอเตือนว่า การถ่ายรูปตรงประตูรถไฟก็ควรระวังความปลอดภัยด้วยนะ อย่าโลดโผนจนเกินไป

มุมยอดฮิตคือนั่ง/ยืนประตูรถไฟถ่ายไปเห็นขบวนรถไฟโค้งยาวๆ
ชั้น 3 เปิดทุกประตู โผล่กันได้ตามสะดวก
ชั้น 2 โผล่กันแต่หัวจากหน้าต่าง ประตูล็อคอยู่ตลอด เผลอเป็นล็อค เจ้าหน้าที่ดูแลดีเกิน

ประเด็นเรื่องการจองตั๋วคือ จองล่วงหน้าผ่านเวปไซต์ของเอเยนต์สำหรับ Reserved Seat ก็มีการบวกค่าธรรมเนียมเป็นเรื่องปกติ จะได้ Code เอามาออกตั๋วที่สถานี ตั๋วแบบระบุที่นั่งจะเต็มเร็วเพราะเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ซึ่งเราเองตัดสินใจมาร่วมทริปตอนหลัง ทำให้จองตั๋วรถไฟชั้น 2 แบบระบุที่นั่งไม่ทัน เต็มก่อน น้องนิ่มหัวหน้าทริปบอกว่าไม่เป็นปัญหา ก็จองชั้น 3 ระบุที่นั่งไปแทน คิดว่าชั้น 2 ชั้น 3 ก็คงใกล้ๆกัน เดินหากันก็ได้ แต่ความจริงคือ ขบวนรถไฟยาวมาก ชั้น 2 กับชั้น 3 ที่เรานั่งห่างกันหลายตู้มาก และประตูแบ่งแต่ละชั้น คือ ชั้น 1 / 2 / 3 จะถูกล็อคไม่ให้ผู้โดยสารมั่ว น้องนิ่มผู้เสียสละไปนั่งชั้น 3 จึงถูกตัดขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง และน้องนิ่มมารายงานผลว่า ชั้น 3 ถ่ายรูปได้ดีงามตามที่เล่าข้างบน

จองตั๋วมาจากเวป https://www.visitsrilankatours.co.uk/train-tickets-1.html
เสียค่าธรรมเนียมไป 204 Rs. มาออกตั๋วที่สถานีแบบนี้ จองได้ทั้งชั้น 1/2/3

Kandy

ถึง Kandy Train Station ตอนบ่ายแก่ๆ ออกมาเจอตุ๊กๆเรียก (ไม่ใช่เรียกตุ๊กๆนะ 555) ลองถามราคาแล้วรู้ได้ทันทีว่าประมาณ 2-3 เท่าจากความเป็นจริง เป็นเหมือนกันทั่วโลกกับเมืองใหญ่ๆ Kandy เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายในระบอบกษัตริย์ก่อนจะโดนอังกฤษเข้ามายึดครอง Kandy เป็นเมืองใหญ่รองจาก Colombo นักท่องเที่ยวเยอะ การบวกเพิ่มจึงเกิดขึ้นเหมือนทั่วโลก พวกเราจึงเดินออกนอกสถานีไปที่ริมถนนเรียกตุ๊กๆจากตรงนั้น ได้ราคามิตรภาพ และก็เป็นตามที่คาดพี่มาเฟียตุ๊กๆเดินตามมาพูดอะไรกับคนขับก็ไม่เข้าใจ แต่พอเดาได้ว่าคงไม่พอใจที่มาดักรับลูกค้าหน้าสถานี

วันนี้พอมีเวลาที่จะไปวัดพระเขี้ยวแก้วได้ หลัง Check-in เลยจัดแจงแต่งตัวกันให้เหมาะในการไปวัด คือ ไม่ใส่ขาสั้น ไม่ใส่สายเดี่ยว แขนกุด ถ้ามีชุดสีขาวก็จะดี เพราะชาวศรีลังกานิยมใส่เสื้อผ้าสีขาวไปวัด ถ้าไม่มีสีขาวก็เป็นสีสุภาพ เดินจากที่พักผ่านย่านค้าขาย ไปจนถึงทะเลสาบกลางเมือง Kandy Lake เดินเลาะทะเลสาบไปหน่อย วัดพระเขี้ยวแก้ว (Sri Dalada Maligawa หรือThe Temple of the Sacred Tooth RelicsX) อยู่ด้านข้างทะเลสาบเลย ตัววัดเปิดให้เข้าได้ตั้งแต่เวลา 05:30 ถึง 20:00 ส่วนพิพิธภัณฑ์อื่นๆก็เปิดตั้งแต่เช้าจนถึงมืด แต่ถ้าจะเข้านมัสการพระเขี้ยวแก้ว ต้องไปตามรอบเวลา มี 3 รอบคือ 05:30-7:00 / 9:300-11:00 / 06:30-20:00 ในช่วงเวลานั้นจะพิธีการโดยพระมีการสวด มีดนตรีประโคม

เข้าในพื้นที่ของวัดส่วนแรกที่เป็นลานสนามหญ้าและรูปปั้นนั่นเข้าได้เลยไม่เสียค่าเข้า เดินดูได้รอบๆ แต่ถ้าจะเข้าพื้นที่ด้านในต้องไปซื้อตั๋วด้านหลัง ไปถึงแล้วบอกคนขายว่า Thailand คนไทยจะได้ลดราคาเหลือ 1000 รูปี ราคาปกติของคนต่างชาติคือ 1500 รูปี ทำไมได้ลดน่ะเหรอ ก็เพราะไทยและศรีลังกามีความสัมพันธ์อันดีในการทำนุบำรุงพุทธศาสนาน่ะซิ

ส่วนนี้เข้าได้ตลอดเวลาไม่เสียเงิน ถ้าจะเข้าด้านในวัด ต้องไปซื้อตั๋วที่จุดขายโดยเดินอ้อมไปทางด้านขวา
ที่จุดขายตั๋วมีบอกไว้ชัดเจนว่าคนไทยได้ราคาพิเศษ 1000 รูปี เทียบเท่า พม่า อินเดีย มัลดีฟ เนปาล บังคลาเทศ ภูฏาน และอัพกานิสถาน นักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ 1500 รูปี

พวกเรามาถึงเย็นๆ ไปซื้อตั๋วแล้วมาฝากรองเท้า แล้วเดินเข้าด้านในอย่าเพิ่งไปเดินชมอะไร ให้เดินขึ้นขั้น 2 ก็ตามคนที่เดินๆนั่นแหละ ขึ้นไปจะมีกั้นเชือกสำหรับเข้าคิว ถ้าต้องการไหว้พระเขี้ยวแก้วใกล้ๆต้องไปต่อคิว ถ้าไม่เน้นว่าอยากไปใกล้ก็ไม่ต้องต่อ สามารถเดินไปที่ลานกลางห้องได้เลย แต่ห่างจากห้องที่เก็บพระเขี้ยวแก้วพอสมควร และมีโต๊ะวางเครื่องบูชากั้นไว้อีก เอาเป็นว่าเราต่อคิวเดินไปจนถึงหน้าห้อง มองกันจะๆไม่มีใครไล่ ก็ยังไม่ได้เห็นพระเขี้ยวแก้วหรอกเห็นแต่ที่บรรจุ วันนี้พวกเราโชคดี เพราะคิวไม่ยาวมาก ยืนรอไม่นาน คิวก็เริ่มเดิน ไปถึงหน้าห้องเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้คอยไล่กดดันแบบที่หลายๆคนเล่า

เข้าไปแค่ชั้นที่ 1 ก็เร้าใจแล้ว
ต่อแถวขึ้นไปชั้น 2 ก็จะได้เดินตามๆกันไปถึงหน้าห้องที่ทำพิธี ถ้าไม่ต่อคิวก็ยืนชะเง้อตรงลานได้
ยืนหน้าประตูก็จะมองเห็นแบบนี้แหละ ไม่ได้เห็นพระเขี้ยวแก้วหรอก

จากนั้นไม่ได้เดินดูอะไรอีก เพราะหิวมาก เอาไว้วันรุ่งขึ้นจะมาอีก กลับออกมาด้านนอก หาอาหารเย็นกินกัน เพราะวันนี้ทั้งวันอยู่บนรถไฟไม่ได้กินข้าว ลืมเตรียมอาหารขึ้นไป เตือนกันไว้ หาอาหารขึ้นไปกินบนรถไฟด้วยล่ะ

วันที่ ๗ เที่ยวแบบหวานเย็นในเมืองชื่อเหมือนลูกอม Kandy

แรกได้ยินว่าจะไปเที่ยวเมืองแคนดี้ นึกว่า Candy ที่แปลว่าลูกอมขนมหวานของเด็กๆ ยังคิดว่าเมืองอะไรชื่อแปลกจริง มารู้ทีหลังว่าเป็น “Kandy” และในวิกิเขียนคำอ่านว่า “กัณฏิ” นะ ค่อยฟังดูขรึมขลังสมกับที่เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายของยุคกษัตริย์ศรีลังกา เมืองชื่อเหมือนลูกอมนี่เป็นเมืองยอดนิยมเมืองหนึ่งของนักท่องเที่ยว หลายๆคนลงเครื่องที่ Colombo แล้วก็ต่อรถไฟมาเที่ยว Kandy เลย เหมือนต่างชาติมากรุงเทพฯแล้วต่อรถไปเที่ยวเชียงใหม่ แต่จะเทียบ Kandy กับเชียงใหม่ก็ไม่ถูกนักเพราะ Kandy ไม่ได้อยู่เหนือสุดของศรีลังกา จริงๆแล้วอยู่กลางค่อนไปทางเหนือ ประมาณกำแพงเพชรเท่านั้นเอง แต่ Kandy เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวมากๆเพราะเป็นเมืองมรดกโลก เป็นทั้งเมืองเลย ตามอาคารต่างๆจะมีป้าย Unesco ติดอยู่ทุกอาคาร เป็นมรดกโลกที่มีชีวิต คนยังใช้อยู่ ใช้กิน ใช้ขายของ ใช้ทำงาน เหมือนเราหยุดวันวานไว้ แถมด้วยเป็นที่เก็บรักษาพระเขี้ยวแก้วที่มีความสำคัญต่อชาวศรีลังกาและชาวพุทธทั่วโลกอีกด้วย ผู้คนจึงหลั่งไหลกันมาที่ Kandy ตลอดทั้งปี

ยามเช้าบนดาดฟ้าที่พัก มองเห็นทิวเขาและเจดีขาวองค์โต Asgiri Maha Vihara Stupa ได้ชัด วันนี้ฟ้าสวยอีกวัน ลมเย็นจนหนาว ถึงหนาวไม่เท่า Ella แต่ก็ถือว่าอากาศค่อนข้างเย็น นั่งอ้อยอิ่งจิบกาแฟ ไปจนพอใจ วันนี้เราไม่รีบ เราไม่เน้นเที่ยวอะไรมากนัก อยากไปเดินเล่นในเมือง แล้วเข้าวัดพระเขี้ยวแก้วอีกรอบ ตั้งแต่ยังไม่มืด จะได้ถ่ายรูปได้ และรอเข้านมัสการพระเขี้ยวแก้วอีกครั้งตอน 6 โมงเย็น

จากที่พัก เดินเรื่อยๆเข้าไปในเมือง พอโดนแดดแรงๆก็มีเหงื่อซึมเหมือนกัน ย่านกลางเมืองคึกคักมาก คนเยอะรถเยอะเหมือนโคลอมโบ เดินผ่านอาคารเก่าๆหลายหลัง ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย แวะธนาคารแลกเงินเพิ่ม ข้างในธนาคารไม่เปิดแอร์แต่ก็ไม่ร้อนอากาศเย็นสบาย พนักงานหญิงใส่ส่าหรีหมด สังเกตได้ว่าคนทั่วไปไม่ใส่ส่าหรี ใส่ชุดธรรมดาแบบ western style (ถามเจ้าของที่พักที่ Galle มา) ผู้หญิงจะใส่ส่าหรีกันเฉพาะไปงาน หรือพวกชุดทำงาน

World Heritage City อนุรักษ์ทั้งเมือง

เดินเล่นไปจนถึง Kandy Lake มีรั้วขาวล้อมรอบ ตอนเย็นๆคงเป็นที่เดินเล่นของชาวเมือง วัดพระเขี้ยวแก้วอยู่ข้างๆทะเลสาบ พวกเราเดินผ่านหน้าวัดไปทางซ้าย ผ่านตึกเก่าๆที่เป็นสำนักงานกฎหมาย มาดูโบสถ์คริสต์ St.Paul’s Church แล้วแวะจิบกาแฟร้าน Oak-ray ในอาคารสวยๆ พักร้อนหลบแดดกันพักใหญ่ เด็กในร้านพูดเก่งมาก แนะนำเมืองน้ำไหลไฟดับ เล่าประวัติโน่นนี่นั่น ชนิดว่าไกด์อาจจะรู้ไม่เท่า คนฟังก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง

Kandy Lake

ออกจากร้านกาแฟไปช้อปปิ้งหินสีกันหน่อย ที่นี่ดังเรื่องหินสี เราเลือกร้านใหญ่หน่อยเพราะต้องการของคุณภาพดี เข้าไปเลือกกันตาลาย สรุปว่าเลือกหินสี….ขาว Moonstone ได้กันมาคนละชิ้น คุยต่อราคากันไปมาจนคุยกันไปถึงบ้านเกิดลูกเมีย เลยถือโอกาสถามว่าถ้าเราอยากไปดู Srilanka Dance ต้องไปดูที่ไหนยังไง คนขายเลยแนะนำให้ว่า ให้เราเดินเลียบทะเลสาบไปเรื่อย จนสุดทะเลสาบ จะมีโรงแสดงอยู่ซ้ายมือ มีหลายอัน ราคาเท่าๆกันหมด แต่…. ระหว่างเดินไป จะมีคนคอยเข้ามาถามว่าจะดูโชว์มั๊ย อย่าไปพูดกับพวกนั้น ถ้าพูดด้วย  เขาก็จะเดินไปกับเราจนถึงโรงแสดงจัดแจงพาเราไปซื้อตั๋ว ซึ่งราคาตั๋วเราก็จะโดนบวกค่านายหน้าไปด้วย ให้เราเดินไปเฉยๆ ถึงโรงแสดงก็ไปซื้อตั๋วเอง

เจอรูปเมืองเก่าในร้านกาแฟ ถึงขนาดต้องเดินกลับไปมุมนั้นถ่ายรูปมาเทียบกันเลย จะเห็นว่าเปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก

เป็นจริงอย่างที่คนขายเพชรบอก หนุ่มศรีลังกาพากันเข้ามาชวนคุย ชวนไปดู Kandyan Dance พวกเราไม่สนใจ บอกแต่จะไปหาเพื่อน ยูไม่ต้องตามมา 555 เดินไปถึงโรงแสดงมีอยู่ 2-3 อาคาร มองๆดูก่อนว่าชอบอันไหน แต่ยังไม่ซื้อตั๋วอะไร เพราะการแสดงจะเริ่มตอน 17:00 พวกเราแค่มาดูลาดเลาก่อน แล้วก็เดินกลับมาที่วัดพระเขี้ยวแก้ว เข้าไปเดินถ่ายรูปตอนแสงยังดี ตรงนี้ไม่ต้องซื้อบัตร เดินได้รอบๆ

ดอกไม้ ธูป เทียน มีขายตามริมรั้วเหมือนเมืองไทย หรือไปซื้อข้างในตรงที่ตรวจบัตรก็มีเหมือนกันแต่มีน้อย
เดินวนไปวนมาอยู่ริมทะเลสาบนี่แหละ

ได้เวลาก็เดินไปโรงแสดงที่เล็งไว้ Kandyan Cultural Center เข้าไปซื้อตั๋วที่คนขายได้ราคา 1000 รูปี ถามขอส่วนลด พี่แกบอกไม่มีจ้า คนไทยก็ไม่ลดแล้ว 55 เข้าไปด้านใน คนเต็มโรง ส่วนมากเป็นทัวร์ มองหาที่นั่งที่ไม่ได้วางป้ายจองแล้วนั่งเลย การแสดงยาวร่วมชั่วโมง พวกเราดูกันไปประมาณครึ่งโชว์ ก็ออกเพื่อไปต่อคิวเข้านมัสการพระเขี้ยวแก้ว อดดูชุดลุยไฟชุดสุดท้าย

วัดพระเขี้ยวแก้ววันนี้คนเยอะกว่าเมื่อวาน แต่เราก็ยังคงมีโชคเข้าไปคิวยังไม่ยาว ได้คิวพอๆกับเมื่อวาน ยืนรอสักพักคิวยาวหางแถววนไปข้างล่าง ได้นมัสการพระเขี้ยวแก้วใกล้ๆอีกครั้ง แต่วันนี้เดินลงมาชั้นล่างได้เข้าดูห้องต่างๆ มีข้าวของโบร่ำโบราณเก็บรักษาไว้เยอะแยะ เข้าไปในส่วน Pattirippuva Octagon tower หอคอย 6 เหลี่ยมนี้มองเห็นจากด้านนอกในทุกรูปที่ใครๆถ่ายภาพตัววัดมานั่นไง ที่นี่กษัตริย์ได้เคยใช้เป็นที่ออกพบปะประชาชน

เข้านมัสการพระเขี้ยวแก้ววันที่ 2 พอมีเวลาได้เดินดูทั่วๆด้วย
เสร็จแล้วออกมาจุดเทียนกับเติมน้ำมันด้านนอก

กลับออกมาตอนมืด ไปแวะร้าน Midland Deli ตามที่คนขายเพชรแนะนำ เป็นร้านอาหารศรีลังกาแบบคนเมืองกิน เหมือนร้านกับข้าวตักบ้านเรา ร้านใหญ่โตพอสมควร สั่งกันตามปกติ แกงไก่ แกงปลา ผัดผัก ข้าว โรตี อร่อย ดี ราคามิตรภาพอีกร้านที่อยากแนะนำ อยู่ใกล้ๆวัดพระเขี้ยวแก้วนั่นแหละ

SriLanka Part-4 [Ella]

Town of Tea, Ella

ศรีลังกาวันที่ ๓ เอลล่าเมืองแห่งชา

บ่ายวันที่ 3 ตอนเช้าบุกป่าซาฟารีแต่ไม่เจอเสือดาว พกความเศร้าย้ายที่นอนอีกครั้ง จาก Tissa ขึ้นเหนือไปตอนกลางของศรีลังกา นอนกลางไร่ชาเมือง Ella ปรึกษากับหนุ่มดูแลที่พักเรื่องรถจาก Tissa ไป Ella ได้ความว่า ถ้าไปบัสต้องต่อรถ 2 ครั้ง ไม่สะดวกแน่นอน ให้โรงแรมติดต่อเหมารถให้เลยดีกว่า รถตู้เล็กกลางเก่ากลางใหม่ 4 ประตู นั่งสบาย ในราคา 11,500 รูปี พี่คนขับไม่ตีนเปล่าและไม่ตีนผี ค่อยหลับอย่างสบายใจหน่อย ออกจาก Tissa บ่ายโมงกว่า ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชม. ในการไป Ella ช่วงก่อนถึง Ella จะเป็นทางเขา เพราะ Ella เป็นเมืองในหุบเขา อากาศเย็นตลอดปี ถึงได้เป็นแหล่งผลิตชาชั้นเลิศ

ถนนในช่วงแรก ผ่านเมืองเล็กๆหลายเมือง มองดูเหมือนๆกันไปหมด จนเริ่มขึ้นเขา ถึงมีวิวให้พอได้เพลิดเพลินตาบ้าง พี่คนขับพาเราแวะดู Ravana Fall น้ำตกสวยริมถนน เป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมในละแวกนี้ มีรถจอดเยอะแยะ ผู้คนคึกคักเพราะห่างจากตัวเมือง Ella แค่ 5 กม. เริ่มเจอคนจีนคนเกาหลี ไม้เซลฟี่ฉวัดเฉวียนผ่านหัวไปมา

Ravana Fall

พี่คนขับบอกว่าที่พักที่ยูจองมา โนวิว นะ หาใหม่มั๊ย ไอมีแนะนำนะ วิวสวย น้องนิ่มผู้นำทริปของเราหันไปยิ้มเชือดเฉือนบอกว่า ไม่เป็นไร เอาอันนี้แหละ ฉันไม่เอาวิว ฉันจะนอนกลางไร่ชา รถผ่านเข้าถึงตัวเมือง นึกว่าผ่ามิติมาที่วังเวียงเมื่อ 10 ปีก่อน เมืองไม่ใหญ่มาก ถนนหลักเส้นเดียวที่ผ่านกลางเมืองเต็มไปด้วยที่พักและร้านอาหาร ฝรั่งหัวทองหัวน้ำตาลเดินกันไปมา นั่งกินกาแฟบ้าง จิบชาบ้าง กินโรตีบ้าง คึกคักในระดับวังเวียง 10 ปีที่แล้ว (ไม่ใช่ตอนนี้ที่กลายเป็นเมืองใหญ่ตึกใหม่ๆขึ้นเต็มพรืด) ผ่านกลางเมืองไปลอดอุโมงใต้ทางรถไฟก็ถึงที่พัก Tunnel Gap Guesthouse ที่เราจะนอนกัน 3 คืน

แบกเป้เดินขึ้นเนินไปถึงที่พัก เจอกับ Suda หรือ สุดา ชื่อจำง่ายสุดแล้วในทริปนี้  เจ้าของที่พักที่น่ารักมากมาย ทักทายคุยกันแล้วไปสรุปตรงที่ว่า วันนี้เป็นวันสิ้นปี สุดากับครอบครัวจะไปวัดตอนกลางคืน อารมณ์สวดมนต์ข้ามปี พวกเราขอไปด้วย สุดาบอกว่ายินดีเลย ฉันมีรถตู้เราไปด้วยกัน เออ แฮะ… ง่ายดี

วิวอาจไม่เลิศหรู แต่ดูสบายตา กับไร่ชารอบตัว ‘Tunnel Gap Guesthouse’
Welcome drink ด้วยชาซีลอนแท้ๆ

นัดแนะเวลากันแล้ว พวกเราลงไปเดินเล่นในเมือง ทำความรู้จัก Ella กันนิดหน่อย ก่อนจะไปจัดการมื้อเย็นที่ร้าน Mateh Hut ข้างๆอุโมงใต้ทางรถไฟ ที่น้องนิ่มบอกว่า Tripadviser แนะนำ และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ประทับใจกับความอร่อยและราคาที่เป็นมิตร แต่เจ้าของร้านเป็นมิตรยิ่งกว่า ร้านมีแค่ 3-4 โต๊ะ รับลูกค้าได้ 10-12 คน เต็มที่ เรามากินเร็ว พอคิดเงินเดินออกมาถึงเห็นคนมารอคิวยาวไปเป็นสิบคน พี่เค้าดังจริงๆ

ได้เวลานัดสุดาเอารถตู้มาพาพวกเราเข้าไปวัดป่า ไม่ไกลจากบ้านนัก วันนี้ฝนลงปรอยๆ อากาศจึงเย็นยะเยือก แต่ยังเห็นชาวศรีลังกาเดินกางร่มฝ่าความมืดไปวัดกันตามรายทาง ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังแว่วๆมาก่อนเลย ถึงที่วัด สุดาพาไปกราบเจ้าอาวาส ที่ยังหนุ่มๆอยู่ ท่านถามสุดาว่าพวกนี้เป็นพุทธมั๊ย คงกลัวจะไม่เข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติชาวพุทธ กราบท่านแล้วท่านให้กุญแจกับสุดาและครอบครัวเพื่อไปเปิดโบสถ์กราบพระ โบสถ์เล็กๆแต่เก่าแก่นับร้อยปี มีต้นโพธิ์ที่ชาวศรีลังกาไปวางดอกไม้บูชากันอยู่ใกล้ๆโบสถ์ จากนั้นเดินกลับมาที่ศาลาพากันเข้าไปนั่งฟังพระสวด ชาวศรีลังกาในชุดขาวนั่งรายล้อมกันด้านใน โดยมีพระสวดมนต์อยู่ตรงกลาง เจ้าอาวาสให้คนเอาพรมมาปูให้พวกเรานั่งกลางศาลาประหนึ่งแขก VIP บทสวดคุ้นเคยแบบสวดตามได้ นึกอยู่ว่าต้องสวดมนต์ข้ามปีจริงๆเหรอ ดีที่สุดาสะกิดเรียกว่ากลับมั๊ย เพราะสุดามีลูก 2 คน คนเล็กแค่ 2 ขวบ เด็กน้อยง่วงนอน เลยได้กลับที่พักเร็ว

ได้รับพรในวันสิ้นปีก่อนข้ามผ่านไปปีใหม่ที่วัด Yahalamadiththa Ancient Temple

วันที่ ๔ สวัสดีปีใหม่กลางไร่ชา

ตื่นเช้ารับปีใหม่ขึ้นมากลางไร่ชา อยากจะถ่ายรูปคนเก็บใบชา แต่สุดาบอกว่าปีใหม่หยุดนะคะ อดกัน ไม่ต้องถ่ายรูปก็ได้ แค่ตื่นออกมานั่งหน้าที่พักมองวิวภูเขาไปไกลๆ มีไร่ชาอยู่ข้างๆ อากาศเย็นๆสดชื่น ก็มีความสุขแล้ว นกอะไรไม่รู้ร้องจิ๊บๆๆๆๆ ทั้งคืนจนเช้า ชากาแฟเริ่มออกมาวางให้ จิบชาร้อนกับอากาศหนาวๆตอนเช้าดีที่สุด วันนี้แผนเที่ยวออกจะสบายๆ เอ๊ะ!ก็ไม่สบายนัก เพราะเราจะปีนเขา

Happy New Year 2019 from Ella

Ella เมืองไม่ใหญ่เดินได้ทั้งเมือง ไม่ต้องเรียกรถ จากที่พักก็เดินไปสถานีรถไฟ ถ่ายรูปเล่นก่อนได้ ถ้าอยากได้บรรยากาศแบบมีชีวิตชีวา ให้มาช่วง 6:30, 9:30, 11:00, 12:00 ขบวนสุดท้ายประมาณ 19:00 เพราะจะมีขบวนรถไฟเข้า (ดูเวลาที่สถานีรถไฟอีกครั้ง) คนจะคึกคัก ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้งพวกนั่งรถไฟเล่นและพวกเดินทางระหว่างเมือง สถานีรถไฟกลางเก่ากลางใหม่แต่มีเสน่ห์ใช้ได้ แถมด้วยนายสถานีสุดเท่ห์ในชุดเครื่องแบบสีขาวจั๊วะ

นายสถานีใส่เครื่องแบบขาวจั๊วะสุดเท่ห์
มาจังหวะดีๆ เจอทั้งรถไฟรุ่นเก่าและรุ่นใหม่พร้อมกันเลย

เป้าหมายแรกของวันนี้คือขึ้นไปชมวิวบน Little Adam Peaks ไม่ได้ปีนป่ายอะไรมากมายนัก อารมณ์เหมือนเดินขึ้นจุดชมวิวภูชี้ฟ้า แต่ไกลกว่านั้นหน่อย วันปีใหม่ผู้คนก็คึกคัก แต่ไม่ได้แน่นจนน่าอึดอัด เตรียมรองเท้าใส่สบาย น้ำ ขนมนิดหน่อย อย่าลืมเสื้อกันลมหรือผ้าพันคอ เพราะด้านบนลมแรงมาก

วันที่ 1 มกราคม ไปรษณีย์ก็ไม่หยุดนะ
เดินเลาะไร่ชากันไป
ซ้ายไร่ชา ขวาทิวเขา เดินกันไปเรื่อยๆ

เดินขึ้นไปก็ชันพอหอบแฮ่ก แต่ขึ้นไปถึงด้านบนแล้วก็ลืมความเหนื่อยได้เลย นั่งรับลมเย็น มองวิวต้นไม้เขียวๆ ท้องฟ้าสีฟ้าใสๆ มีพระพุทธรูปให้กราบไหว้อยู่ในศาลาเล็กๆ ถ้ายังไม่พอใจก็ไต่ลงไปขึ้นยอดเขาข้างได้อีก มีให้เดินไปได้อีก 2-3 ยอด เอาตามชอบ แต่แนะนำให้ไปอย่างน้อยอีกยอดข้างๆ ไต่ลงยากหน่อยเพราะชันแต่ไปได้แหละ ไปถึงแล้วมีก้อนหินให้นั่งเล่นได้เพลินมากๆ

วิวแรกเมื่อไต่พ้นทางชันสุดท้าย
ขึ้นถึงด้านบนสุดก็จะคับคั่งประมาณนี้
หนีความคับคั่ง โดยการเดินไปต่อทางโน้นดีกว่า
มองย้อนกลับไป ดีใจที่ไม่ค่อยมีคนตามมา ฮา….
มีมุมให้นั่งเล่นได้หลายมุม ทิวทัศน์อาจไม่ถึงกับตะลึง แต่มันก็สะกดให้หยุดนั่งคิดอะไรต่อมิอะไรได้

นั่งรับลมจนพอใจ ก็เดินกลับลงมา พอถึงรั้วทางเข้ายังไม่เลี้ยวกลับเข้าเมือง ให้เลี้ยวขวาเข้าไปทาง 98 Acres resort & spa เป็นที่พัก 5 ดาว  ที่น่าพักที่สุดแต่เต็มตลอด จองไม่ทัน แต่เราเดินเข้าไปดูได้ เลยเข้าไปนั่งจิบชากันสักหน่อยที่ร้านอาหารวิวสวยมากๆ สั่งชามะนาวมาจิบหลังจากปีนเขา ชาดีมันชุ่มคอชื่นใจมากๆ แถมอากาศก็ดีบรรยากาศก็แจ่ม แทบไม่อยากลุกไปไหนต่อกันเลย

กลับออกมาเลี้ยวขวาไปทาง 98 Acres Resort ก่อนนะ จะได้แวะจิบชา แล้วเดินต่อไป 9 Arch Bridge ได้

พักขาพร้อมจิบชาชมวิวแล้วเดินทะลุไปด้านหลัง ผ่าน Newbourge Tea Factory ไป มองลงไปหุบเขาด้านซ้ายจะเห็นโค้งทางรถไฟ “9 Arches Bridge” ที่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ Ella ที่ใครๆก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่ ความสวยงามของโค้งทางรถไฟข้ามหุบเขาสั้นๆแค่ 90 ม.บวกกับ 9 โค้งของสะพาน อาจไม่ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนทางรถไฟในยุโรป แต่ก็ดูมีเสน่ห์เพราะล้อมรอบด้วยไร่ชา

ถ้ามุมเปิดเห็นโค้งได้ชัดเจน ก็น่าจะพอสู้กับทางราถไฟสายฮอกวอตท์ได้อยู่นะเนี่ย

ถ้าอยากมาถ่ายรูปกับสะพานนี้เฉยๆก็มาตอนไหนก็ได้ แต่ช่วงเช้าคนจะน้อย  ถ้าช่วงอื่นคนจะเยอะ เดินกันเต็มสะพาน ถ้าอยากมาถ่ายรูปสะพานพร้อมมีรถไฟวิ่งผ่านต้องเช็คเวลารถไฟที่วิ่งไป-กลับระหว่าง Ella Station กับ Demodara Station เพราะสะพานนี้อยู่ระหว่าง 2 สถานีนี้  ถ้าอยากนั่งรถไฟผ่านทางนี้ก็สามารถเลือกนั่งจาก Ella Station ไป Demodara ได้ แล้วเรียกรถตุ๊กๆกลับมาเพราะห่างกันแค่ไม่ถึง 10 กม. หรือจะรอรถไฟกลับก็ได้

ทางรถไฟสายนี้มีรถไฟวิ่งไม่ถี่นัก จึงมีช่วงว่างให้คนไปเดินเล่นบนทางรถไฟได้ ตามจริงแล้วมีป้ายบอกอยู่ทั่วไปตั้งแต่สถานีว่าห้ามเดินบนรางรถไฟ แต่เหมือนไม่สามารถห้ามนักท่องเที่ยวหรือแม้แต่คนท้องถิ่นได้ เห็นเดินกันตลอดทาง บางคนเดินมาจาก Ella Station มาเที่ยวสะพานเลยด้วยซ้ำ พวกเราถ่ายรูปเล่นที่สะพานจนบ่ายแก่ แล้วเลือกเดินเลียบรางรถไฟกลับไปที่ Ella Station พร้อมกับนักท่องเที่ยวหลายๆคน (อย่าลืมดูรอบรถไฟด้วยนะ เพราะบางช่วงไหล่ทางแคบมาก)

ป้ายก็มีตามนี้ล่ะจ้า

คืนนี้กลับไปกินข้าวเย็นที่ Matey hut เหมือนเดิม ถูกใจก็ไปซ้ำได้ เจ้าของร้านเป็นมิตรเหมือนเดิม พร้อมถามพวกเราว่าพรุ่งนี้จะมากินอีกมั๊ย พอบอกว่าแน่นอน ฮีเลยบอกว่าพรุ่งนี้ปิด อ้าว! ฮีบอกว่าจะปิด 2-3 วันเพื่อปรับปรุงร้าน

กลับที่พักไปนั่งจิบเบียร์ รับความหนาวยะเยือกหน้าที่พัก แขกห้องอื่นๆผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาทักทายพูดคุย แต่ละคนอยู่ที่ Ella กัน 2-3 คืนทั้งนั้น มันเหมือนไม่มีอะไรเที่ยวนักแต่ก็มีเสน่ห์เล็กๆในตัวที่ทำให้ผู้คนอยู่ได้หลายๆวัน

วันที่ ๕ ทำความรู้จักกับชาซีลอน

ในเมื่อมาอยู่ท่ามกลางไร่ชา ก็ต้องทำความรู้จักกับชาศรีลังกาสักหน่อย วันนี้พวกเราก็เลยจะไปเที่ยวดูโรงงานชา Tea Plantation เป็นเหมือนโปรแกรมบังคับของนักท่องเที่ยวแทบจะทุกคนที่มา Ella ก็ว่าได้ ถาม Suda ว่าเราควรไปที่ไหนดี เพราะมีโรงงานชาตั้งหลายแห่ง Suda แนะนำให้ไป Halpe Tea Factory ก็เลยคุยกับ Suda เช่าเหมารถของที่พักพาเที่ยว รายการหลักๆ ก็ไป โรงงานชา ไปวัด ไปถ้ำ (Suda แนะนำ) แล้วก็เดินเล่นในไร่ชา ถ่ายรูปวิวสวยๆ ส่วนอื่นก็แล้วแต่เราจะให้รถพาไป

ที่แรกที่ไปคือ Upa Halpewatte Tea Factory ที่ผลิตชาส่งให้หลายๆแบรนด์เอาไปปะยี่ห้อขายอีกต่อ และก็มียี่ห้อ Halpe ของตัวเองด้วย มีวิทยากรแนะนำใบชา บอกเล่าประวัติ วิธีการดูชา วิธีการผลิตชา และให้เดินดูขั้นตอนการผลิต จบด้วยการชิมชา แล้วก็เดินซื้อชากันคนละกล่อง สองกล่อง เหมือนเป็นอุปทานหมู่

จบจากเที่ยวโรงงานชา รถวนผ่านตัวเมือง เลยบอกคนขับจอดให้พวกเราแวะร้านกาแฟ Ella เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ร้านกาแฟดีๆมีให้เห็นหลายร้าน ต่างกับ 3-4 วันที่ผ่านมาหาร้านกาแฟดีๆไม่ได้เลย มีโอกาสเจอร้านกาแฟดีๆต้องขอเพิ่มคาเฟอีนเข้าร่างกายสักหน่อย เลือกร้าน Star bean นั่งจิบอเมริกาโน่กับชีสเค้ก ถือว่าใช้ได้เลย

จุดต่อไปที่รถพาไป คือ Ravana’s Cave & Ravana Temple รถพาขึ้นพวกเราเขาไปไม่สูงมากก็จอดรถ แล้วคนขับก็ชี้ทางให้เราเดินขึ้นไปเที่ยวถ้ำ ไม่รู้ถ้ำอะไรยังไง เพราะไม่ได้หาข้อมูลมา ก็เดินๆขึ้นไปทางขึ้นเป็นบันได  ชันขนาดเดินพอหอบ แต่ระหว่างทางปลูกดอกไม้สวยพอเป็นกำลังใจ เดินไปค่อนทางจะเจอสกายเล้าจ์ ที่สามารถแวะนั่งจิบเครื่องดื่มราคาหลักสิบแต่วิวหลักแสน แต่แนะนำว่าอย่าเพิ่งแวะ ให้ไปต่ออีกหน่อยก็ถึงปากถ้ำแล้ว แล้วก็ไปยืนงงๆกันที่ปากถ้ำ เพราะมันเข้าไปในถ้ำไม่ได้ มันมีแค่นั้น

Sky Lounge เครื่องดื่มหลักร้อย วิวหลักล้านของจริง

ยืนงงจนหายเหนื่อยก็เดินกลับลงมาแวะสกายเล้าจ์สั่งเครื่องดื่มมานั่งหันหน้าเข้าหากันจิบไปบ่นไป ว่าปีนกันขึ้นมาทำไมวะ ไม่เห็นมีอะไรเลย ว่าแล้วก็ให้หันหน้าออกไปมองวิว ความโมโหโกรธาที่มากับความเหนื่อยจะหายไปในทันใด กับภาพทิวเขาเบื้องหน้า เลิกบ่นกันไปเลย นั่งจิบชา จิบกาแฟ หรือดูดน้ำมะพร้าว พร้อมซึมซับบรรยากาศกันไป เทีอกเขาตรงข้ามคือ Little Adam’s Peak ที่พวกเราปีนกันไปเมื่อวานนี่เอง แล้วมาสะกิดใจอีกรอบ เมื่อวานปีนยอดนั้น วันนี้มาปีนยอดนี้ จะปีนกันไปถึงไหน แต่อย่ามัวแต่นั่งใจลอย เพราะอาจโดนลิงน้อยกระโจนเข้ามาฉกมะพร้าวจากมือได้ 55555

Little Adam’s Peak
โฉมหน้าเจ้าของร้านวิวหลักร้าน ลุงแกบอกว่าดอกไม้ตามรายทางแกเป็นคนปลูกเอง

ลงจากถ้ำมาถึงลานจอด เดินเลยเข้าด้านในไปอีกไม่ไกล เป็นพื้นที่วัด Ravana Temple ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าเขตวัดเหมือนเคย มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ให้ถ้ำที่เจาะเข้าไปในเชิงเขา โถงถ้ำขนาดเล็กๆ เข้าไปนมัสการพระได้ ด้านข้างๆก็มีต้นโพธิ์ สังเกตได้ว่าวัดที่ศรีลังกามักมีต้นโพธิ์อยู่ด้วยเสมอ

จบโปรแกรมถ้ำและวัด รถพาลงจากเขา ถามพวกเราว่าจะไป Ravana Fall ด้วยมั๊ย พวกเราบอกไม่ไป เพราะแวะตอนนั่งรถมา Ella วันแรกแล้ว บอกให้รถไปส่งพวกเราที่ตัวเมืองเลย จะเดินชิลล์กันอีก พ่อหนุ่มคนขับบอกไม่ได้ ยังมีอีกโปรแกรมที่ Suda สั่งมา ยูต้องไปนะ เอา..ก็ไป คืออะไรเหรอ มันคือเดินลุยไร่ชา ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกนั่นเอง คนขับก็คงพานักท่องเที่ยวมาบ่อย ฮีก็รู้ตำแหน่งรู้มุมมองในการถ่ายรูปพอสมควรนะ มีถ่ายแบบ foreground เป็นใบชา ถ่ายซูม ถ่ายมุมกว้าง พวกเราก็เลยสนองความสามารถ โดยการวิ่งกันไปทั่วไร่ชาให้ฮีถ่ายรูปให้

ดูเทคนิคการถ่ายรูปของหนุ่มพลขับ
รูปออกมาเก๋ไก๋มาก

บ่ายแก่ๆก็จบโปรแกรมการทำความรู้จักกับชาซีลอน (อ่านเรื่อง ศรีลังกากับชาซีลอน เพิ่มเติมได้ https://iammanussite.com/2019/01/25/ceylontea/ ) ตอนเย็นเดินออกไปหาข้าวเย็นกิน ได้เห็นตลาดข้างทางที่สุดาบอกว่าไม่ได้มีทุกวัน พืชผักที่เอามาขายจะเป็นผลผลิตที่ปลูกกันเอง แต่ละแผงจึงมีไม่มาก ได้มีเวลาเดินชมเมืองเป็นการร่ำลาสมความตั้งใจ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะขึ้นรถไฟสายชาไปเมืองชื่อหวานแหวว Kandy กัน

SriLanka Part-3 [Safari at Yala]

Tissa for Yala Safari Tour

ศรีลังกาวันที่ ๓ ตามล่าหาเสือ ดำ ดาว

อย่างที่เกริ่นไว้ตอนแรกๆว่า ศรีลังกามีป่าอุดมสมบูรณ์ จึงมีพื้นที่อุทยานแห่งชาติให้สัตว์ป่าอยู่เยอะ นักท่องเที่ยวที่ยังไม่มีงบประมาณพอจะไปซาฟารีแถวอาฟริกา (อย่างเรา) ก็มาเที่ยวซาฟารีศรีลังกาเป็นน้ำจิ้มดูก่อนได้ น้องนิ่มหัวหน้าทัวร์เลือกมาซาฟารีที่ Yala National Park เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องเสือดาว มีเปอร์เซนต์จะเห็นเสือดาวค่อนข้างสูง ซาฟารีอีกแห่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปคือ Uduwalawe National Park ที่นั่นจะเน้นไปที่ช้างป่า มาเป็นฝูง เราคนไทยคุ้นเคยกับช้าง แต่ไม่เคยเห็นเสือดาว ขอเลือก Yala นี่แหละ ให้ที่พักติดต่อทัวร์ให้ ได้ในราคาเหมาคันละ 25,000 รูปี รถนั่งได้เต็มที่ 6-7 คน (ถ้าเลือกแบบไปรวมกับคนอื่นก็จะราคาถูกกว่านี้นะ แล้วแต่จะเลือก)

รถจิ๊ปมารับตั้งแต่ 6 โมงเช้า ยังมืดสนิทอยู่เลย อากาศหนาวแค่เสื้อกันลมตัวบางๆ แต่ควรมีหมวกกับผ้าพันคอ เอาไว้ปิดหน้าปิดปากกันฝุ่นด้วย จากตัวเมืองต้องนั่งรถออกไปราวๆ ½ ชม. เพื่อไปที่ Yala National Park รถทุกคันต้องมาลงชื่อและจอดต่อคิวรอเข้าตอนเวลา 8:00 พอฟ้าเริ่มสว่างชะโงกหน้าออกไปส่องแถวรถจิ๊ป ยาวเหยียดเหมือนกัน รถเราอยู่ราวๆคันที่ 20 ยังมีต่อแถวไปอีกยาว ก็นึกๆอยู่ว่ารถเยอะอย่างนี้สัตว์ป่าไม่หนีกระเจิงกันหมดหรือ?

จอดรอเวลา ฟ้าเริ่มสว่าง

พอถึงเวลาเปิดป่า รถทุกคันก็ขับเข้าไปตามๆกัน คนขับทุกคนก็รู้จุดที่เจอสัตว์บ่อยๆอยู่แล้ว ต่างคันต่างแยกซ้ายแยกขวาไปตามถนัด แต่ก็มีโทรบอกกันด้วย ใครเจออะไรตรงไหน ก็ขับไปตรงพิกัด ช่วงแรกเจอแต่ควาย ตามด้วยนกยูงที่เดินเกลื่อนอุทยานยิ่งกว่าเป็ดไก่ และนกสีสวยๆ หมูป่ามาเป็นฝูง บางตัวก็ไม่รู้ว่าคือตัวอะไร

ไปจอดรอที่จุดนัดพบริมลำธารคนขับบอกว่าเสือดาวชอบออกมาตรงนี้ นอนกลิ้งไปมา งัดกล้วยจากกล่องอาหารเช้ามากินก็แล้ว กินน้ำผลไม้ก็แล้ว เสือดาวก็ไม่โผล่ ย้ายจุด ขับวนต่อไป ที่ขำสุดๆคือ อยู่ดีๆคนขับก็ห้อตะบึงไปจนเจอจุดที่รถจอดกันอยู่เกือบ 10 คัน ไปสอบถามได้ความว่าเจอเสือดาว ไม่รู้ว่าคันไหนเจอคันแรก เอาวะ ตรงไหนๆ มีการชี้จุดกัน มองดูทุกคันคนขับจะทำการชี้จุด นักท่องเที่ยวก็ชะเง้อมองตาม บ้างก็คว้ากล้องส่องทางไกลส่องกัน มองกันไป ไหนวะ คันเราก็เหมือนกัน ส่องกันจนตาเหล่ ถามคนขับว่าตรงไหนแน่ คนขับชี้ไปดงต้นไม้ไกลๆ แล้วบอก Very far! เอิ่มมม เห็นแต่ต้นไม้ เล็งกันพักใหญ่ไปดีกว่า

Elephant Rock

ช่วงหลังก็วนไปวนมาเจอช้าง ไม่น่าตื่นเต้นสำหรับคนไทย แต่ก็แปลกตาที่ได้เห็นช้างตามธรรมชาติ แวะไปจอดให้พักทานอาหารเช้าที่โรงแรมจัดเตรียมมาให้ จุดจอดมีห้องน้ำให้เข้า มีลิงกวนใจ คอยมาแย่งกล้วยให้ได้กรี๊ดกร๊าดกันบ้าง ขากลับก็ย้อนผ่านทางเดิม มาถึงจุดเสือดาวเดิม รถยังมุงอยู่ แถมจำนวนมากกว่าเดิมอีก 5555 น่าจะห่างจากตอนแรกที่เรามาครึ่งชม.ได้แล้ว เสือดาวมันไปไหนต่อไหนแล้วนั่น แต่คันไหนผ่านมาก็หยุดเล็ง รถมากจนรถติด สุดท้ายเจ้าหน้าที่อุทยานต้องมาไล่รถ ตลกดี

สรุปแล้ว เสือดาวน่าจะหยุดปีใหม่ ไม่ออกมาอวดโฉมให้พวกเราเห็น เสียดายแต่ทำยังไงได้ โชควาสนาเงินซื้อไม่ได้ นั่งรถกลับเมืองอย่างหงอยๆ คนขับก็คงเสียใจไม่แพ้พวกเราที่ทำพวกเราผิดหวัง ก่อนจะออกจากอุทยาน ยังพยายามชี้เป้า Buffalo…. Elephant….. Peacock…. แต่พวกเราเฉยๆกันล่ะ กลับดีกว่า

โผล่มาให้ช้ำใจในทีวี
Yoda Lake

บ่ายวันนี้เราย้ายที่นอนอีกครั้ง ขึ้นเหนือไปตอนกลางของศรีลังกา นอนกลางไร่ชาเมือง Ella ปรึกษากับหนุ่มดูแลที่พักเรื่องรถจาก Tissa ไป Ella ได้ความว่า ถ้าไปบัสต้องต่อรถ 2 ครั้ง ไม่สะดวกแน่นอน ให้โรงแรมติดต่อเหมารถให้เลยดีกว่า รถตู้กลางเก่ากลางใหม่คันกระทัดรัด นั่งสบาย ในราคา 11,500 รูปี พี่คนขับไม่ตีนเปล่าและไม่ตีนผี ค่อยหลับอย่างสบายใจหน่อย

SriLanka Part-2 [Stilt fishing]

Stilt Fishing

ศรีลังกา วันที่ ๒ : ตกปลาแบบศรีลังกาสไตล์

จากตอนที่แล้ว เที่ยวเมือง กอลล์ (Galle) ช่วงเช้าแล้ว พวกเราก็ต้องเดินทางต่อ เจ้าของที่พักติดต่อหารถเช่าพร้อมคนขับให้พวกเราเพื่อไปเมือง Tissa ที่หาเช่ารถเพราะพวกเราอยากแวะเที่ยวระหว่างทาง ไปรถบัสน่าจะไม่สะดวก ได้เหมารถราคา 10,000 รูปี ก็ราวๆ 2,000 บาท แลกกับความสะดวกสบายในการท่องเที่ยว คนขับรถพอพูดภาษาอังกฤษได้ พาพวกเรานั่งรถเลาะชายหาดไปเรื่อยๆ แต่พอขับมาถึงแถวๆ Midigama Beach คนขับก็จอดรถพรืด เพราะเห็นจุดที่มีเสาและคนตกปลา ตามที่เราลงทุนเหมารถมาดูกัน

ถ้านั่งรถผ่านเห็นเสาปักๆอยู่ในทะเล มันไม่ใช่เลี้ยงหอยแบบบ้านเรานะ แต่เป็นเสาตกปลา

“Stilt Fishing” หรือที่เราตั้งชื่อให้ว่า การตกปลาแบบเหนี่ยวเสาเอาเบ็ดหย่อน ก็ตรงๆตัวคือ เอาเสาปักลงไปแล้วคนก็เหนี่ยวเสาไว้แล้วหย่อนเบ็ดลงไป แต่การจะปักเสาก็ไม่ใช่ปักไม่ดูทิศดูทาง ต้องปักตรงที่มีแหล่งปลาชุกชุม มองไปจะเป็นสีทึมๆท่ามกลางทะเลสีฟ้าใสนั่นคือฝูงปลา คาดว่าตรงนั้นต้องมีอาหารและหรือมีโขดหิดมีปะการัง อะไรก็ได้ที่เป็นของกิน ปลาถึงมารวมตัวกันเยอะ คนเหนี่ยวเสาก็จะหย่อนเบ็ดลงไป พอปลาฮุบเบ็ด ก็ตวัดเอาขึ้นมาปลดตะขอจับลงถุงใส่ปลา

Stilt fishing เป็นการตกปลาแบบดั้งเดิมของชาวศรีลังกา ชาวบ้านละแวกนี้ยังมีการตกปลาเลี้ยงชีพด้วยวิธีนี้ แต่เค้าจะตกกันแต่เช้ามืด สายๆก็กลับบ้านนอน หรือไม่ก็ช่วงเย็นๆ ก็แน่ล่ะเพราะแดดแรงขนาดนั้น เหนี่ยวเสาตอนแดดเปรี้ยงๆก็คงแห้งคาเสา

เป็นการนั่งตกปลาที่ชิลล์ที่สุดเลยนะ (ถ้าไม่นับว่าแดดร้อนเปรี้ยง)

แถบนี้นอกจากจะมีชาวบ้านเหนี่ยวเสาตกปลา แล้วมีคนลงเล่นน้ำ เล่นเสิร์ฟกันค่อนข้างเยอะ เห็นมี Surfing shop อยู่ประปราย แถมด้วยที่พักคล้ายๆโฮมสเตย์ก็มี เกสเฮาส์ก็มี

คนตกปลาก็ตกไป คนเซิร์ฟก็เซิร์ฟไป

แต่พอมันเริ่มโด่งดัง นักท่องเที่ยวก็เริ่มมาแวะดู เป็นไปตามวัฏจักรการท่องเที่ยว ชาวบ้านเริ่มเห็นช่องทางการหารายได้เสริม ก็เริ่มเหนี่ยวเสากันยันสาย จะมายืนดูหรือยืนถ่ายรูปกันเฉยๆ ก็ไม่ได้ล่ะนะ มาเฟียศรีลังกาเกิดขึ้นทันที นั่นพี่น้องฉันทำงานอยู่ ยูมาดูทำไม ยูถ่ายรูปไม่ได้นะ ฉันไม่ยอม นอกจากยูจะจ่ายเงิน ฉันจึงยอมให้ถ่าย แต่มาเฟียศรีลังกาก็มีคุณธรรมนะ ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวศรีลังกาก็ไม่เก็บเงินนะ เห็นเดินดูเดินถ่ายรูปตามสะดวก อย่างน้อยก็มีข้อยกเว้น เห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติบางคนก็ไม่ยอม ยืนถกเถียงกันอยู่ริมหาด แต่พวกเรายอมรับความเป็นไปของโลก จึงถามกันดีๆว่ายูจะเอากี่รูปี ยูมีกี่คนตกปลาให้ไอดู (ตอนลงรถไปมีอยู่ 3 คน มาเฟียศรีลังกาบอกว่า มี 4 คน เดี๋ยวจัดให้) ตกลงกันที่ 1,000 รูปี จากนั้นก็เดินไต่หินถ่ายรูปกันตามสะดวก แถมด้วยพี่มาเฟียเอาคันเบ็ดมาให้พวกเราทำพร็อพถ่ายรูปอีกต่างหาก 55555

ตอนเราไปนั่นสายมากแล้ว แดดแรงมาก ก็คิดๆอยู่ว่า คงมาเหนี่ยวเสาหาเงินกันเฉยๆ เพราะจับปลาจริงก็คงจับเช้าอย่างคนหาปลาทั่วไป แต่นั่งมองดูอยู่สักพักก็เห็นว่าตกจริงนะ เบ็ดมีสาย และได้ปลาจริง ดูปลาดึงคันเบ็ดจนโค้ง แล้วพี่แกก็ตวัดคันเบ็ดขึ้นปลดปลารวดเร็วคล่องแคล่วมาก เห็นแล้วก็รู้สึกดีอย่างน้อยก็ตกปลาจริง

ถ่ายได้ช่วงตวัดปลาขึ้นมาพอดี ดูเหมือนตัวเล็ก แต่ก็คงไม่เล็กมากนัก เพราะไกลขนาดนี้ยังเห็นได้
ดูเทคนิคการควงเบ็ดแล้วหย่อน แล้วตวัดขึ้นมาปลดปลาจากเบ็ด ไวว่องใช้ได้เลย

นั่งดูพี่แกจับปลาอย่างเพลิดเพลินจนพอใจ ก็ออกเดินทางต่อ แวะตรงที่อยากแวะ มาถึงแถบ Weligama มีร้านกาแฟเท่ห์ๆ ร้านเสื้อผ้าเก๋ๆ ตลอดถนนริมหาด ตามถนนดูเงียบๆ หลายร้านปิดปีใหม่ด้วย เลือกเดินเข้าร้านขายเสื้อผ้าฮิปๆ surf style หยิบดูราคาโหดใช้ได้เลย เป็นที่เดียวในทริปที่เจอของแพง น้องคนขายบอกว่ามี café ด้วยอยู่ด้านหลัง พอเดินเข้าตรอกแคบๆข้างร้านไปทะลุข้างหลัง โอ้โห..ฝรั่งตรึม นักท่องเที่ยวมาอยู่ตามซอกตามซอยนี่เอง พวกนี้มาพักผ่อนจริงๆ เล่นเสิร์ฟ นอน อ่านหนังสือ เล่นโยคะ ว่างๆก็จิบชา กาแฟ

หลังจิบกาแฟแล้วเดินกลับมาขึ้นรถ ผ่านตุ๊กๆจอดอยู่ไม่มีคนขับ เลยเข้าไปปีนป่ายถ่ายรูปเล่น สักพักก็มีฝรั่งเดินเข้ามาที่รถ พวกเราก็เลยรีบออกมาคิดว่าฝรั่งคงเหมารถมาเที่ยว ที่ไหนได้ ฝรั่งขึ้นไปขับเฉย เลยถามว่ารถยูเหรอ? หนุ่มฝรั่ง 2 คนบอกว่า ใช่เลย ไอเช่าตุ๊กๆขับเที่ยว 7 วัน ไหนๆก็ต้องเรียกรถไปเที่ยว ต้องใช้พลังงานในการต่อรองราคาทุกวัน เช่าขับเองเลยดีกว่า โว๊ะ! ชอบอ่ะ น่าสนใจจริงๆ เช่าตุ๊กๆขับเที่ยวก็ได้ด้วย

นั่งรถไปต่อถึง Mirissa เมืองท่องเที่ยวคึกคัก ฝรั่งเต็มหาด อารมณ์เหมือนหาดบางแสน เพราะเก้าอี้ชายหาดเต็มพรืด แต่ไม่มีส้มตำ ปลาหมึกเดินขาย แต่มีร้านอาหาร+ที่พัก ตลอดริมหาด ต่างกับบางแสนที่ทะเลที่นี่สวยจริงสวยจัง แถมคลื่นสูง มีคนเล่นเซิร์ฟกันเยอะ มาถึงบ่ายแล้วแวะทานข้าวสักหน่อย เลือกสุ่มๆไป อาหารมันก็คล้ายๆกัน นั่งดูฝรั่งอาบแดดบ้าง เล่นเซิร์ฟบ้าง ถ้าไม่มีเด็กเสิร์ฟศรีลังกา พาลจะคิดว่าอยู่ไมอามี่

อาหารศรีลังกาชุดพื้นฐาน ข้าว แกง และเครื่องเคียง ข้าวแต่ละเมืองก็ไม่เหมือนกัน มีทั้งเม็ดสั้น เม็ดยาว แต่ไม่นุ่มอร่อยเหมือนข้าวหอมมะลิบ้านเรา ♦ มะพร้าวศรีลังกาสีเหลืองไม่เขียวแบบบ้านเรา แต่น้ำไม่หอมหวานเท่ามะพร้าวน้ำหอมบ้านเรานะ แถมเจาะแค่ใส่หลอดทุกร้าน ไม่กินเนื้อกันหรือไงก็ไม่รู้

จาก Galle ไปถึง Tissa ระยะทาง 150 กม. ขับจริงๆก็ราว 3 ชม.กว่า แต่พวกเราแวะโน่นนี่ไปเรื่อย ออกจาก Mirissa ยังต้องไปอีกไกล ยังคิดว่าจะมืดกลางทางมั๊ย แต่หนุ่มคนขับรถของเรานอกจากตีนเปล่าแล้วยังตีนผีอีกด้วย ช่วงหลับพี่แกเหยียบมิด ไปส่งพวกเราถึง The Cool Nest Hotel ในเมือง Tissa ได้ตอน 5 โมงเย็น

คืนนี้นอน Hotel ที่หน้าตาเหมือนบ้านเดี่ยว เดินจากโรงแรมเข้าเมืองไปกินข้าวเย็น พร้อมเดินชมเมือง ที่เล็กเท่าอำเภอชายแดนบ้านเรา เงียบมาก รีบกินรีบกลับมานอน เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องออกแต่เช้ามืด มีรถมารับไปซาฟารี

แผนการเดินทางวันที่ 2 จาก Galle ช่วงก่อนเที่ยง ไปดูคนตกปลาแถว Midigama Beach แวะคอฟฟี่เบรคแถว Weligama อีก แล้วไปหามื้อเที่ยงกินที่ Mirissa จากนั้นนั่งรถยาวไป Tissa ซึ่งจริงๆแล้ว จาก Galle ถ้าไม่แวะเที่ยวเลยก็ 3 ชม.ถึง แต่พวกเราโอ้เอ้เถลไถลฟาดไป 6 ชม.

Website Built with WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: