Trip : England–Scotland [November 2017] Part 10 ~ Edinburgh ~
13 days England-Scotland Part-1 | Part-2 | Part-3 | Part-4 | Part-5 | Part-6 | Part-7 | Part-8 | Part-9 | Part-10 | Part-11 | end
วันที่ 11 ข้ามจากอังกฤษมาสก็อตแลนด์แล้วจ้า ตามจริงแล้วอังกฤษกับสก็อตแลนด์นี่จะเรียกว่าเป็นประเทศเดียวกันก็ไม่ใช่ แต่จะว่าคนละประเทศก็ไม่เชิง อังกฤษ สก็อตแลนด์ รวมเวลส์และไอร์แลนด์เหนือเข้าไปด้วย รวมกันเป็นสหราชอาณาจักร หรือ United Kingdom แต่ทั้งหมดต่างก็มีสภาของตัวเอง แต่ก็ใช้เงินปอนด์เหมือนกัน แต่ธงชาติก็ต่างกัน บริหารราชการก็แยกกัน แต่บางเรื่องก็ต้องให้รัฐสภากลางเป็นคนอนุมัติ งงในงง สรุปแค่ว่าถ้าเป็นเรื่องท่องเที่ยวคิดว่าเป็นประเทศเดียวกันก็แล้วกัน วิซ่าอังกฤษใช้ได้หมด เงินปอนด์ใช้ได้หมด ภาษาอังกฤษใช้เหมือนกันแม้สำเนียงอาจจะต่างกันบ้าง คนก็หน้าตาเหมือนๆกัน ที่ไม่เหมือนคือ สก็อตแลนด์หนาว หนาวกว่าอังกฤษเยอะ
ตามแผนเริ่มแรกจะนอนที่เอดินเบอระ 3 คืน จองห้องจ่ายเงินมาแล้ว แต่มาเปลี่ยนแผนกระทันหัน เหลืออยู่เที่ยวที่เอดินเบอระ 1 วัน 2 คืน แล้วเช่ารถขับเที่ยวขึ้น Highland ต่อไป 2 วัน 1 คืน แผนมันเปลี่ยนกันได้ แค่เสียค่าโรงแรมฟรีไป 1 คืน – -“ เช้านี้ ตื่นมาอากาศดีพอสมควร ออกทำความรู้จัก Edinburgh ที่สมัยเด็กๆอ่านว่าเอดินเบิก โตมาถึงรู้ว่าอ่านว่า เอดินเบอระ แต่ต้องออกเสียง เอดินบะระ แบบขึ้นจมูกหน่อยๆ ยากไปอีก เอดินเบอระเป็นเมืองหลวงของสก็อตแลนด์ หลายๆคนบอกว่าเป็นเมืองที่สวยชวนหลงใหล เหมือนเมืองในนิยาย มันยังไงกันนะ

Travelodge สาขา Prince street ก็อยู่บนถนน Prince ตามชื่อ ซึ่งถนนปริ๊นซ์นี้เป็นถนนที่แบ่งเขตเมืองเก่ากับเขตเมืองใหม่ ตัวโรงแรมอยู่เขตเมืองใหม่ข้ามถนนที่รถรางวิ่งกันขวักไขว่มาก็ถือว่าเริ่มเข้าเขตเมืองเก่ากันแล้ว ข้ามมาเจอ landmark แรกเลย Scott monument แต่อย่างที่เล่ามาตลอดทริปว่า พฤศจิกายนบรรยากาศคริสต์มาสก็มาแล้ว ดังนั้น Scott monument จึงโดนล้อมไปด้วยตลาดนัด อนุสาวรีย์กลายเป็นที่วางขวดซ๊อสมะเขือเทศเอาไว้กินกับไส้กรอก คิดซะว่ามีเสน่ห์ไปอีกแบบหนึ่ง เดินต่อไปตามถนน Prince เรื่อยๆ จนถึง Scottish National Gallery ก็จะเห็น Prince street garden สวนสาธารณะริมถนนขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กอยู่ข้างหน้า แนะนำให้เดินลงไปในสวนจนถึง Ross fountain บ่อน้ำพุที่มีฉากหลังเป็น Edinburgh Castle บนหน้าผา แต่ด้วยความเป็นผู้มีดวงในการเดินทางตลอดทริปนี้จึงเจอการซ่อมสร้างมันทุกที่ รวมทั้ง Ross fountain ก็ด้วย ล้อมรั้วปิดซ่อม นี่ไม่เสียใจใดๆทั้งสิ้นด้วยว่าชินแล้ว เหอๆๆๆ
The Balmeral / Scott Monument / Edinburgh Christmas

Prince street garden / Edinburgh castle มองจากสวน / Scottish National Gallery

เป้าหมายต่อไปคือ Edinburgh castle ที่อยู่บนยอดเขานั่น อย่าโอ้เอ้ ควรรีบขึ้นไป เพราะคนเยอะมาก เผื่อต้องต่อคิวซื้อตั๋วนาน จากสวนด้านล่างถ้าเดินไปถึงน้ำพุแล้ว เดินเลยไปขึ้นเขาทางนั้นได้ เป็นทางเล็กๆหน่อยแต่มีป้ายบอก หรือเดินย้อนกลับมาตรงทางแยก Scottish National Gallery ก็ได้แล้วเดินเลี้ยวขึ้นตามถนน The Mound ชมวิวไปเรื่อยๆ ชันหน่อย แต่ไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอก เดินไปตรอกซอยซอยไหนก็ได้ ให้ไปทะลุถนน Royal Mile ถนนสายหลักที่ตรงขึ้นไปตัวปราสาท
Edinburgh Castle เป็นป้อมปราการเก่าแก่บนยอดเขากลางเมืองเอดินเบอระ สร้างขึ้นในช่วงคศ.ที่ 12 เพื่อคอยป้องกันการบุกโจมตีจากผู้รุกรานในยุคนั้นคือพวกไวกิ้ง ต่อมากลายเป็นที่ประทับของกษัตริย์และราชวงศ์สก็อตติชจนถึงคศ.ที่ 15 ก็กลายมาเป็นฐานทัพในสงความ ด้วยความเก่าแก่ยาวนานของปราสาทที่ผ่านการต่อเติมปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาหลายร้อยปี พื้นที่ของปราสาทจึงสลับซับซ้อนมีหลายอาคาร ทั้งส่วนที่ประทับของกษัตริย์และราชวงศ์ ส่วนที่เป็นโบสถ์ ส่วนที่เป็นคุก ส่วนกองทหาร แถมด้วยมีคนตายมากมายที่ทำให้ปราสาทเอดินเบอะระติดอันดับปราสาทที่สยองขวัญของโลก มีคนพบวิญญานหลายรูปแบบ เช่น วิญญาณชายแก่ เงาและเสียงโหยหวนของหญิงที่ถูกเผาทั้งเป็น ผีเด็ก ผีทหาร ไปจนถึงผีสุนัข!
โชคดีที่วันนี้คนไม่มากนัก ต่อแถวซื้อตั๋วไม่นานก็ได้เข้า รับแผนที่และ audio guide ไปฟัง ค่อยๆเดินชมไปตามจุดในแผนที่ ใช้เวลาเดินให้ทั่วพื้นที่ประมาณ 2-3 ชม. แล้วแต่ดูนานดูละเอียดแค่ไหน ไม่รู้จะเน้นตรงไหน เพราะน่าสนใจไปทุกที่ วิวสวยไปทุกด้าน ตัวปราสาทอยู่บนเขาทำให้หนาวมากกว่าด้านล่างอีก แถมด้วยลมที่พัดมาแต่ละครั้งเหมือนโดนมีดกรีดผิว ดังนั้นหมวก ผ้าพันคอ ถุงมือ จึงถูกเอาออกมาใส่จนครบชุด การเข้าไปเดินในพิพิธภัณฑ์หรือโบสถ์เป็นการหลบลมหนาวที่ดีมากๆ



เดินเข้าๆออกๆอาคารจนวนครบกลับมาด้านหน้า ออกมาที่ลานหน้าปราสาท ซื้อช็อคโกแลตร้อนมาจิบแก้หนาว ก็เลยสังเกตเห็นว่ามีขบวนทหารมารอตั้งขบวนอยู่ลานด้านล่าง ตอนนั้นไม่รู้ว่าขบวนอะไร รู้ว่าน่าจะเป็นพาเหรด มีทหารใส่คิลท์ ชุดประจำชาติของชาวสก็อตพร้อมปี่สก็อตครบชุด ก็ต้องไปมุงด้วยแน่นอน สอบถามตำรวจได้ความว่าขบวนจะเริ่มตอนบ่ายโมง ก็อีกไม่นาน รอดูเลย
นักท่องเที่ยวเริ่มมารวมตัวกันมากขึ้น จนแถวยาวลงไปตามถนน Royal Mile ขบวนเริ่มเดินตอนบ่ายโมงตรงจากลานหน้าปราสาทลงไปตามถนน บางคนก็ยืนรอดูตามข้างทาง เรารอดูตั้งแต่ขบวนเริ่มแล้วเดินตามขบวนลงมาพร้อมนักท่องเที่ยวอื่นๆ เป็นที่สนุกสนาน เดินลงมาถึงหน้า St.Giles Cathedral ขบวนมาตั้งแถวที่หน้าโบสถ์ มีพิธีการอะไรมากมาย ซึ่งเราไม่ได้อยู่ดูนานนัก ไปเที่ยวที่อื่นต่อดีกว่า
กลับมาหาข้อมูลว่าขบวนพาเหรดอะไร ก็พบว่าในความโชคร้ายที่เจอหลายๆที่ปิดซ่อมก็พอมีโชคดีอยู่บ้าง เพราะในวันนั้นมีงานพิธีพิเศษเพื่อเป็นที่ระลึกให้กับ Dr. Elsie Ingles ในโอกาสครบรอบ 100 ปี (Dr. Elsie Ingles เป็นแพทย์ผู้ช่วยชีวิตผู้คนนับพัน จากการก่อตั้งโรงพยาบาลสตรีสก๊อตแลนด์ 17 แห่งทั่วยุโรปในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง) ขบวนพาเหรดที่เจอคือ Royal Regiment of Scotland Band และด้านใน St. Giles Cathedral มีคนใหญ่คนโตของสก็อตแลนด์มาร่วมงานเยอะแยะเลย ทั้งนักการเมือง ทั้งราชวงศ์ เสียดายไม่ได้รอดู แต่ว่าไปถึงรอดูเราก็ไม่รู้จักว่าใครบ้าง คิดถูกแล้วที่ไปเดินเที่ยวต่อ
เพราะเดินตามขบวนลงมาเลยไม่ได้เดินชมถนน Royal Mile ตามแผน เลยต้องเดินย้อนกลับไปอีกรอบ ถนนรอยัลไมล์เป็นถนนสายหลักของนักท่องเที่ยว ทอดยาวจากหน้าปราสาทเอดินเบอระไปจนถึงพระราชวังโฮลีรูดเฮ้าส์ ระยะทางประมาณกิโลเมตรกว่าๆ แนวของถนนเป็นแนวของสันเขาเดิม ทางเดินเลยเป็นเนินขึ้นๆลงๆ มีร้านขายของไปตลอดสองข้างทางส่วนใหญ่ขายของที่ระลึก ตามตรอกซอกซอยมีร้านอาหาร ผับ บาร์ มีพิพิธภัณฑ์แทรกอยู่หลายที่ อย่างพิพิธภัณฑ์สก็อตวิสกี้ อยากรู้วิธีการหมักบ่มสก็อตวิสกี้ของแท้และดั้งเดิมก็เข้าไปดูได้ มีให้ชิมด้วย ระวังเมาก่อนแล้วกัน
เดินผ่านร้านอาหารไทยเลยฝากท้องอีกมื้อ อิ่มดีเดินเที่ยวต่อ เลี้ยวไปตามถนน George IV Bridge ผ่านร้านกาแฟ The Elephant house ที่สาวกแฮรี่ พอตเตอร์ต้องแวะเข้าไปชิมหรือแวะถ่ายรูป ผ่านไปอีกนิดเดียวก็จะเจอรูปปั้น Greyfriars Bobby เจ้าหมายอดกตัญญู ที่มันได้นอนเฝ้าหลุมศพเจ้านายถึง 14 ปีจนตาย หลังรูปปั้นเจ้าบ็อบบี้เป็นบาร์ชื่อ Greyfriars Bobby ข้างบาร์มีทางเข้าสุสานที่ฝังร่างเจ้าบ็อบบี้ไว้ใกล้ๆเจ้านายของมัน สุสานนี้ก็มีเรื่องเกี่ยวเนื่องกับแฮรี พอตเตอร์ด้วย เคยเล่าไว้ในตอน Magical trip with Harry Potter : https://iammanussite.com/2018/02/22/magical-trip-with-harry-potter/
ดูเวลาก็บ่ายแก่แล้ว เป้าหมายต่อไปที่ต้องรีบกันหน่อยคือขึ้นไปชมวิวเมืองบน Calton Hill เนินเขาที่เกิดจากภูเขาไฟ ต้องเดินไปทิศทางตรงข้ามกับ Edinburgh Castle ฤดูหนาวฟ้ามืดเร็วมาก เลยไม่สามารถอ้อยอิ่งชมตึกสวยๆตามรายทางได้มากนัก ไปถึงทางขึ้น Calton Hill ก็ต้องเดินขึ้นเนินไปอีกหน่อย บรรยากาศคึกคักมาก เหมือนนักท่องเที่ยวทั้งเมืองมารวมกันที่นี่ แต่ด้านบนมีพื้นที่กว้างพอสมควร และสามารถดูวิวได้รอบเนินเขา คนเลยกระจายตัวไปรอบๆ แถมด้วยมีจุดให้เยี่ยมชมหลายจุด อย่าง National Monument ที่สร้างเลียนแบบ วิหารพาร์เธนอน (ทำไม?), The Portugese Cannon ปืนใหญ่โปรตุกิซ, Dugald Stewart Monument อนุสรณ์นักปรัชญาชาวสก็อตแลนด์, Nelson Monument หอคอยสูงเด่นสง่า พอพระอาทิตย์ใกล้ตก ทุกคนก็ไปกระจุกกันทางทิศตะวันตก รอดูแสงสวยๆกันอย่างเนืองแน่น
หมดแสงสวยๆก็พากันเดินลงเขา เดินกลับเข้าไปช็อปปิ้งตามตรอกซอกซอยแถบ Royal Mile อีกรอบ ยิ่งมืดยิ่งหนาวเลยว่าจะกลับโรงแรม เดินตัดผ่าน Cockburn street ที่เค้าว่าเป็นถนนที่สวยคลาสสิคเสียหน่อย โผล่มาตรงสถานีรถไฟพอดีเลย แต่ตัดสินใจเดินเลยไป Prince Garden อีกรอบ เพื่อถ่ายรูป Edinburgh Castle ยามค่ำ มีแสงส่องดูสวยงามไปอีกแบบ แล้วถึงเดินกลับมา Waverley mall หลบหนาวหาข้าวเย็นกิน ทันก่อนห้างปิดพอดี วันนี้เดินเยอะมาก หมดแรงกลับโรงแรมนอน
St.Giles Cathedral / The Elephant house ร้านกาแฟที่ เจเค โรลลิ่ง มาหมกตัวเขียนเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ ภาคแรกๆ
/ รูปปั้น Greyfriars Bobby เจ้าหมายอดกตัญญู
Calton Hill >> National Monument / The Portugese Cannon & Dugald Stewart Monument / Nelson Monument
เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับชุดสก็อต
คิลท์ (Kilt) เป็นเครื่องหมายการแต่งกายประจำสก็อตแลนด์ ในการแต่งกายทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็กๆ รวมทั้งทหารและกษัตริย์ จึงทำให้คิลท์เป็นสัญลักษณ์การแต่งกายประจำชาติของประเทศสกอตแลนด์
คิลท์มีต้นกำเนิดที่ไฮแลนด์ในประเทศสกอตแลนด์ เมื่อแรกเริ่มนั้นมันเป็นเพียงแค่ผืนผ้าความยาว 5 เมตรซึ่งไม่ได้มีการตัดเย็บใดๆ มันถูกใช้ในฐานะเข็มขัดโดยคาดไว้ที่เอว มีชื่อเรียกในภาษาเกลิค (Gaelic) ว่า ‘féileadh mor’ ซึ่งแปลได้ว่า ‘คิลท์ใหญ่’.
ตั้งแต่ช่วงเอวลงมา féileadh mor จะมีลักษณะคล้ายกันกับคิลท์ในปัจจุบัน ส่วนที่อยู่เหนือเอวขึ้นไปจะนำไปพาดไว้บนบ่าและติดเข็มกลัดไว้ ส่วนท่อนบนนี้สามารถแต่งได้หลายแบบโดยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ อุณหภูมิ หรือเพียงเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหวร่างกายนั่นเอง เมื่อสิ้นสุดวัน เจ้าเข็มขัดนี้จะถูกคลายออกแล้วเปลี่ยนไปเป็นผ้าห่มอันอบอุ่นสำหรับยามค่ำคืน คำภาษาเกลิค ‘plaid’ มีความหมายว่า ‘ผ้าห่ม’
เมื่อเวลาผ่านไป ดีไซน์ของคลิท์ก็มีการพัฒนาขึ้นเพื่อให้ใช้ได้สะดวกมากขึ้นและมีการเพิ่มจีบเข้าไปด้วย เครื่องแต่งกายลักษณะคล้ายกระโปรงที่เรารู้จักกันนี้เกิดขึ้นในช่วงกลางของศตวรรษที่ 18 เริ่มได้รับความนิยมหลังจากที่ถูกเลือกจากกองทหารไฮแลนด์ของกองทัพอังกฤษ และกลายเป็นที่ต้องการอย่างมากในแถบทางใต้ของดินแดนเนื่องจากเหล่าชนชั้นสูงของอังกฤษมองว่ามันเป็นเครื่องแต่งกายแฟชั่น
ปัจจุบันนี้คิลท์ก็ยังคงถูกนำมาสวมใส่ในงานและโอกาสพิเศษ ซึ่งรวมไปถึงงานแต่งงาน งานกีฬาไฮแลนด์เกมส์ และที่งานเต้นรำ ceilidh ซึ่งเป็นงานเต้นรำดั้งเดิมของชาวสกอต เหล่าชายหนุ่มมักเลือกที่จะสวมใส่ผ้าที่แสดงถึงตระกูลของพวกเขาเอง ซึ่งทำให้รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลที่มีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
นักออกแบบแฟชั่นหลายคนได้พยายามที่พัฒนา ปรับปรุงคิลท์และทำให้มันน่าดึงดูดสำหรับผู้คนกลุ่มใหญ่ โดยการออกแบบผ้าซึ่งไม่ใช่ลายตารางอย่างที่ใช้กันในคิลท์แบบดั้งเดิม เช่น ผ้าแบบลวงตา และใช้วัตถุดิบอย่างหนังสัตว์ในการทำ
Credit: http://www.educatepark.com/เรียนต่อสกอตแลนด์/เครื่องแต่งกายของชาวสก็อตแลนด์/
Day 11 Walking tips (1 day)
Scott Monument > Prince street garden – Ross fountain > Edinburgh Castle > Along Royal Mile Street > St. Giles Cathedral > The Elephant house cafe > Greyfriars Bobby Memorial Statute > Along Chamber street – National Museum of Scotland > Along South bridge – North bridge > The Balmoral > Calton Hill